ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 263.3 สมรสพระราชทานร่วมกัน ปมในใจของแม่นางหัน (3)
อวิ๋นหว่านชิ่นฟังนางพูดก็รู้สึกว่ามีเหตุผล จึงได้ล้มเลิกความคิดไป “ข้ามันตาถั่ว วันนี้จึงได้พบว่าเจ้ามีความสามารถเป็นแม่สื่อ เอาล่ะ เอาล่ะ ฟังความคิดนี้ของเจ้าแล้ว ก็คือไม่อยากให้ข้าหาภรรยาให้พี่ใหญ่เฉิน เช่นนั้นเรื่องของพี่ใหญ่เฉินก็คงต้องปล่อยไว้แล้ว”
เดิมทีเป็นคำพูดล้อเล่นเท่านั้น เมี่ยวเอ๋อร์กลับรีบแย้งไปว่า “ข้าจะไม่อยากให้ใต้เท้าเฉินหาเจ้าสาวดีๆ สักคนได้อย่างไร แต่เรื่องแต่งงานนี้มันคือชีวิตทั้งชีวิต จับผิดคู่ไป หายนะไปทั้งชาติ ไม่ว่าชายหรือหญิงก็เหมือนกัน ใต้เท้าเฉินเป็นคนดีคนหนึ่ง ข้าแทบอยากจะหาคนที่เหมาะสมให้กับเขาอยู่แล้ว”
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นสีหน้าท่าทางนางเปลี่ยนไป ก็พลันนึกขึ้นได้ว่าเฉินจ้าวเคยพูดเล่นว่าภรรยาในอนาคตต้องเหมือนกับอวิ๋นหว่านชิ่นจะดีที่สุด แต่ในโลกนี้จะมีคนที่เหมือนกันง่ายๆ เพียงนั้นได้อย่างไร เมี่ยวเอ๋อรี่อยู่ตรงหน้าเป็นพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันกับตน กลับแค่หน้าตาเหมือนกัน มีหลายมุม กระทั่งเหมือนอยู่เจ็ดแปดส่วน มิฉะนั้นตอนนั้นจะหลอกหนิงซีฮ่องเต้ได้หรือ
เมี่ยวเอ๋อร์กลับมีชีวิตที่ยากลำบาก แม้จะบอกว่าเข้าวังมาเสพสุขความมั่งคั่งร่ำรวยจนหมด ตอนที่หนิงซีฮ่องเต้ยังอยู่ก็ปฏิบัติต่อนางไม่เลว แต่สตรีคนหนึ่งที่สูญเสียความสุขอันใหญ่หลวงไป วัยสาวที่เบ่งบานดั่งบุปผาต้องมาเป็นแม่หม้ายใช้ชีวิตอยู่ในวังหลังไปชั่วกาล หมดหนทางจะชื่นชมความรักระหว่างชายหญิงได้
ฮ่องเต้ยึดครองหญิงงามทั้งใต้หล้า ยามที่ยังอยู่ สตรีเต็มวังหลวงแย่งความโปรดปรานอันน้อยนิดนี้กันสุดชีวิต หลังจากสวรรคตไป ก็มีสตรีวัยแรกแย้มมากมายร่วมส่งเสด็จพระองค์ที่วังหลังไปทั้งชีวิต
เมี่ยวเอ๋อร์กับเฉินจ้าวล้วนเป็นคนที่นางอยากจะปกป้องไว้ให้ดีในชีวิตนี้ นางไม่อยากให้ทั้งสองโดดเดี่ยวและลำบาก
และในขณะนั้นเอง คำพูดและการกระทำของเมี่ยวเอ๋อร์เจือความรู้สีกดีๆ ต่อเฉินจ้าวอยู่ กลับทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นดวงใจเต้นกระตุก ทว่าไม่ได้พูดอะไรมากอีก เอ่ยธุระในวันนี้ต่อ ถือโอกาสเลือกรายชื่อขุนนางคนหนึ่งออกมาจับคู่ หลุดยิ้มออกมา “คนๆ นี้เดิมทีก็ถึงเวลาต้องแต่งภรรยาแล้วเหมือนกัน”
