ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 258.3 การกลับมาของฉินอ๋อง (3)
ด้านนอกตำหนัก พวกอวี้เหวินผิงเห็นไทฮองไทเฮาเสด็จออกมา ก็หยุดโวยวายชั่วคราว โขกศีรษะหลายครั้งหลายครา “รบกวนไทฮองไทเฮาพักผ่อนดึกๆ ดื่นๆ กระหม่อมมีโทษ แต่ปัญหาบ้านเมืองยามนี้ กระหม่อมกินไม่ได้นอนไม่หลับ จึงจำต้องเข้าวังในยามวิกาล ขอไทฮองไทเฮาโปรดทรงรีบตัดสินพระทัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“พวกเจ้ายังรู้ตัวว่าตนมีโทษด้วยรึ ใต้เท้าทั้งหลายกินข้าวของราชวงศ์ ยามนี้นึกไม่ถึงว่าจะวิ่งเข้าวังมาบีบบังคับไทฮองไทเฮา หากฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงทราบเข้า เกรงว่าจะกริ้วจนลุกขึ้นมานั่งในสุสานเซี่ยนหลิงแล้ว!” จูซุ่นตำหนิ
อวี้เหวินผิงส่งสายตา ขุนนางส่วนตัวข้างกายรีบประสานมือ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคารพนบนอบว่า “ไทฮองไทเฮาหากออกราชโองการโดยพลัน อนุญาตให้เว่ยอ๋องเข้าวังรักษาการณ์แทน กระหม่อมจะออกจากวังไปทันที พรุ่งนี้ก็จะเข้าประชุมอภิปรายในราชสำนักดังเดิมพ่ะย่ะค่ะ!”
มีเช่นนี้ด้วยหรือไร นี่หมายความว่าวันนี้หากไม่ทำตามเจตนาของพวกเขา พรุ่งนี้ก็จะรวมตัวกันหยุดงาน เกียจคร้านในหน้าที่อย่างนั้นรึ
เจี่ยไทเฮาคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะเอาท่าไม้ตายนี้มาข่มขู่ตน เอ่ยเสียงสั่นว่า “ดียิ่ง พวกเจ้า พวกเจ้า…” ยังตรัสไม่ทันจบ ศีรษะวิงเวียน ร่างกายอ่อนยวบ โชคดีที่มีจูซุ่นกับหม่าซื่อประคองไว้
อวี้เหวินผิงเห็นไทฮองไทเฮาเหมือนลูกธนูที่สุดแรงบินแล้ว ก็ตีเหล็กในตอนที่ยังร้อน นำเหล่าขุนนางโขกหัว เสียงดังพลิกเขาตลบทะเล ดังก้องอยู่หน้าตำหนักฉือหนิง “ขอไทฮองไทฮองโปรดตัดสินพระทัยโดยไวด้วย…”
“ขอโปรดทรงรีบออกราชโองการเรียกตัวเว่ยอ๋องเข้าวังมารักษาการณ์แทนด้วย!”
