ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 259.2 ประหารโดยตัดมือเท้าลงโอ่งต้ม ฝันถึงชาติกาลก่อน (2)
คนที่อยากจะพบตนในเมื่อกล้าละเมิดโทษทัณฑ์ใหญ่ของแผ่นดิน ก็ต้องไม่ใช่เรื่องดีเด่อะไรแน่ อวิ๋น หว่านชิ่นดึงมือชูซย่าขึ้น หันหลังเดินไป
กงกงเห็นว่าโดนมองออกแล้ว ก็ร้อนรนขึ้นมา กัดฟันแน่น แอบหยิบหินบนพื้นขึ้นเงียบๆ อาศัยจังหวะที่ทั้งสองคนหันหลัง ก็สาวเท้าเข้าไป ยกมือขึ้น ทุบลงบนศีรษะชูซย่าทันที เห็นสาวใช้คนนั้นหลุดร้องแล้วล้มลงก็ล้วงผ้าที่เตรียมไว้แต่แรกออกมาปิดจมูกอวิ๋นหว่านชิ่นไว้จากด้านหลัง ฉีกหน้ากากนอบน้อมเมื่อครู่ออก ใบหน้าเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม “ฮุ่ยผินของเราพูดไม่ผิดจริงๆ ช่างเป็นคนที่ทำให้วางใจไม่ได้เสียจริง! ให้เจ้าไปเจ้าก็ไปสิ จะสงสัยอันใดเยอะแยะ”
นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเจี่ยงอวี๋
อวิ๋นหว่านชิ่นขมวดคิ้ว สูดดมกลิ่นแปลกประหลาดแต่ก็คุ้นเคยดีเข้าไป ก็รู้ได้ว่าเป็นยาสลบ แม้จะพยายามอย่างสุดกำลังที่จะกลั้นหายใจไว้ แต่หมดหนทางเพราะมียาบนผ้ามากเกินไป จึงได้สูดดมเข้าไปจำนวนหนึ่ง สติเลือนราง เริ่มจะเลอะเลือนไป
กงกงคนนั้นเห็นนางดิ้นรนไม่พัก ก็เกิดความโหดเหี้ยมขึ้น เพิ่มแรงปิดปากแน่นขึ้นมาสามส่วน รอจนนางอ่อนยวบลงจึงได้แบกขึ้นมา อาศัยความมืดยามราตรีมาปิดบัง ออกไปจากตรงนั้นอย่างเร่งรีบ
ชูซย่าถูกก้อนหินก้อนหนึ่งกระแทกเข้าจนวิงเวียน ล้มลงกับพื้นลุกไม่ขึ้น แต่สังเกตุเห็นอย่างลางเลือนว่านายหญิงถูกคนพาตัวไปแล้ว รอจนเรี่ยวแรงกลับมาก็ยันพื้นลุกขึ้น โซซัดโซเซกลับหอเหยาไถไป พอเข้าลานบ้านมา ท่าทางชูซย่าทำให้คนในหอเหยาไถตกอกตกใจพากันมารุมล้อม “แม่นางชูซย่าเป็นอันใดไป”
ฉีไหวเอินเห็นท่าทางนี้ของนางก็ตกใจยกใหญ่ “เจ้าไปตำหนักฉือหนิงกับนายหญิงมิใช่หรือ เหตุใดจึงกลับมาคนเดียวเล่า…”
ชูซย่าโมโหจนหอบหายใจไม่ทัน จับข้อมือเขาเอาไว้ “เป็นฮุ่ยผินแอบอ้างราชโองการไทฮองไทเฮามาเรียกพวกเราไปเข้าเฝ้า นายหญิงยามนี้ถูกคนของนางพาตัวไปอยู่ไหนแล้วไม่รู้ รีบไปเรียกคนให้ตามหา…”
“เจี่ยงฮุ่ยผินรึ นางยังโดนกักบริเวณในตำหนักถงกวงอยู่ ออกมาน้อยครั้งมากมิใช่หรือ จะกำเริบเสิบสานเพียงนี้ได้อย่างไร!” ฉีไหวเอินตกตะลึง ทว่าก็พอจะคาดเดาบางอย่างได้ เจี่ยงอวี๋นั่นเกลียดชังนายหญิงเขาที่สุด ยามนี้อาศัยจังหวะที่ฝ่าบาทไม่อยู่เมืองหลวงและคืนนี้เขตพระราชฐานวุ่นวายโกลาหล ลงมือก่อความวุ่นวาย เกรงว่าคิดจะใช้โอกาสอันดีงามนี้แก้แค้นนายหญิงแน่
ฉีไหวเอินร้อนรนจนทึ้งหัว สงบสติมั่น รีบสั่งนางกำนัลจำนวนหนึ่งว่า “เร็ว ไปรายงานทางตำหนักฉือหนิง!”