เมี่ยวเอ๋อร์หยิบขึ้นมา เห็นเพียงบนหนังสือเขียนว่า ‘รองผู้บัญชาการทหารราบเว่ยเสี่ยวเถี่ย’ ก็อดแย้มยิ้มออกมาไม่ได้ “รองผู้บัญชาการเว่ยผู้นี้เดิมทีเป็นผู้ช่วยข้างกายใต้เท้าเฉินกระมัง ติดตามใต้เท้าเฉิน ต่อให้เรียนรู้เพียงเล็กน้อยแต่ก็มีประโยชน์มากมาย เป็นดังที่คาดไว้ อายุน้อยเพียงนี้ก็โดนเลื่อนขั้นกลายเป็นรองผู้บัญชาการทหารราบแล้ว อนาคตไม่จำกัดแน่”
“ที่แท้ในใจไท่ผินแล้วใต้เท้าเฉินเก่งกาจขนาดนี้นี่เอง” อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มเอ่ย
เมี่ยวเอ๋อร์คล้ายกระอักกระอ่วนเล็กน้อย นางรีบเบี่ยงประเด็นไป “…รองผู้บัญชาการทหารราบอยู่ขั้นห้า ลำดับยศไม่ต่ำเลย ซ้ำยังเป็นฝ่าบาทที่ทรงเลื่อนยศให้ด้วย ได้ยินมาว่ารองผู้บัญชาการทหารราบเว่ยคนนั้นกล้าหาญไม่เบา เรียกได้ว่าคุณสมบัติดีที่สุดในหมู่คนพวกนี้เลยก็ว่าได้ ไม่รู้ว่าจะจับคู่ให้กับสาวใช้คนใดจึงจะดี”
ด้านหลัง บรรดานางกำนัลมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน มีสิ่งดีๆ อะไรล้วนยินดีให้พี่น้อง เจ้าผลักข้าถอย มีเพียงชิงฉานคนที่นึกไม่ถึงว่านางจะก้มหน้าก้มตาลูกเดียว บีบชายเสื้อผ้าแน่นดึงไปดึงมา อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นอยู่ในสายตา กำลังเกิดความสนใจใคร่รู้ขึ้นเลย แต่ได้ยินชูซย่าเข้ามารายงานว่า “วันนี้รองผู้ชาการเว่ยถูกเรียกเข้าวัง จึงขอเข้าเฝ้านายหญิง ได้รับอนุญาตแล้ว กำลังมาที่นี่เจ้าค่ะ”
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา อวิ๋นหว่านชิ่นตกใจ เอ่ยว่า “ดี เรียกเขามาเถอะ”
เพียงไม่นาน เว่ยเสี่ยวเถี่ยก็มาถึง ไม่พบกันสองปี รูปร่างสูงขึ้นอีกไม่น้อย หน้าตาก็ห้าวหาญทรงพลัง ยามนี้สวมชุดขุนนางฝ่ายทหาร คุกเข่าลงมา “ถวายคำนับนายหญิงทุกท่าน” แล้วมองไปตรงกลางด้วยรอยยิ้ม จิ๊ปากสองครั้ง เอ่ยอย่างจริงใจสัตย์ซื่อว่า “ฮูหยินงดงามกว่าแต่ก่อนเสียอีก”