เป็นระลอกๆ กังวานสะท้อนไปถึงสามตำหนักหกเรือน ทำเอาบรรดาสตรีวังหลังตกอกตกใจตื่นกันขึ้นมากลางดึก แต่ละคนไหนเลยจะยังหลับต่อกันได้ บ้างทอดมองข้ามกำแพงไป บ้างส่งคนออกมาสืบข่าว
เจี่ยไทเฮาเดือดดาลจนเลือดขึ้นหน้า กัดฟันแน่น แต่กลับเห็นแสงไฟสาดส่องจางๆ อยู่เบื้องหน้า เกือกเหล็กเหยียบย่ำแผ่นหินบนพื้นวิ่งมาทางตำหนักฉือหนิง
ทุกคนหันมองไปตามเสียง
“จิ่งหยางอ๋องมาแล้ว” จูซุ่นพรูลมออกมา
ต่อให้เป็นเทพเซียนมาก็ไร้ประโยชน์ อวี้เหวินผิงเยาะเย้ยเบาๆ เขาไม่กดดันเลยแม้แต่น้อย ยังคงนำเหล่าขุนนางคุกเข่าอยู่หน้าตำหนัก
เสนาธิการชูโคมเดินเข้ามาด้วยกันกับจิ่งหยางอ๋องที่เหลือบมองขุนนางหน้าตำหนักด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง สาวเท้าเร่งรุดไปยังข้างกายไทฮองไทเฮา ประสานมือค้อมตัวลง “กระหม่อมมาช้าไป ทำให้ไทฮองไทเฮาได้รับความตกใจแล้ว”
แล้วหันหน้าไปตำหนิว่า “สมุหนายกอวี้พาบรรดาใต้เท้าเข้าวังมาในยามวิกาลบีบบังคับไทฮองไทเฮาให้ออกราชโองการ ช่างไร้ระเบียบกฎเกณฑ์กำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว! โปรดรีบออกไปจากวัง! มิฉะนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
อวี้เหวินผิงเปลือกตาขยับไหว แววตามืดครึ้มไม่น้อย เยาะเย้ยว่า “เหตุใดจิ่งหยางอ๋องจึงพูดเช่นนี้เล่า ยามนี้ฮ่องเต้โดนจับไปเป็นเชลย ในราชสำนักไร้ผู้ปกครอง พวกเราคิดเพื่อบ้านเมือง มาขอราชโองการที่ตำหนักฉือหนิง มีอันใดผิดกัน ที่อยู่กัน ณ ที่นี้ล้วนเป็นเสาหลักของราชสำนักกันทั้งนั้น ขุนนางอาวุโสสองราชวงศ์มีมากมาย จิ่งหยางอ๋องจะมาเกรงใจกับพวกเราอย่างไร คงไม่พ้นจับกุมพวกเราทั้งหมดเข้าคุก พรุ่งนี้ราชสำนักว่างเปล่า ศาลาว่าการร้างคน สมดังที่ท่านปรารถนา ดีหรือไม่!”
“พวกเราให้เว่ยอ๋องเป็นอุปราช สามารถแก้ไขเรื่องเร่งด่วนตรงหน้าได้ กำจัดความทะเยอทะยานของชาวเหมิงหนูได้ชั่วคราว จิ่งหยางอ๋องก็มิใช่โอรสของฮ่องเต้พระองค์ก่อนเสียหน่อย จะว่าไปแล้ว ก็เหมือนกับพวกเรา ล้วนเป็นคนที่ทำงานให้แก่ราชสำนัก ท่านมีสิทธิอันใดมาก้าวก่ายพวกเรา เจ้าไม่ให้พวกเราเชิญเว่ยอ๋องมารักษาการณ์แทน เจ้ามีความสามารถก็เสนอมาเสียสิ หรือจิ่งหยางอ๋องอยากจะเป็นอุปราชเสียเอง” ขุนนางหนุ่มด้านอักษรคนหนึ่งเอ่ยด้วยเสียงแปลกแปร่ง
“นั่นสิ จิ่งหยางอ๋องมีสิทธิอันใดมาก้าวก่ายพวกเรา จิ่งหยางอ๋องขวางพวกเราไว้ หรือว่าตัวเองจะมีแผนการสกปรกใด! ให้พวกเราพูด เชิญจิ่งหยางอ๋องออกจากวังไปจึงจะถูก!” คนอื่นๆ โวยวายขึ้นเสียงดัง
ยามปกติขุนนางในราชสำนักดูๆ แล้วสูงส่งสุภาพมีมารยาท บัดนี้เต็มไปด้วยแผนทางการเมืองบิดพลิ้วกันขึ้น ช่างเหมือนอันธพาลข้างถนนเสียจริง
