ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 254.4 เลี้ยงธิดาบุญธรรมหวังจะได้โอรส แอบเซ่นไหว้ผู้วายชน (4)
- Home
- ยอดหญิงอันดับหนึ่ง
- ตอนที่ 254.4 เลี้ยงธิดาบุญธรรมหวังจะได้โอรส แอบเซ่นไหว้ผู้วายชน (4)
สวีคังเฟยเห็นสีหน้านางซึมเซา เบ้าตาลึกโบ๋ลง ยืนอยู่สองขาก็สั่นเทา จึงเอ่ยขึ้นอย่างห่วงใยว่า “พรุ่งนี้ก็เป็นวันครบรอบสิ้นพระชนม์ของเซี่ยวฮุ่ยเซิ่งจวงเลี่ยฮองไทฮองแล้ว ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ฮุ่ยเฟยต้องทำตัวให้มีชีวิตชีวา รีบหายไวๆ นะเพคะ”
“เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากรึ แต่หมู่นี้ไม่รู้เหมือนกันว่าทำงานดูแลวังหลังหนักเกินไปหรือไม่ มักจะรู้สึกว่าร่างกายเหนื่อยล้า อารมณ์ไม่มั่นคง หลับก็ไม่สนิท กว่าจะหลับได้ก็ฝันอีก” เจี่ยงอวี๋บอกมิได้ว่าโดนลูกสาวสุดรักสุดหวงของฮุ่ยเฟยงอแงใส่ นางทอดถอนใจ
สวีคังเฟยมองซ้ายมองขวา ไล่นางกำนัลทั้งหมดในห้องออกไป แล้วขยับไปใกล้ กระซิบว่า “ฮุ่ยเฟยร่างกายแข็งแรงมาโดยตลอด ตั้งแต่เข้าตงกงแล้ว หลายปีมานี้ก็มิได้โดนร้อนโดนหนาวมาก่อนเลย ยามนี้จู่ๆ ก็เป็นเช่นนี้ ฮุ่ยเฟยไม่รู้สึกว่าแปลกหรือเพคะ”
เจี่ยงอวี๋เดิมทีหมู่นี้ก็อารมณ์ไม่มั่นคงอยู่แล้ว เห็นท่าทางนางพูดลับๆ ล่อๆ ก็เคร่งขรึมขึ้นมาในใจ “เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
สวีคังเฟยสีหน้าดูเหมือนเคร่งขรึมอย่างยิ่ง ภายในห้องเงียบงัน น้ำเสียงก็ทำให้คนฟังขนลุกชูชันขึ้นมาไม่น้อย “ฮุ่ยเฟยไม่คิดว่าเหมือนผีตามหรือเพคะ” นางมองไปรอบๆ คล้ายภายในตำหนักถงกวงมีบางอย่างที่สกปรกอยู่
“เจ้าพูดเหลวไหลอันใด! ข้าเป็นคนไม่ทำเรื่องน่าละอายใจ จะมีผีมาตามอันใดได้!” เจี่ยงอวี๋พอสะดุ้งตกใจก็ตะคอกขึ้น
สวีคังเฟยกลับมีสีหน้าลุ่มลึกอยู่ไม่น้อย “อีกไม่กี่วันก็เป็นวันครบรอบสิ้นพระชนม์ของเจี่ยงฮองเฮาแล้ว ท่านก็มาเป็นเช่นนี้ในเวลานี้พอดี…ท่านว่า จะเกี่ยวข้องกับเจี่ยงฮองเฮาหรือไม่เพคะ” ไม่ทำเรื่องน่าละอายใจรึ ไม่ทันไรก็ลืมเรื่องที่ตัวเองลากป้าแท้ๆ ให้ตกต่ำและทำร้ายป้าแท้ๆ ของตัวเองไปแล้วหรือไร
ประโยคนี้ ได้พูดถึงความวิตกกังวลในตอนเช้าของเจี่ยงอวี๋ออกมาแล้ว นางนึกไปถึงปิ่นทองหัวหงส์ชิ้นนั้น สีหน้าก็ซีดเผือด หรือจะเป็นเรื่องจริงกัน หรือท่านป้าจะกลับมาในวันครบรอบวันตายจริงๆ ปิ่นทองหัวหงส์นั่นเป็นร่องรอยที่ท่านป้าเคยมาหาอย่างนั้นรึ