เนี่ยมอมอเอ่ยอย่างร้อนใจว่า “แย่แล้ว วันนี้ทางตำหนักฉือหนิงวุ่นวายกันมาก ต่างปิดถนนไปแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดล้วนมิให้เข้าใกล้เลย เกรงว่าไทฮองไทเฮาก็คงจะเข้าเฝ้ามิได้ แล้วจะทำเช่นไรดี”
ชูซย่านึกบางอย่างขึ้นมาได้ สั่งบรรดานางกำนัลว่า “องครักษ์เฉินวันนี้เข้าเวรในวัง พวกเจ้ารีบไปแจ้งเขาที่ตำแหน่งยืนยาม” แล้วลากฉีไหวเอินกับขันทีอีกจำนวนหนึ่งไปยังตำหนักถงกวง ตะโกนโหวกเหวกโวยวายหน้าประตูใหญ่ว่าขอพบฮุ่ยผินอีกทั้งให้ฮุ่ยผินเรียกนายหญิงของตนออกมา
เป็นดังที่ทั้งสองคาดคิดไว้ระหว่างทาง เจี่ยงอวี๋ถูกด้านนอกรบกวน พานางกำนัลไม่กี่คนออกมา ยืนอยู่ในลานตำหนัก เอ่ยประชดประชันกับชูซย่าและคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านนอกว่า “นึกว่ามีผีจริงๆ เสียอีก นายหญิงของเจ้าหายตัวไป วิ่งแจ้นมาหากับข้า ทางข้ามิใช่นายทุนค้ามนุษย์เสียหน่อย หากมีหลักฐาน ยามนี้ก็ไปฟ้องไทฮองไทเฮาให้มาตรวจสอบ หากไม่มีหลักฐาน พวกเจ้าโหวกเหวกโวยวายเช่นนี้ต่อไปก็จะโดนข้อหาผู้น้อยล่วงเกินผู้สูงส่งกว่า อย่ามาโทษว่าข้าให้คนลากสุนัขรับใช้อย่างพวกเจ้าออกไปโบยให้ตายก็แล้วกัน!”
