ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 264.1 ซาลาเปาพูดคุยกัน ยับยั้งขุนนางที่ปรึกษา (1)
ตราบใดที่ฉินอ๋องมีข้อเท็จจริงระหว่างสามีภรรยากับพระสนม ครรภ์นี้ไม่ว่าอย่างไรก็สามารถโยนไว้กับตัวฉินอ๋องได้
หันเซียงเซียงได้ฟังกลับยิ้มขื่น ยาสลบอย่างนั้นรึ ยาสลบนั่นลงท้องไป ฉินอ๋องหลับสนิทแน่นิ่ง จะไปทำอะไรได้อีก
วันนั้นหลังจากฉินอ๋องดื่มน้ำไปแล้ว ก็หลับตั้งแต่กลางคืนไปจนถึงเที่ยงของอีกวัน นางหมดหนทาง มีเพียงโอกาสเดียวนี้ มิฉะนั้นแล้วครรภ์นี้คงปิดไว้ไม่ได้อีก จำต้องเดิมพันสักตั้ง ถอดเสื้อผ้าเขาออก จัดท่าทางให้เหมือนเคยร่วมหอกัน ผ่านไปหนึ่งเดือนกว่า ค่อยป่าวประกาศเรื่องครรภ์ของตน ฉินอ๋องไม่พูดอะไรสักคำ ทำเพียงมองตนอย่างมีความนัยบางอย่าง นางกระทั่งหายใจยังไม่กล้า โชคดีที่สุดท้ายเขาไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงให้ย้ายไปยังเรือนไผ่ดูแลครรภ์คนเดียว หลี่ว์ชีเอ๋อร์ตอนนั้นพรูลมหายใจออกมา ดีร้ายอย่างไรก็เคยร่วมหอกับฉินอ๋องแล้ว แต่หันเซียงเซียงกลับมีปมในใจตั้งแต่นั้นมา กระวนกระวายมาจนถึงตอนนี้
ยามนี้ หันเซียงเซียงไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงลูบหัวทุยๆ ของตวนเจี่ยร์ไปมา
หลี่ว์ชีเอ๋อร์เห็นท่าทางนี้ของหันเซียงเซียง ก็กัดฟัน “แล้วอย่างไรเล่า ไม่ว่าอย่างไร ตวนเจี่ยร์ต่างหากที่เป็นธิดาในแผนภูมิหยกประจำราชวงศ์ของฝ่าบาท โอรสของแม่นางอวิ๋นไม่ใช่! ท่านจะกลัวอันใดกัน”
กลัวอย่างนั้นรึ หันเซียงเซียงนิ่งอึ้ง นางกลัวอะไร สิ่งเดียวที่กลัว ก็แค่ฝ่าบาทคาดเดาเรื่องราวออกได้ตั้งนานแล้ว ภายหน้าปฏิบัติต่อลูกสาวไม่ดีเท่านั้น
นางขอบตาแดง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเล็ก “ชีเอ๋อร์ เจ้าช่วยข้าแอบไปหาคนผู้หนึ่งที ข้าอยากจะพบเขา” กล่าวจบ ก็ขยับไปข้างหูหลี่ว์ชีเอ๋อร์ เอ่ยบอกชื่อออกมา
หลี่ว์ชีเอ๋อร์ได้ฟังสีหน้าก็พลันเปลี่ยน แล้วมองไปยังตวนเจี่ยร์แวบหนึ่ง ชั่วขณะนั้นก็พลันกระจ่างแจ้ง รีบดึงหันเซียงเซียงมาใกล้ ปิดปากนางไว้ “นายหญิงของข้า ท่านไม่อาจพบหน้าคนผู้นั้นได้นะเจ้าคะ คนผู้นี้ ภายหน้าท่านก็ให้เขาตายอยู่ในท้อง ทำเป็นไม่รู้จักเสีย ตายไปก็อย่าได้เอ่ยถึงอีก!”