ทันใดนั้น นางก็หนาวยะเยือกขึ้นทั่วร่าง
จุดจบของท่านป้าอเนจอนาถ เกี่ยวข้องกับตนอย่างหนีไม่พ้น เรียกได้ว่าเกิดจากการหักหลังของตนจึงสำเร็จได้ จากจิตใจคับแคบอำมหิตของท่านป้าและนิสัยที่ไม่ยอมให้ใครมาอกตัญญูใส่ หากกลับมาจริงๆ ต้องกลายเป็นผีอาฆาตดุร้ายเป็นแน่ หรือจะโดนท่านป้าตามจริงๆ พอคิดเช่นนี้ ขนทั่วร่างของเจี่ยงอวี๋ก็ลุกตั้งชูชันขึ้นมา
นางพยายามอย่างสุดกำลังในการสงบจิตสงบใจ “ข้าไม่เชื่อของพรรค์นี้หรอก! หากมีผีจริง ข้าก็ไม่กลัว! ข้าเป็นพระชายาอันสูงส่งในวังหลัง มีไอมังกรมหาศาลอยู่ข้างกาย ผีตนใดมันจะกล้าเข้ามาใกล้ข้า” แม้จะพูดไปเช่นนี้ แต่น้ำเสียงกลับสั่นเครือ
“ฮุ่ยเฟยจำได้หรือไม่สนมแต่ละยุคแต่ละสมัยเหล่านั้น ไม่น้อยเลยที่โดนภูตผีมาเอาชีวิต ตัวอย่างดังๆ อย่างหลานสาวของจักรพรรดินีหลี่ถัง อดีตแม่สามีอู่เฟยของหยางกุ้ยเฟย เพื่อให้โอรสตนเป็นรัชทายาท ทำร้ายไท่จื่อและองค์ชายสองพระองค์ สุดท้ายก่อนที่จะได้ขึ้นครองราชย์ ก็โดนวิญญาณอาฆาตขององค์ชายทั้งสามก่อกวน ทุกคืนไม่จุดไฟจุดโคม ข้างเตียงก็ไม่เรียกนางกำนัลสิบกว่าคนมาเฝ้าไว้ กระทั่งหลับยังไม่กล้า…อู่เฟยนั่นก็เป็นสนมที่ร้ายกาจในวังหลังเช่นกัน เดิมทีจิตใจที่กระฉับกระเฉงและมีชีวิตชีวา ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ยิ่ง สุดท้ายมาโดนหลอกหลอนจนซีดเซียวถึงตาย หม่อมฉันมิได้จะข่มขู่ท่านนะเพคะ ก็แค่สถานการณ์ของท่านเช่นนี้ เหมือนกับอู่เฟยก็เท่านั้น หม่อมฉันจึงจำต้องเอ่ยเตือนเสียหน่อย อย่าได้เอามาใส่ใจ ท่านคิดดูเอาเถิด ตอนนั้นเจี่ยงฮองเฮาทำร้ายพระสนมหยวนจนตาย หากมิใช่กลัวว่าวิญญาณของนางจะกลับมาแก้แค้น จะใช้ฮวงจุ้ยมาสะกดนางไว้เช่นนั้นหรือไร” สวีคังเฟยเสียงสั่นเล็กน้อย
เจี่ยงอวี๋ถูกสวีคังเฟยพูดจนความคิดยุ่งเหยิง มือลื่นลงชนเข้ากับโต๊ะไม้แดงที่ทั้งเย็นและแข็งก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลย ใบหน้านางซีดเผือดไร้สี ไม่มีท่าทีเข้มแข็งเหมือนเมื่อครู่อีกแล้ว นางจับข้อมือคังเฟยไว้ “แล้วจะทำเช่นไรดี เจ้าบอกมา เชิญนักพรตเต๋าเข้าวังมาขจัดปัดเป่าผีดีหรือไม่”
สวีคังเฟยถอนหายใจ “หากเป็นหม่อมฉัน ต้องหาสาเหตุให้เจอ แก้ปัญหาให้ตรงจุด หากเป็นเจี่ยงฮองเฮาที่อาฆาตแค้นไม่หาย ขจัดไปครานี้ เกรงว่าอาจมีคราวหน้าอีก ในใจท่านก็จะมีปมปัญหาค้างคาใจ”