ฉีไหวเอินจะถลกแขนเสื้อเข้าไป ชูซย่าก็ห้ามเขาไว้ ต่อให้เจี่ยงอวี๋โง่กว่านี้ก็ไม่ซ่อนคนไว้ในตำหนักตัวเองหรอก ยามนี้ไม่มีเวลามาตอแยนางต่อ หานายหญิงให้พบต่างหากจึงสำคัญที่สุด นางลากฉีไหวเอินไว้กระซิบเอ่ยว่า “เจ้าสังเกตุหรือไม่ สาวใช้คนสนิทของฮุ่ยผินนั่นอยู่ข้างกายนางตลอด แต่ยามนี้กลับไม่อยู่ เป็นไปได้หรือไม่ที่ฮุ่ยผินจะส่งออกไป…อยู่กับนายหญิงของเรา”
ทั้งสองไม่พูดอะไรมาก ออกจากตำหนักถงกวงอย่างรีบเร่ง เดินกลับมาได้ครึ่งทาง ก็เห็นเนี่ยมอมอตามมา หอบหายใจเอ่ยว่า “ถนนของตำหนักหนิงฉือล้วนขวางไว้ ราชองครักษ์เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ปล่อย บอกว่าไทฮองไทเฮาได้ตรัสไว้ บรรดาสาวใช้ทั้งพูดดีก็แล้วพูดแย่ก็แล้ว คนพวกนั้นล้วนไม่ให้พวกเราเข้าไป…”
ในขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าของบุรุษก็ดังขึ้น ทุกคนหันไปมองตามเสียง เห็นเฉินจ้าวสีหน้าเคร่งขรึมพาราชองครักษ์จำนวนหนึ่งมาตามที่ได้รับข่าว พอเห็นสีหน้าของชูซย่าและคนอื่นๆ ไม่ต้องถามให้มากความก็รู้ว่ายังหาตัวไม่พบ ชูซย่ายามนี้จำต้องตั้งความหวังไว้ที่เฉินจ้าว นางเอ่ยอย่างกังวลว่า “ใต้เท้าเฉินว่าตอนนี้จะทำเช่นไรกันดี ฮุ่ยผินนั่นทำเรื่องพรรค์นี้ขึ้นมาแล้ว เกรงว่าจะไม่ดีต่อนายหญิงแน่ ต้องรีบหาให้พบโดยไว ขอท่านโปรดพาราชองครักษ์ไปช่วยตามหาด้วยเถอะ”
วังหลวงอันกว้างใหญ่ ฟ้าสีราตรีมืดไปทั้งผืน คนก่อเรื่องไม่บอก จะไปหาจากตรงไหน อาศัยแค่ราชองครักษ์ไม่กี่คนเวลาแค่นี้ไหนเลยจะไปหาเจอได้
เฉินจ้าวสีหน้าขยับไหว ให้พวกนางรอดูสถานการณ์ก่อนอย่าเพิ่งวู่วาม แล้วสาวเท้าพาราชองครักษ์ไปเสาะหาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของวังหลวงอย่างรวดเร็ว
ณ ตำหนักฉงเหวินภายใต้ราตรีเงียบงันและเคร่งขรึม เสียงจอแจที่เพิ่งจะมีคนเข้ามาพักได้มลายหายไป
ทหารกลุ่มหนึ่งที่ติดตามฉินอ๋องเข้าเมืองหลวงมาก่อนถูกจัดให้อยู่ในห้องด้านข้างแต่ละห้อง
ไม่กี่ยามดีฟ้าก็จะสว่างแล้ว รอเสียงไก่ขัน แสงนภาทอส่อง ราชโองการของไทฮองไทเฮาถูกถ่ายทอดออกไป อำนาจในราชสำนักนี้ก็จะกลับคืนสู่มือเขาอีกครั้ง
แอบทนมาหนึ่งปีกว่า กลับไม่ได้สูญเปล่า มีเพียงเช่นนี้เท่านั้นเขาจึงจะสามารถถูกผู้คนเชิญอย่างเคารพนบนอบกลับราชสำนักมากุมอำนาจอย่างผ่าเผยได้
ซย่าโหวซื่อถิงนั่งอยู่หลังโต๊ะ ยกนิ้วขึ้นเบาๆ ถูโต๊ะที่มีฝุ่นเกาะ ทัวป๋าจวิ้นกับซือเหยาอันเห็นสถานการณ์มั่นคงแล้ว ก็อารมณ์ผ่อนคลายกันขึ้น ยืนอยู่เป็นเพื่อนผู้เป็นนายค่อนคืน
