ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 258.2 การกลับมาของฉินอ๋อง (2)
“อาศัยแค่จิ่งหยางอ๋องยันไว้พ่ะย่ะค่ะ” ฉีไหวเอินตอบ “แต่เกรงว่าจะยันไว้ได้ไม่นานแล้ว อวี้เหวินผิงเป็นแกนนำอำนาจของขุนนางฝ่ายอักษร เส้นสายในราชสำนักมากเกินไป อีกทั้งสกุลเหวยร่ำรวยและมีอำนาจ มีรากฐานที่มั่นคง แม้ว่าจะล้มเหลวก็ไม่มีทางล้มลงในทันที ต้องเหลือเศษซากไว้ แต่ละคนต่างโวยวายกันอยู่ ล้วนโวยวายให้ไทฮองไทเฮาออกราชโองการ ให้เว่ยอ๋องเข้าวังมาเป็นอุปราช! ที่สำคัญที่สุดก็คือ ยามนี้ไม่มีองค์ชายพระองค์อื่นที่สามารถรับตำแหน่งนี้ไว้ได้เลย หลายวันก่อนไทฮองไทเฮาเดิมทีอยากจะให้องค์ชายใหญ่รับหน้าที่อุปราชไว้ จะได้ตัดหนทางที่อวี้เหวินผิงกับสกุลเหวยให้เว่ยอ๋องขึ้นรับตำแหน่งได้ ใครจะไปคิดว่าองค์ชายใหญ่ก็ไม่มุมามานะ คงเป็นเพราะว่าเห็นอำนาจเว่ยอ๋องยิ่งใหญ่เกินไป เกรงว่าขึ้นเป็นอุปราชแล้วคนอื่นจะไม่เชื่อฟัง นึกไม่ถึงว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ทรงไม่รับไว้ ปฏิเสธบ่ายเบี่ยงไป ไทฮองไทเฮาจึงยิ่งมีโทสะเพราะเรื่องนี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ยามนี้แม้กระทั่งเจี่ยไทเฮาก็ใกล้จะยันไว้ไม่อยู่แล้ว ราชสำนักล้วนเป็นเสียงเอนเอียง เรื่องที่เว่ยอ๋องเป็นอุปราชเกรงว่าคงจะได้เป็นจริงขึ้นมาเสียแล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นใจเต้นตระหนก ก่อนหน้านี้อวี้เหวินผิงยังพอจะไว้หน้าไทฮองไทเฮาอยู่บ้าง ไม่กล้าบุ่มบ่ามเกินไป ยามนี้ไทฮองไทเฮาล้มลง ต้องไม่รอนานอีกต่อไปแน่แล้ว
อากาศเดือนแปดยังร้อนมากอยู่ แต่คิดอย่างละเอียดแล้ว ทั่วทั้งร่างกลับหนาวยะเยือก ไม่รู้เหมือนกันว่าอวี้เหวินผิงนั่นจะตั้งใจก่อเรื่องใดขึ้น แต่ไม่ว่าจะทำอะไร เกรงว่าจะได้เกิดเรื่องขึ้นในวังหลวงจริงๆ แล้ว
หลังจากได้ทราบข่าวทางด้านเจี่ยไทเฮาแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นก็นอนไม่หลับอยู่ทั้งคืน จนถึงวันรุ่งขึ้น ก็ยังรู้สึกจิตใจไม่มั่นคง บัวลอยน้อยไม่รู้ความ ยังคงเจื้อยๆ แจ้วๆ จึงทำให้นางอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง พอตกค่ำมา นางเห็นแม่นมป้อนข้าวให้บัวลอยน้อยแล้ว หยอกล้ออยู่ครู่หนึ่ง ก็ถึงเวลานอนของลูกน้อย อวิ๋นหว่านชิ่นจึงได้ให้แม่นมอุ้มบัวลอยน้อยออกไป
“นายหญิงเจ้าคะ ทานข้าวสักหน่อยเถิด เมื่อวานจนถึงวันนี้ดื่มแค่โจ๊กไปนิดเดียวเอง ระวังจะหิวจนส่งผลต่อร่างกายนะเจ้าคะ” ชูซย่าบอก