หันเซียงเซียงก็รู้แก่ใจดีว่าตัวเองพลุ่งพล่านเกินไป ถูกกดให้นั่งลงอย่างเหม่อลอย ไม่พูดอะไรออกมาอีก
หลายวันผ่านไป คนในตำหนักเซียนจวีก็สังเกตได้ว่าพระสนมหันเงียบงันไม่พูดไม่จากว่าเมื่อก่อนมากนัก และจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมากกว่าเดิม คล้ายอารมณ์ไม่นิ่งทั้งวัน
เสี่ยวเหมยและคนอื่นๆ ต่างแปลกใจ บางครั้งก็แอบถามหลี่ว์ชีเอ๋อร์ส่วนตัวอยู่สองสามคำ กลับโดนหลี่ว์ชีเอ๋อร์ดุกลับไป ห้ามให้คนรับใช้ตำหนักเซียนจวีพูดมากกันอีก
วันนี้ท้องฟ้าไร้เมฆลอย ลมโชยพัดเย็นสบาย หลี่ว์ชีเอ๋อร์เห็นหันเซียงเซียงอุ้มลูกสาวมานั่งข้างหน้าต่างไม่พูดไม่จาอีกแล้ว กลัวว่านางเหม่อลอยทั้งวันต่อไปเช่นนี้ จะทำให้คนมองออก อดจะแอบถุยน้ำลายออกมาไม่ได้ ทว่าทำได้เพียงเข้าไปหาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ตั้งแต่มาอยู่ในวังนายหญิงอุดอู้อยู่แต่ในตำหนักเซียนจวี ไม่เคยออกไปข้างนอกเลย อีกไม่กี่วันก็จะเป็นพิธีแต่งตั้งบรรดาศักดิ์แล้ว ท่านเป็นเช่นนี้จะไปพบใครเขาได้ วันนี้อากาศดีไม่น้อย ออกไปเดินเล่นที่สวนหลวงดีกว่านะเจ้าคะ”
หันเซียงเซียงเดิมทีก็ไม่อยากออกไป แต่เห็นลูกสาวในอ้อมอกดูน่าสงสาร ตั้งแต่คลอดออกมาก็อยู่แต่ในสวนไผ่หลังจวนอ๋องในเขตปกครองกับตนมาตลอด ยามนี้มาเมืองหลวง ก็อยู่แต่ในตำหนักเท้าไม่ออกจากเรือน กระทั่งแสงแดดยังส่องมาน้อยมาก เติบโตก็ช้ากว่าเด็กวัยเดียวกัน นางลูบผมเส้นเล็กบางของลูกสาวอย่างสงสาร “ก็ได้ เช่นนั้นก็พาตวนเจี่ยร์ออกไปโดนแดดเสียหน่อย”
หันเซียงเซียงอุ้มลูกสาวด้วยตัวเอง ให้หลี่ว์ชีเอ๋อร์ไปสวนหลวงเป็นเพื่อนข้างกาย เดินอยู่บนถนนดอกไม้เนิบช้าอยู่ครู่หนึ่ง อารมณ์ก็ดีขึ้นเล็กน้อย ทว่ารู้สึกถึงลูกสาวในอ้อมอกยกมือขึ้น ชี้ไปเบื้องหน้า อืออาออกมาคำหนึ่ง “อื้อ…”
ตรงข้ามห่างไปไม่ไกล มีเด็กผู้ชายที่อายุพอๆ กันกับตวนเจี่ยร์อยู่ท่ามกลางกลุ่มคนห้อมล้อมบนลานหญ้า หญิงงามวัยแรกแย้มคลุมขนเป็ดน้ำค้อมกายอยู่ เดินนำเด็กน้อยให้เดินด้วยรอยยิ้มบาง นางกำนัลด้านข้างส่งเสียงชื่นชมกันเป็นระลอก