จูซุ่นโกรธแค้นสุดแสน เห็นเจี่ยไทเฮาแทบจะเดือดดาลอกแตกตายแล้ว จิ่งหยางอ๋องกลับไม่ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย ทำเพียงเอ่ยขึ้นท่ามกลางเสียงโวยวายว่า “ข้าไม่มีสิทธิ แต่มีคนที่มีสิทธิ”
เสียงของเหล่าขุนนางหยุดชะงัก เห็นทหารที่จิ่งหยางอ๋องพาเข้าวังมาแยกย้ายออก คนกลุ่มหนึ่งเดินมาทางตำหนักฉือหนิง
แสงไฟส่องสว่าง เหล่าขุนนางไม่กล้าเชื่อในสายตาตัวเอง อวี้เหวินผิงลุกขึ้นยืนอย่างห้ามไม่อยู่ เบิกตาโตกว้าง
พอจูซุ่นเห็นผู้มาใหม่ชัดเจนก็ตกใจ พูดจาตะกุกตะกัก “ทะ…ไทฮองไทเฮา ปะ…เป็นฉินอ๋อง…”
แม้เจี่ยไทเฮาจะชันษามากแล้ว แต่ดวงตายังไม่ฝ้าฟาง มองเห็นตั้งนานแล้วเช่นกัน ทันใดนั้นก็ตื่นเต้นขึ้นมาเหลือแสน “เป็นเจ้าสาม เจ้าสามยังไม่ตาย กลับมาแล้ว”
ขณะนี้ ซย่าโหวซื่อถิงก้าวเข้ามาหา อยู่ตรงหน้าเจี่ยไทเฮาแล้วคุกเข่าลง เสื้อคลุมนกกระเรียนสัมผัสพื้น สะบัดไหวท่ามกลางลมราตรี “ทำเสด็จย่าตกพระทัยแล้ว หลานอกตัญญูนัก”
“ระ…รีบมาให้ข้าดูเร็ว! เป็นฉินอ๋องจริงๆ รึ” เจี่ยไทเฮาทำอันใดไม่ถูก
“ดูท่าจะทำเอาไทฮองไทเฮาปรีดาจนเลอะเลือนเสียแล้ว มิใช่ฉินอ๋องแล้วจะเป็นผู้ใดได้เล่าเพคะ ดูท่าแล้วฉินอ๋องคนดีสวรรค์คุ้มครองจริงๆ มิได้สิ้นชีพอยู่แนวทัพหน้า ในที่สุดก็กลับมาแล้ว” หม่าซื่อก็ทอดถอนใจยกใหญ่ออกมาเช่นกัน ฉินอ๋องปรากฏตัวในยามนี้ช่างแก้วิกฤตฉุกเฉินนี้ได้โดยแท้
อวี้เหวินผิงหลุดจากความตกใจได้สติขึ้นมา ฉงนอย่างยิ่ง คนที่ตกลงไปในหุบเขาบงกชหิมะเหตุใดจึงยังมีชีวิตอยู่ได้กัน
ต่อให้ยังมีชีวิต เหตุใดตอนนั้นไม่กลับมา ดันรอถึงหนึ่งปี จงใจรอให้ฝ่าบาทโดนจับเป็นเชลย แล้วกลับมาในยามนี้ราชสำนักว่างเปล่าไร้ผู้ปกครองเช่นนี้ด้วยเล่า
หรือทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเป็นแผนการของเขา
อวี้เหวินผิงฝ่ามือชื้นเหงื่อ บุรุษเบื้องหน้าไม่เจอกันนานหนึ่งปีใบหน้ายังคงหล่อเหลา คิ้วคมตาเรียวกลับเพิ่มความเป็นผู้ใหญ่ที่ผ่านโลกมามากมายยิ่งขึ้น รูปร่างก็สูงใหญ่กำยำร่ำสันขึ้นกว่าเดิม ทั่วทั้งร่างคล้ายเปลี่ยนเป็นทะมึนยากจะคาดเดายิ่งกว่าเดิม
จิ่งหยางอ๋องเหลือบมองอวี้เหวินผิงแวบหนึ่ง หันหน้าหาไทฮองไทเฮา ทูลขอร้องว่า “ยามนี้บรรดาขุนนางไร้นาย อยากจะหาคนมาบริหารบ้านเมืองก็มิใช่เรื่องผิดอันใด ยามนี้ฉินอ๋องกลับมาแล้ว ราวกับฟ้าประทานฝนมาให้ กระหม่อม” เว้นหยุดครู่หนึ่ง จ้องบุรุษเสื้อคุมนกกระเรียนนิ่ง เอ่ยหนักแน่นกว่าเดิมว่า “เสนอฉินอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!”