“ไทฮองไทเฮาพระวรกายดีขึ้นหรือยัง” เดิมคิดจะไปเยี่ยมที่ตำหนักฉือหนิง หมอหลวงบอกว่าทางที่ดีอย่าไปรบกวน นางจึงให้ฉีไหวเอินวิ่งไปถามสถานการณ์ทางด้านไทฮองไทเฮาแทน
“ฉีไหวเอินเพิ่งจะกลับมาบอกว่าดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ” ชูซย่าตอบ
แม้จะวางใจลงบ้าง แต่อวิ๋นหว่านชิ่นก็ยังคงไม่มีวี่แววว่าจะหิว นางเดินออกไปด้านนอกลานบ้าน ยืนอยู่หน้าประตู วังหลวงในยามราตรีเงียบสงัด สามารถทำให้จิตใจคนสงบลงได้บ้าง
สีฟ้าราตรีดำเข้มกว่าวันก่อนๆ มาก คล้ายสัตว์กลางคืนที่หมอบอยู่ในส่วนลึก ไม่รู้เหมือนกันว่าผ่านไปนานเท่าใด ฟากฟ้าเข้มขึ้น อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังกลับไปในห้อง ทันใดนั้น คล้ายมีแสงไฟขยับไหวอยู่ไกลๆ ซ้ำยังแทรกไว้ด้วยเสียงคน
เสียงจอแจขึ้นกว่าเดิมเรื่อยๆ ไม่เหมือนวังหลวงยามปกติที่พอราตรีมาเยือนแล้วห้ามเข้าออกยามวิกาลเคร่งขรึมและเงียบสงบ
คล้ายมาจากทางตำหนักฉือหนิง
ความกระวนกระวายใจเมื่อหลายวันก่อนพลุ่งพล่านขึ้นมาทันใด อวิ๋นหว่านชิ่นโพล่งขึ้นว่า “ทางนั้น เกิดอันใดขึ้น”
ฉีไหวเอินไปสืบอยู่พักหนึ่งก็วิ่งกลับมา เขาหอบหายใจหนัก “สมุหนายกอวี้พากลุ่มขุนนางเข้ามาในวังจากประตูเจิ้งหยาง ตรงไปยังตำหนักฉือหนิงทันที ยามนี้กำลังคุกเข่ากันอยู่โดยพร้อมเพรียงตรงที่ว่างนอกตำหนักฉือหนิง ยืนกรานว่าจะขอให้ไทเฮาไทฮองออกราชโองการให้เว่ยอ๋องขึ้นเป็นอุปราชในคืนนี้ มิฉะนั้นจะไม่ลุกขึ้นพ่ะย่ะค่ะ!”
“มีเช่นนี้ด้วยหรือไร กบฏชัดๆ! นี่มิใช่การบีบบังคับไทฮองไทเฮาหรือไร!” ชูซย่าเดือดปุดๆ
“คนพวกนั้นอ้างเรื่องบ้านเรื่องเมือง จะมีอันใดไม่กล้ากัน ลงโทษคนหมู่มากมิได้ ล้วนเป็นขุนนางในราชสำนักกันทั้งนั้น ไทฮองไทเฮาก็ทำอันใดพวกเขาไม่ได้!” ฉีไหวเอินแค่นเสียงเฮอะ
อวี้เหวินผิงนั่งไม่ติดดังคาด ลงมือแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นแววตาลุ่มลึก “ทางด้านไทฮองไทเฮาทำเช่นไร”
“ไทฮองไทเฮาอ้างว่าพระวรกายยังไม่ดี ไม่ออกมาจากในตำหนัก” ฉีไหวเอินปาดเหงื่อ “ตะ…แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว คงจะยื้อไว้ไม่ได้นานแล้ว ขุนนางพวกนั้นวันนี้คงไม่ได้ราชโองการก็จะไม่ลดละ ได้ยินนางกำนัลตำหนักฉือหนิงบอกว่า ไทฮองไทเฮาให้คนไปแจ้งจิ่งหยางอ๋องแล้ว…หวังแต่ว่าจิ่งหยางอ๋องจะสามารถเข้าวังมาโดยเร็ว แล้วปราบปรามคนพวกนี้เสีย!”