“ล้อเล่นรึ ท่านป้าข้าคนนั้นตายไปแล้ว จะไปหาต้นสายปลายเหตุได้อย่างไร หรือจะให้ข้าวิ่งไปโขกหัวสำนึกผิดที่ปรโลก ขอร้องนางให้ไว้ชีวิตข้า อย่ามาก่อกวนข้าอีกอย่างนั้นรึ!” เจี่ยงอวี๋ร่างกายเหมือนกระด้งฝัดข้าว
“ไม่ต้องไปโขกหัวที่ปรโลก ท่านสามารถขอโทษด้วยตัวเองที่โลกคนเป็นแสดงถึงความจริงใจได้นะเพคะ!” สวีคังเฟยเอ่ย “อีกเดี๋ยวก็จะเป็นวันครบรอบวันสิ้นพระชนม์ของเจี่ยงฮองเฮาแล้ว ท่านดูสิฝ่าบาทเอาแต่สนพระทัยกับการเซ่นไหว้พระสนมหยวน ไม่สนใจใยดีเจี่ยงฮองเฮาเลย เจี่ยงฮองเฮาจะไม่แค้นได้อย่างไร! หากเป็นหม่อมฉัน เรื่องเช่นนี้จะไม่รีรอชักช้าเลย วันนี้ท่านก็ไปตำหนักเฟิ่งจ๋าเผากระดาษเงินกระดาษทองให้มากหน่อย โขกหัวคำนับให้ พูดคำพูดน่าฟังอีกสักหน่อย ไม่แน่ว่าท่านอาจจะหายก็ได้ เมื่อก่อนตอนหม่อมฉันอยู่ที่บ้าน น้องชายน้องสาวในบ้านไข้สูงไม่ลด พ่อแม่ก็จะเผากระดาษเงินไปให้บรรพบุรุษ ซ้ำยังหายได้จริงๆ อีกด้วย จึงยอมเชื่อว่ามันมีจริงๆ”
เจี่ยงอวี๋นิ่งอึ้ง พึมพำว่า “ฝ่าบาทเกลียดท่านป้าเกลียดเสียยิ่งกว่าเกลียด ซ้ำยามนี้ยังเป็นวันครบรอบวันสิ้นพระชนม์ของพระสนมหยวนอีก จงใจยกพระสนมหยวนให้สูง กดท่านป้าให้ต่ำ ข้าขัดพระประสงค์ของฝ่าบาท ไปเผากระดาษเงินโขกหัวคำนับเซ่นไหว้ให้ท่านป้า ฝ่าบาทได้ฆ่าข้าแน่”
“ฮุ่ยเฟยเลอะเลือนแล้ว ต้องแอบทำเป็นการส่วนตัวสิเพคะ” สวีคังเฟยเสนอแผนการให้ “ตอนกลางวันย่อมทำมิได้แน่นอน ทางที่ดีแอบไปในตอนกลางคืนคนเดียว แต่ต้องหลบหูหลบตาคน อย่าได้เห็นใครพบเข้านะเพคะ”
เจี่ยงอวี๋ความคิดโลดแล่น แต่กลับตำหนิไปว่า “จะทำเช่นนี้ได้อย่างไร เดิมทีแอบเซ่นไหว้คนตายในวังก็ไม่ถูกต้องตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นหนามคมในสายตาของฝ่าบาทอีก คังเฟยอย่าเสนอความคิดไม่เข้าท่าพวกนั้นเลย โดนฝ่าบาททราบเข้าจะมาตำหนิข้าได้ ต่อให้ข้าโดนผีมาก่อกวนก็จะไม่ทำเรื่องพรรค์นั้นเด็ดขาด”
“เพคะ หม่อมฉันจะไม่เอ่ยถึงอีก” สวีคังเฟยรีบบอก
พูดไม่กี่คำ เจี่ยงอวี๋ก็ง่วงงุนขึ้นมาไม่น้อยอย่างเห็นได้ชัด สวีคังเฟยสังเกตเห็นวาจาท่าทางก็ไม่รั้งอยู่นานอีก บอกให้นางพักผ่อนให้ดี แล้วกลับไป