“เป็นตั้งรองผู้บัญชาการทหารราบแล้วก็ยังแก้ความปลิ้นปล้อนนี้ไม่ได้ มิน่าเล่าจนถึงตอนนี้ไทฮองไทเฮาก็ยังไม่ลืมเจ้า มักจะถามข้าว่าไอ้หนูที่พาทหารมาร้องขอความเมตตาแทนข้าในตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง หากไม่ค่อยจะดีก็ไปทำงานที่ตำหนักฉือหนิงเสีย ทางด้านไทฮองไทเฮายังมีตำแหน่งกงกงว่างอยู่ สวัสดิการดียิ่งนัก” อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มเอ่ย
เว่ยเสี่ยวเถี่ยตกใจ แล้วทำหน้าทะเล้น “อวิ๋นฮูหยินเหมือนแต่ก่อนเลยนะพ่ะย่ะค่ะ แค่ขยับปากก็ทำให้คนเหงื่อตกไปทั่วร่างได้แล้ว”
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่หยอกล้อเขาต่ออีก เอ่ยอย่างอบอุ่นว่า “ตั้งใจมาหาก็เพื่อมาชมกันหรือ”
เว่ยเสี่ยวเถี่ยรอยยิ้มจางหาย เคร่งขรึมขึ้นมาไม่น้อย ก้มหน้าลง “ที่กระหม่อมมาหาในวันนี้เพราะมีเรื่องอยากขอร้องพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าเป็นขุนนางฝ่ายทหารรุ่นหลังในเมืองหลวง แม้ว่าจะมีธุระก็ควรจะไปขอร้องกับฝ่าบาท มาหาข้าจะขออันใดได้” อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยพลางเห็นสายตาเขาเหลือบมองไปด้านหลังตนกับเมี่ยวเอ๋อร์ นางก็คาดเดาบางอย่างได้แล้ว
เป็นไปอย่างที่คิดไว้ เว่ยเสี่ยวเถี่ยเดิมทีก็ใจร้อน ยามนี้จึงไม่เก็บซ่อนไว้อีก เขาเอ่ยว่า “กระหม่อมอยากจะมาขอคนๆ หนึ่ง…” เอ่ยพลางชี้ไปยังหนึ่งในสาวใช้ทั้งสี่
สายตาของทุกคนต่างรวมอยู่บนร่างชิงฉาน
ชิงฉานคิดไม่ถึงว่าเขาจะมา สีหน้าแดงก่ำไปหมดแล้ว นางขบริมฝีปาก สาวเท้าเข้าไปอย่างรีบร้อน ถุยน้ำลายใส่ “เจ้าอยากตายหรือไร! นึกไม่ถึงว่าจะมาขอร้องต่อหน้านายหญิงทั้งหลาย…เจ้า…น่าขายหน้านัก!” พูดจบก็ปิดหน้าปิดตาไว้
น้ำเสียงแม้จะตำหนิเว่ยเสี่ยวเถี่ย แต่เห็นได้ชัดเลยว่านางทั้งยินดีทั้งเขินอาย
เว่ยเสี่ยวเถี่ยตะโกนขึ้นว่า “นี่มันน่าอายตรงไหน เกิดนายหญิงยกเจ้าให้ชายอื่นจะทำอย่างไร! เฮ้อ ก่อนหน้านี้ยามเจ้าเจอข้า ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสมิใช่หรือไร เหตุใดต่อหน้านายหญิงจึงได้กลายเป็นเช่นนี้เล่า หัวใจสตรีอย่างพวกเจ้ายากแท้หยั่งถึงจริงๆ ข้าร้อนใจจะตายอยู่แล้ว!”
“ข้าเห็นเจ้าแล้วยิ้มแย้มแจ่มใสตอนไหนกัน!” ชิงฉานเดิมทีก็เป็นคนเก็บตัว ไหนเลยจะทนต่อการที่เว่ยเสี่ยวเถี่ยโก่งคอโตป่าวประกาศต่อหน้านายหญิงได้ ใบหน้าจึงแดงเห่อจนเลือดแทบหยด กระทืบเท้าสองครั้ง “ถ้ายังจะพูดอีก ข้าจะโขกหัวตายต่อหน้าเจ้าไปเลย!”