จิ่งหยางอ๋องได้ฟังขันทีตำหนักฉือหนิงมาแจ้งข่าวยามวิกาลก็พากองกำลังส่วนตัวออกจากจวนเร่งรุดไปยังวังหลวง
เมื่อถึงด้านนอกประตูเจิ้งหยาง หน้าประตูมีรถม้าจอดอยู่ไม่น้อยแล้ว จิ่งหยางอ๋องรู้ทันทีว่าอวี้เหวินผิงพาขุนนางไม่น้อยเข้าวังไปแล้ว สีหน้าตึงเครียดขึ้น ตำหนิเสียงต่ำว่า “อวี้เหวินผิงผู้นี้ ช่างอกตัญญูไร้คุณธรรมจริงๆ” กำลังจะให้เสนาธิการไปแจ้งองครักษ์เฝ้าประตูเขตพระราชฐานให้เปิดประตูเมือง แต่ได้ยินเสนาธิการตกใจ ยกมือขึ้นเอ่ยว่า “จวิ้นอ๋อง…”
ห่างไปไม่ไกลกันนัก เกือกเท้าเหยียบย่ำ คนและม้ากลุ่มหนึ่งเข้ามาใกล้ประตูเจิ้งหยาง โครงร่างค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้นอย่างช้าๆ ท่ามกลางราตรีสีมืด
กองทัพไม่ถึงร้อยนาย ล้วนแต่งกายด้วยชุดลำลอง ทว่าแต่ละคนกลับมาดเคร่งน่าเกรงขาม แค่มองก็รู้ว่าเป็นท่าทางของทหารในราชสำนักที่ได้มาตรฐาน
ด้านหน้าสุด บุรุษสองคนแต่งตัวเหมือนเสนาธิการทหาร คนหนึ่งอายุมากสักหน่อย เลยวัยกลางคนไปแล้ว รูปร่างหน้าตาสูงใหญ่กำยำร่ำสันไม่น้อย กลับมีกลิ่นอายเกษตรกรในชนบท รูปร่างสูงใหญ่มีพละกำลัง ทั้งยังไม่ค่อยเหมือนชาวจงหยวนที่นี่ เอวเหน็บกระบี่ ด้านหลังผูกถุงธนูไว้ เปิดทางอยู่ด้านหน้าสุด
อีกคนหนึ่งอายุยังหนุ่มแน่น กล้าหาญฮึกเหิมและกระฉับกระเฉง ยามนี้กลับสีหน้าสงบนิ่ง
ทั้งสองอยู่ท่ามกลางการห้อมล้อม เงาร่างหนึ่งนั่งคร่อมอยู่บนอานม้า ท่ามกลางราตรีนี้มองไม่เห็นหน้าตาที่แน่ชัด สิ่งเดียวที่สามารถเห็นได้ชัดคือเสื้อคลุมนกกระเรียนดำตัวใหญ่ตลอดร่าง ด้านในเป็นเกราะอ่อนที่บางมาก ดึงบังเหียนไว้ เฆี่ยนม้าให้เดินช้าๆ นำกำลังคนตรงเข้ามา
คนทั้งกลุ่มคล้ายมาถึงก่อนจิ่งหยางอ๋อง แต่เฝ้าอยู่ในที่มืดเท่านั้น พอจิ่งหยางอ๋องปรากฏตัวขึ้นจึงได้เข้ามา
จิ่งหยางอ๋องเห็นผู้มาใหม่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แสงไฟของประตูเจิ้งหยางส่องสว่างใบหน้าของบุรุษคนนั้นไปทั่วทั้งหน้า สีหน้าก็พลันเปลี่ยนแปรไปมากทันที “เป็น…”