ตัวของคังเฟยแม้จะกลับไปแล้ว แต่คำพูดของนางกลับยังคงดังก้อง เจี่ยงอวี๋ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าห้องนี้มีพลังหยินอันน่ากดดันคน นึกไปถึงเรื่องเหล่านั้นเมื่อวันก่อนที่คังเฟยเอ่ยขึ้น ก็มิใช่ว่าจะเป็นเรื่องไร้สาระ นางรู้สึกว่านิ้วเท้าเย็นเฉียบไปจนถึงหัวใจ ทันใดนั้นก็ตะโกนขึ้น
สาวใช้คนสนิทรีบเข้ามาหา “เหนียงเหนียงเกิดอันใดขึ้นหรือเพคะ”
“ไปเตรียมธูปเทียนกับกระดาษเงินมา” เจี่ยงอวี๋ฟันกระทบกัน “อย่าได้ให้ใครรู้เด็ดขาด! พอค่ำแล้วข้าจะออกไปข้างนอก”
“เหนียงเหนียงจะไปไหนเพคะ ให้บ่าวตามไปด้วยหรือไม่”
“ไม่ต้อง เจ้าแค่อย่าเอาไปบอกใครก็พอ” เรื่องนี้คนรู้น้อยมากเท่าใดยิ่งดี เจี่ยงอวี๋มุ่งมั่นเด็ดขาด
วังหลวงเข้าสู่ราตรีก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด
พรุ่งนี้ก็เป็นวันเซ่นไหว้เซี่ยวฮุ่ยเซิ่งจวงเลี่ยฮองไทเฮาสกุลหยวนแล้ว คืนนี้จึงยิ่งเงียบมาก นอกจากเสียงฝีเท้าขององครักษ์ที่มาลาดตะเวนแล้ว แต่ละตำหนักต่างเงียบงัน
ประตูข้างของตำหนักเฟิ่งจ๋า เงาร่างอ้อนแอ้นอรชรร่างหนึ่งหอบกระดาษเงินธูปเทียนตัวสั่น แอบเข้าประตูไป
ตำหนักเฟิ่งจ๋าอันใหญ่โต นอกจากประตูใหญ่ที่มีขันทีชราตาฝ้าฟางมาเฝ้าประตูแล้ว ด้านในก็ไม่มีใครอีกเลย ภายในลานตำหนักหญ้าขึ้นเป็นพงสูง กลิ่นอายแห่งความตายเข้มข้น หลังจากฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ก็ไม่เคยให้ซ่อมแซมดูแลเลย
เจี่ยงอวี๋หอบเอาความกล้าเข้าไปด้านในตำหนัก หาที่ที่คนนอกจะไม่เห็นแสงไฟตรงมุมลาน เผากระดาษเงินพลางยกมือขึ้นพนมเอ่ยเสียงสั่นว่า “ท่านป้า หากมิใช่เพราะท่านใช้ประโยชน์จากข้าอย่างเดียว ซ้ำยังไม่ให้ข้ามีลูกได้อีก ข้าไหนเลยจะทำเรื่องเช่นนั้นด้วยความเดือดดาลได้ ข้าขี้ขลาดตาขาว ท่านอย่าได้มาหาข้าอีกเลย…ข้ารู้ว่าตั้งแต่ฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ก็มิได้เคารพบูชาท่านอย่างดี กระทั่งวันครบรอบวันตายก็จงใจไม่จัดงานให้ท่าน แต่ท่านดูสิ วันนี้ข้ามาเองแล้ว นี่ก็มาเผากระดาษเงินให้ท่าน ให้ท่านได้ร่ำรวยในปรโลก หากท่านสบายดีล่ะก็รีบไปเกิดกับตระกูลที่ดี ไปเสพสุขเถิด เหตุใดต้องมาก่อกวนข้าด้วย เห็นแก่ที่ข้ารู้สำนึกสามารถปรับปรุงตัวได้ ยังเรียกได้ว่ากตัญญูต่อท่าน ท่านก็ไว้ชีวิตข้าสักครั้งเถิด…” กล่าวพลางล้วงของล้ำค่าชิ้นนั้นของเจี่ยงฮองเฮาออกมาจากอก รีบโน้มตัวลงวางไว้ในประตูตำหนัก “ปิ่นทองหัวหงส์ชิ้นนี้คืนให้แก่ท่าน ท่านป้า อย่ามาหาข้าอีกเลย!”