ทุกคนต่างหัวเราะออกมากันยกใหญ่ แต่ก็เรียกได้ว่าเข้าใจได้แล้ว ที่แท้เว่ยเสี่ยวเถี่ยก็เป็นคู่รักกันกับชิงฉานนี่เอง
พอได้สอบถาม อวิ๋นหว่านชิ่นจึงได้รู้ว่าที่แท้ตั้งแต่เว่ยเสี่ยวเถี่ยเข้าเมืองหลวงมาติดตามเป็นผู้ช่วยอยู่ข้างกายเฉินจ้าว เดินอยู่ที่ประตูเมืองและนอกวังเป็นครั้งคราว มีครั้งหนึ่งพรหมลิขิตให้เจอเข้ากับชิงฉาน เว่ยเสี่ยวถิงเป็นคนที่ชอบแล้วจะลงมือทันที จงใจทำเป็นบังเอิญเจอหลายครั้ง ก่อความปั่นป่วนให้ใจชิงฉาน แม้ทั้งสองจะไม่พูดออกมาตรงๆ แต่ในใจก็มีอีกฝ่ายอยู่ ยามนี้ได้ยินว่าสาวใช้ทั้งสี่ของพระสนมเอกเฮ่อเหลียนจะถูกปล่อยออกจากวังไปแต่งงาน เว่ยเสี่ยวเถี่ยไหนเลยจะอยู่เฉยได้ แอบไปสืบจากเกาจ๋างสื่อ ได้ทราบว่าเป็นทางอวิ๋นหว่านชิ่นที่จัดการ จึงวิ่งแจ้นมาที่นี่
ดังนั้นแล้ว ชิงฉานสกุลอิงจึงได้คู่กับรองผู้บัญชาการเว่ย เรื่องนี้ก็นับได้ว่าตกลงเรียบร้อย
ที่เหลืออีกสามคน หลานถิงวาทะยอดเยี่ยม สมองปราดเปรื่อง เดิมทีได้รับความโปรดปรานจากพระสนมเอกเฮ่อเหลียนที่สุด ได้จับคู่กับอาจารย์หันหลินที่นิสัยโอนอ่อนผ่อนตาม อ่อนน้อมรักสงบ ก็สามารถเสริมให้กันและกันได้พอดี
จื่อซวงกับชื่อสยาคนหนึ่งถนัดเรื่องขนบธรรมเนียมและการแต่งตัว อีกคนถนัดเรื่องการต่อสู้ ก็จับคู่กับขุนนางกรมพิธีคนหนึ่งและขุนนางทหารในกองทัพคนหนึ่งตามลำดับ
พวกนางไหนเลยจะไม่พอใจ ราชวงศ์พระราชสมรสมาให้ เป็นโชคดีอันยิ่งใหญ่ล้นฟ้าแล้ว จึงรับเจตนาของนายหญิงไว้ กลับไปเตรียมสินเดิมกันอย่างเขินอาย
อวิ๋นหว่านชิ่นเขียนการจัดการให้คนทั้งแปดลงบนกระดาษ วางพู่กันลง ให้ฉีไหวเอินนำไปส่งให้ทางด้านซย่าโหวซื่อถิง เมี่ยวเอ๋อร์จงใจเอ่ยขึ้นว่า “เจ้ายังจะมาว่าข้าเหมือนแม่สื่ออีก ข้าว่าเจ้าร่วมมือกับฝ่าบาทมากกว่า”
ขุนนางหนุ่มทั้งสี่คนเลือกมาจากหน่วยงานที่แตกต่างกัน ฝ่ายอักษรสองฝ่ายทหารสอง แม้จะไม่เรียกได้ว่าตำแหน่งสูง แต่ล้วนเป็นแกนกลางสำคัญของหน่วยงานที่มีศักยภาพอย่างมาก และเป็นผู้มีฝีมือรุ่นหลังที่ซย่าโหวซื่อถิงฝึกฝน สามารถเติบโตขึ้นได้ตามกาลเวลา สตรีทั้งสี่ล้วนเป็นคนของทางฝ่าบาท แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับขุนนางทั้งสี่ ย่อมยิ่งสามารถเสนอคำแนะนำต่อฮ่องเต้ได้ จงรักภักดีต่อราชวงศ์อย่างสุดจิตสุดใจ
ทั้งสองกำลังหัวเราะหยอกล้อกันอยู่ ชูซย่าก็ค้อมกายเก็บกวาดกระดาษที่เขียนไปพลาง เอ่ยสอดอย่างไม่ได้ตั้งใจว่า “คนบางคนพอได้จับคู่ก็ได้คู่กัน คนบางคนน่ะหรือ อ้อนวอนให้ตายก็ไม่ยอมแต่ง ไล่ก็ไล่ไม่ไป เฮ้อ”
ทั้งสองหยุดพูดคุยกัน เมี่ยวเอ๋อร์คาดเดาบางอย่างได้ไม่น้อย “ชูซย่า เจ้าหมายถึงแม่นางหรุ่ยจือรึ”