เด็กชายได้รับการชมเชยก็ภูมิอกภูมิใจ เท้าน้อยๆ ทั้งสองข้างยิ่งขยับเร็วขึ้น จู่ๆ ฝีเท้าก็หยุดลง มองไปยังตวนเจี่ยร์ที่อยู่เบื้องหน้า ยังไม่เคยเห็นเด็กที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับตนมาก่อน ทันใดนั้นก็เหมือนเจอคนบ้านเดียวกันเข้า ยกแขนขึ้นหันหน้าไปชี้ให้มารดาดู
พอบัวลอยน้อยชี้ไป ชูซย่ากับคนอื่นๆ ก็มองไปตามมือ
เจินจูกับฉิงเสวี่ยก็อยู่ข้างกายด้วยเช่นกัน สาวใช้ทั้งสองกลับมาเมืองหลวงจากเขตปกครองพร้อมกองทัพ โดนเรียกตัวเข้าวังนานแล้ว ติดตามข้างกายอวิ๋นหว่านชิ่นอีกครั้ง พอเห็นนายน้อยเข้า ทั้งสองก็ปรีดากันสุดแสน แล้วมองเงาที่ซ่อนอยู่ในตาของบัวลอยน้อย ต่อให้ไม่พูดก็รู้อยู่แก่ใจว่าโอรสของใคร
ทั้งสามคนเห็นผู้มาเยือนตรงหน้าก็มองนายหญิงแวบหนึ่ง
อวิ๋นหว่านชิ่นสีหน้าเรียบเฉย โน้มตัวลงอุ้มลูกชายขึ้น บัวลอยน้อยในอ้อมอกเตะตีเบาๆ กลัวว่าแม่จะไม่เห็น ชี้ไปทางตวนเจี่ยร์อือๆ อาๆ อีกหน แย้มยิ้มตาหยี มือป้อมๆ โบกไปมาสองหน ทักทายว่า “อื้อ! อือ…อา”
ตวนเจี่ยร์ไม่พบคนมาทั้งปี สองปีมานี้หันเซียงเซียงมีเรื่องหนักใจ กลัดกลุ้มอยู่ทั้งวัน ไม่ชอบพูดจากับลูกสาว และไม่เล่านิทานสอนหนังสือให้ลูก เลี้ยงดูอย่างเก็บตัว ยามนี้ดวงตากลมโตกลับเป็นกระกายเจิดจ้า ริมฝีปากนุ่มอมชมพูอ้าออก “นะ…น้องชาย”
หันเซียงเซียงคิดไม่ถึงว่าจะมาเจอคนของหอเหยาไถเข้าทั้งกลุ่ม ก็ตกใจเช่นกัน เห็นสองแม่ลูกตรงหน้าถูกนางกำนัลห้อมล้อมไว้ แม่สงบเสงี่ยมลูกปรีดา คึกคักมีชีวิตชีวายิ่ง เด็กผู้ชายคนนั้นเกิดมาแข็งแรงบึกบึน องอาจน่าเกรงขาม ดูแล้วฉลาดปราดเปรื่องนัก ทางด้านตัวเองกลับเดียวดายไร้ใครห้อมล้อม ลูกสาวในอ้อมแขนอ่อนแอผ่ายผอม คล้ายแมลงผู้น่าสงสาร ในใจก็เป็นทุกข์ขึ้นมาอย่างยากจะอธิบาย นางอุ้มลูกสาวแน่นขึ้น
หลี่ว์ชีเอ๋อร์ยังคงหวาดกลัวเฉียนตั่วตั่วอยู่ไม่น้อย สายตาตกลงบนร่างชูซย่า เห็นแววตานางคมกริบดุจใบมีดจดจ้องมายังตน ก็ไม่กล้ามองมาก ทว่ากำหมัดไว้ พึมพำออกมาอย่างไม่ยอมแพ้ แม่นางอวิ๋นนี่ มีสง่าราศีกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอเสียอีก ฮวงจุ้ยในวังหลวงบำรุงคนได้เพียงนี้เชียวรึ เอวคอดผอมบาง ลำคอขาวราวหิมะ มีเสน่ห์ ไหนเลยจะเหมือนคนที่เคยมีลูกมาก่อน