ทัวป๋าจวิ้นกับซือเหยาอันพูดคุยอยู่พักหนึ่ง ก็หัวเราะเบิกบานเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง ข้าแจ้งทางเขตส่านซีแล้ว พอเรื่องในวันนี้มั่นคง ทหารที่เหลือทางฉางอันกับขุนนางคนสนิทของจวนจะเร่งรุดตามมาเมืองหลวง สถานการณ์ของท่านอ๋องก็จะยิ่งมั่นคงมากขึ้น”
“แม่ทัพทัวป๋าปรีดาเพียงนี้ เป็นเพราะอู่เหนียงกำลังจะมากระมัง” ซือเหยาอันเย้า ตอนนั้นท่านอ๋องให้ทัวป๋าจวิ้นและภรรยาไปแดนเหนือก่อน ใช้การลอบสังหารเฮ่อเหลียนอวิ่นมาข่มขู่ฝ่าบาท ต่อมาท่านอ๋องขึ้นเหนือไป ทัวป๋าจวิ้นกับเย่ว์อู่เหนียงจึงได้อยู่ข้างกายท่านอ๋องที่แดนเหนือ
“ไอ้หนู เจ้าแต่งเมียก็จะรู้แล้วว่าอารมณ์ข้าเป็นเช่นไร!” ทัวป๋าจวิ้นไม่ปกปิดสีหน้าเขินอายสักนิด
ได้ยินประโยคนี้เข้า ซย่าโหวซื่อถิงก็เงยหน้าขึ้นทันใด เว้นจังหวะครู่หนึ่ง สายตามองลอดหน้าต่างไปทางเหนือ
ทิศเหนือ ก็คือที่ที่วังหลังตั้งอยู่
ซือเหยาอันรู้ดีว่าท่านอ๋องกำลังคิดอะไรอยู่ จึงเอ่ยเสียงเบาว่า “ไทฮองไทเฮาตรัสถูกแล้ว เหนียงเหนียง…อวิ๋นเหม่ยเหรินยามนี้เป็นคนของฝ่าบาท ท่านอ๋องต้องหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์กับอวิ๋นเหม่ยเหริน เรื่องที่ท่านอ๋องเพิ่งจะกลับวัง ไม่อาจให้คนมาวิพากษ์วิจาณณ์ว่าท่านคิดเพ้อหาชายาสนมของวังหลังได้ อดทนอีกไม่กี่วัน รอให้มั่นคงก่อน ค่อยคิดหาวิธีเอากลับคืนมาก็ไม่สาย”
อวิ๋นเหม่ยเหริน ฟังคำเรียกนี้แล้ว คิ้วเขาขมวดมุ่นเป็นเครือเถาวัลย์ มุมปากแข็งราวกับน้ำแข็ง หัวเราะเสียงเย็นออกมา
ในขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าร้อนรนและเสียงคนโวยวายจะเข้ามาก็ดังขึ้นด้านนอกประตู เห็นว่าคนเฝ้ายามด้านนอกตำหนักฉงเหวินขวางไว้แทบไม่ได้
“เกิดอันใดขึ้น เป็นใครที่กล้าบุกตำหนัก” ทัวป๋าจวิ้นรำคาญ ออกจากตำหนักหลักไป เห็นเพียงคนที่ดูท่าทางเป็นองครักษ์ชั้นในไม่กี่คนบุกมาด้านใน กำลังจะเดินออกไปไล่ ซือเหยาอันที่วิ่งมาด้านหลังเห็นผู้มาเยือนก็ตกใจ “ใต้เท้าเฉินรึ” แล้วเอ่ยขึ้นเสียงดัง “รีบปล่อยตัว! เป็นใต้เท้าเฉินผู้บัญชาการกองจอมพลดูแลกิจการทหารของเมืองหลวง!”
ทัวป๋าจวิ้นแม้จะไม่เคยเจอเฉินจ้าว แต่เคยได้ยินว่าเขาเปิดประตูเมืองให้ฉินอ๋องมาก่อน น่าจะนับว่าเป็นคนของเราได้ พอได้ยินก็รีบให้คนไปเชิญเฉินจ้าวมาทันที