เหล่าขุนนางนิ่งอึ้ง รีบลนลานกันขึ้นมา ยับยั้งข้อเสนอว่า “แต่เว่ยอ๋อง…”
เจี่ยไทเฮารีบตรัสขึ้นขัดคำพูดคนด้านข้างว่า “ที่จิ่งหยางอ๋องพูดมาทั้งหมดตรงกับเจตนาของข้าพอดี สมัยฮ่องเต้พระองค์ก่อน ฉินอ๋องก็เคยเป็นอุปราชมาก่อน มีประสบการณ์มากมายในราชสำนัก ซ้ำหนึ่งปีกว่ามานี้อยู่ชายแดน คุ้นเคยกับสถานการณ์ทางทหาร ไม่มีผู้ใดเหมาะสมไปกว่าเขาอีกแล้ว!”
อวี้เหวินผิงไม่พอใจขึ้นมาแล้ว หน้าตาดุดันขึ้น ก้าวขึ้นหน้าสองสามก้าว “ไทฮองไทเฮา…” ยังไม่ทันจะได้เข้าใกล้บันไดหยกหน้าประตูตำหนักฉือหนิง ก็รู้สึกว่าด้านหลังเจ็บแปลบขึ้นมา เขาก้มหน้าลง หัวของลูกธนูดอกหนึ่งยาวหลายฉื่อ[1] โผล่ออกมาจากหน้าอก สีหน้าก็พลันซีดขาว ร่างกายล้มลงกับพื้นไปเสียงดัง
“อ๊ากกก” บรรดาขุนนางด้านอักษรหวาดผวาร้องออกมา พากันลุกขึ้นถอยไปหลายก้าว แม้กระทั่งเจี่ยไทเฮาก็ยังตกพระทัยยิ่งเช่นกัน กรีดร้องออกมาอย่างไม่คาดคิด
ลูกธนูพุ่งมาจากทหารของฉินอ๋อง ทิ่มทะลุเข้าหน้าอกของสมุหนายกอวี้ทั้งเป็น
บุรุษวัยกลางคนท่าทางน่าเกรงขามรีบออกมาจากกองทัพ ธนูในมือยังไม่ได้วางลง วิ่งเข้ามาคุกเข่าลง “กระหม่อมเห็นสมุนายกอวี้พุ่งเข้าไป กลัวว่าเขาจะอกตัญญูต่อไทฮองไทเฮาอีก ร้อนใจจึงได้ลงมือไปทันที เดิมทีจะยิงน่อง จนใจที่ลมราตรีแรง จึงยิงพลาดไป ไม่ทันระวังยิงโดนจุดสำคัญของสมุหนายกเข้า ขอไทฮองเฮาและองค์ชายสามลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ซย่าโหวซื่อถิงหน้าตาดุดัน ใบหน้าหล่อเหลาอึมครึม เอ่ยเสียงดุดันกับทัวป๋าจวิ้นว่า “เจ้าประมาทเกินไปแล้ว เกือบจะทำให้ไทฮองไทฮองตกพระทัยเข้าแล้ว!” ตำหนิเขาแค่ว่าไม่ควรทำให้ไทฮองไทเฮาตกพระทัย แต่ไม่ได้พูดถึงว่าผู้น้อยไม่ควรสังหารอวี้เหวินผิง
เจี่ยไทเฮาเห็นอวี้เหวินผิงโดนยิงตายคาที่ ก็สะใจยิ่ง โทสะใดล้วนมลายหายไปสิ้น แต่อย่างไรเสียสกุลอวี้ก็มีอำนาจไม่น้อยท่ามกลางบรรดาขุนนางในราชสำนัก เกรงว่าจะมีคนทวงความยุติธรรมแทนเขา เดี๋ยวจะเกิดความวุ่นวายขึ้นในภายหลังได้ จึงสงบพระทัยมั่น เหลือบมองศพอวี้เหวินผิง แล้วตรัสกับทัวป๋าจวิ้นว่า “เจ้าทำเพื่อปกป้องข้า จะมีความผิดใดได้” แล้วมองไปยังบรรดาขุนนางที่ยังไม่ได้สติคืนมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ “ทุกท่านต่างเห็นกับตากันว่าสมุหนายกอวี้จะพุ่งมาหาข้า ใช่หรือไม่!”
—————-
[1] ฉื่อ 33.33 เซนติเมตร