เสนาธิการข้างกายและเหล่าองครักษ์ก็เห็นชัดเต็มตาเช่นกันว่าผู้มาใหม่เป็นผู้ใด ทันใดนั้นก็โวยวายกันขึ้น
“ปะ…เป็นไปได้อย่างไร…ไม่ใช่ว่าเจ้า…” จิ่งหยางอ๋องคล้ายยังไม่ได้สติ เนิ่นนานทีเดียวจึงได้มีปฏิกิริยาขึ้นมา เขาลงจากม้า ทหารคนอื่นๆ ก็เดินตามผู้เป็นนายไปเช่นกัน
จิ่งหยางอ๋องกำลังจะทำความเคารพ เห็นเงาสูงใหญ่เบื้องหน้าชูบังเหียนขึ้นเล็กน้อย ม้าพันธุ์ดีก้าวเข้ามาเบาๆ พาผู้เป็นนายก้าวไปเบื้องหน้าสองสามก้าว
บนอานม้า เสียงเคร่งขึ้นเล็กน้อย ทั้งยังอมยิ้มอยู่บางๆ “หนึ่งปีก่อน จิ่งหยางอ๋องบังคับให้ข้าออกจากวังหลวงไปเพื่อความสงบสุขของราชสำนัก หนึ่งปีต่อมา เพื่อความสงบสุขของราชสำนักแล้ว สิ่งแรกที่จิ่งหยางอ๋องควรจะทำก็คือให้ข้าเข้าวัง”
ณ ตำหนักฉือหนิง
ภายใต้แสงโคมระยิบระยับ เจี่ยไทเฮาพิงอยู่บนตั่ง นวดขมับไปมา เสียงเอ่ยทัดทานจอแจด้านนอกทะลักเข้ามาดั่งน้ำหลาก ดังเสียจนทำให้นางยิ่งรำคาญพระทัย
“ยังไม่มีวี่แววจะกลับเลยรึ” เจี่ยไทเฮาขมวดคิ้ว
จูซุ่นส่ายหน้าอย่างจนใจ เอ่ยอย่างกังวลว่า “ช่างเนรคุณไร้คุณธรรมเกินไปแล้ว! ดูจากสถานการณ์นี้ หากไทฮองไทเฮาไม่ออกราชโองการ เกรงว่าพวกเขาจะต้องถ่วงเวลาต่อไปแน่เพคะ”
เจี่ยไทเฮาโกรธเกรี้ยวหนัก ฝืนหยัดวรกายขึ้น “ได้ ได้สิ! วันนี้ข้าจะดูซิว่าพวกเขาเก่งกาจสักแค่ไหน ดูว่าจะสามารถบีบบังคับให้ข้าไปตายได้หรือไม่!”
“ไทฮองไทเฮา รอให้จิ่งหยางอ๋องเข้าวังมาก่อนค่อยว่ากันดีหรือไม่เพคะ ท่านอย่าออกไปเลย…” หม่าซื่อกลัวว่าพอนางออกไปจะโดนขุนนางพวกนั้นทำให้โมโหจนล้มไป
ยามนี้เกรงว่ากระทั่งจิ่งหยางอ๋องเข้าวังมาก็ยากจะปราบปรามได้แล้ว สีพระพักตร์ของเจี่ยไทเฮายิ่งอึมครึมกว่าเดิม “ไม่เป็นไร ข้าไม่เชื่อหรอก ว่าข้าไทฮองไทเฮาผู้นี้จะยังโดนกลุ่มขุนนางบีบคอไว้ได้!”
ไทฮองไทเฮาทรงได้รับเกียรติจากฮ่องเต้ถึงสามราชวงศ์ และในช่วงของฮ่องเต้พระองค์ก่อนก็เคารพนางยิ่ง ฝ่าบาทยิ่งไม่ต้องพูดถึง พระญาติฝ่ายหญิงที่สูงส่งทระนงเช่นนี้ ยามนี้จะยอมให้ขุนนางควบคุมได้หรือ
จูซุ่นก็รู้ดีว่าขวางไว้มิได้ จึงประคองเจี่ยไทเฮาไว้ให้มั่นออกไปกับหม่าซื่อ