หลี่ว์ชีเอ๋อร์คิด หลังจากกลับเมืองหลวงมาครานี้การใฝ่ฝันและความทะเยอทะยานที่จะใช้ชีวิตในวังหลวงก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว ตอนแรกอยากจะเกาะฉินอ๋อง พบว่าเป็นไปไม่ได้ ก็ทุ่มสุดชีวิตเพื่อจะได้อยู่ที่จวนฉินอ๋องต่อ สามารถอาศัยแหล่งทรัพยากรในจวนอ๋องปีนขึ้นไปหาองค์ชายคนอื่น กระทั่งเลือกคนไว้ได้แล้ว นั่นคือเยี่ยนอ๋อง ยามนี้ไปๆ มาๆ ใครจะไปคาดคิดว่าฉินอ๋องจะเป็นเจ้าแห่งแผ่นดิน เช่นนั้นจะมีอะไรน่าตื่นเต้นไปกว่าการทำให้ได้อยู่ในวังหลวงต่อไปกัน จากสถานะของนาง สามารถเข้าเมืองหลวง เข้าจวนอ๋อง ล้วนเป็นโชคดีที่เหมือนฝัน หลายครั้งทีเดียวที่เคยคิดว่าจะสามารถเป็นคนรับใช้ในวังหลวงได้
ตำแหน่งฮ่องเต้เพิ่งจะมีคนนั่ง วังหลังไร้คน หากหันเซียงเซียงฮึดสู้ ยอมแย่งยอมชิง ไม่นานก็จะสูงส่งกว่าคนทั้งปวง ตนที่เป็นสาวใช้คนสนิทก็จะพลอยได้ดิบได้ดีไปด้วย เลื่อนขั้นเป็นคนโปรด
แต่น่าเสียดาย หันเซียงเซียงเป็นปูนยุ่ยที่ประคองกำแพงไม่อยู่ โอกาสดีๆ เช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าจะเอาแต่นั่งอยู่ในตำหนักทั้งวี่ทั้งวัน แทบจะเตรียมตัวแก่ตายไปคนเดียวแล้ว
หากมีคนอื่นให้เลือกได้ นางจะมาพึ่งนายหญิงที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้หรือไร
คิดพลาง หลี่ว์ชีเอ๋อร์ก็ยิ่งคับแค้น ทว่าเห็นหันเซียงเซียงอุ้มตวนเจี่ยร์กำลังจะจากไป
หลี่ว์ชีเอ๋อร์เห็นนางทำตัวเหมือนหนูเจอแมวก็ยิ่งดูถูก รีบไปดึงแขนเสื้อนางไว้ กระตุ้นให้นางมุ่งมั่นที่จะต่อสู้ “พระสนมเหตุใดต้องยอมถอยให้พวกนางด้วย ยามนี้ท่านต่างหากที่เป็นสตรีในวังหลังของฝ่าบาท นางเป็นอะไร และหากจะถอยก็เป็นนางที่ควรจะถอยให้”
หันเซียงเซียงถูกหลี่ว์ชีเอ๋อร์ดึงแขนเสื้อไว้ก็เดินไปไม่ได้ นางมองไปยังสาวงามเบื้องหน้าอุ้มเด็กน้อยเดินมาใกล้ ก็ร้อนใจ “ยังไม่ปล่อยข้าอีก”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์อยากให้หันเซียงเซียงเป็นปรปักษ์กับอวิ๋นหว่านชิ่น เพิ่งจะปลุกเร้าให้นางฮึดสู้ได้ไม่เท่าใดเอง ไหนเลยจะยอมแพ้ จึงแอบดึงไว้แน่นขึ้นกว่าเดิม
หันเซียงเซียงขัดขืนด้วยแรงที่มาก หลี่ว์ชีเอ๋อร์ก็ไม่กล้าขวางไว้อีก ปล่อยมือออก หมู่นี้นางไม่อยากอาหาร มือเท้าไร้เรี่ยวแรง นางยืนไม่มั่น พอมือคลายออก ตวนเจี่ยร์ในอ้อมอกก็ล้มลงกับพื้นหญ้า ร้องไห้จ้าขึ้นโดยพลัน