ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 264.3ซาลาเปาพูดคุยกัน ยับยั้งขุนนางที่ปรึกษา (3)
ไม่ว่าอย่างไร ภูเขาแม่น้ำเปลี่ยนได้แต่สันดานคนแก้ยาก นิสัยของหลี่ว์ชีเอ๋อร์นี้ เกรงว่าจะแก้ไม่ได้แล้ว
อยู่ที่จวนอ๋องยังพอพูดกันได้ แต่มาในวัง แค่เรื่องเล็กกระจ้อยร่อยถูกคนหยิบออกมาก็อาจโดนทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ไร้ขอบเขตได้ มีคนมากแผนการชั่วร้ายอย่างหลี่ว์ชีเอ๋อร์เช่นนี้ ทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก
อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องเด็กน้อยสองคนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปมองหันเซียงเซียง “อากาศดี พระสนมไปเดินเล่นด้วยกันสักหน่อยดีหรือไม่” กล่าวจบก็ยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อย เดินไปข้างหน้า
คล้ายมีแรงดึงดูดที่มองไม่เห็น หันเซียงเซียงปฏิเสธไม่ได้ ตามนางไปบนพื้นหญ้าราวกับถูกผีสิง ได้ยินเสียงดังขึ้นเบาๆ มาจากด้านข้างว่า “เด็กทั้งสองคนก็มีชะตาต้องกัน กระทั่งชื่อแรกเกิดยังคล้ายคลึง แต่ละคนมีชื่อเป็นเทศกาล”
หันเซียงเซียงไม่ได้เอ่ยคำ เนิ่นนานทีเดียวจึงได้อ้ำๆ อึ้งๆ ขึ้น “เจ้าค่ะ ตวนเจี่ยร์เกิดตอนงานตวนอู่ จึงได้ตั้งชื่อนี้ให้”
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นนางน้ำเสียงแบบขอไปที ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ตวนเจี่ยร์เกิดตอนเทศกาลตวนอู่ เช่นนั้นก็โตกว่าบัวลอยน้อยสองเดือนพอดี”
หันเซียงเซียงก้มหน้าลง คล้ายไม่อยากพูดเรื่องลูกสาวมากนัก ตอบว่าเพคะออกไปสั้นๆ
อวิ๋นหว่านชิ่นแย้มยิ้มออกมา “นับดูเช่นนี้แล้ว ตวนเจี่ยร์เกิดในยามรัชศกหนิงซีอยู่ ก่อนที่ข้าจะถูกเรียกตัวเข้าวังไปเป็นหมอหญิง พระสนมก็ตั้งครรภ์แล้วกระมัง”
หันเซียงเซียงกลัวว่าพูดมากไปจะโดนรู้บางอย่างเข้า จึงก้มหน้าก้มตาทำเพียงฟังนางหัวเราะเบาๆ “ข้าจำได้ว่าช่วงนั้นพระสนมอยู่ในเรือนตลอด ไม่เคยออกมาเลยสักครั้ง ท่านอ๋องเข้าห้องเจ้าไปกี่ครั้ง ข้าก็ยังไม่รู้จริงๆ หรือจะแอบเข้าไปลับหลังข้า เฮ้อ บุรุษก็เป็นเช่นนี้กันหมด อยากไปก็บอกมตรงๆ สิ เหตุใดต้องมาแอบๆ ย่องๆ ด้วย ทำเหมือนเป็นโจรขโมยไปได้ ต้องถึงขั้นนั้นเชียวหรือ”
หันเซียงเซียงเหงื่อเย็นผุดซึม สีหน้าซีดขาว ปลายนิ้วจิกเข้าฝ่ามือ นี่นางเดาออกว่าตวนเจี่ยร์ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของฝ่าบาทแล้วหรือ หรือว่ายังคงจงใจหยั่งเชิงอยู่
นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง ทำเพียงก้มหน้าลงเอ่ยอย่างคลุมเครือว่า “พระชายาโปรดระงับโทสะด้วย ข้าไม่ควรยั่วฝ่าบาท…”
ประโยคนี้เอ่ยขึ้น อวิ๋นหว่านชิ่นก็กระจ่างแจ้ง อีกฝ่ายกำลังโกหก ช่วงนั้นท่านอ๋องจะไปเรือนถังจูได้อย่างไร กลางวันเป็นอุปราชในวังหลวง พอกลับมาก็มาขลุกอยู่ในห้องของนางทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า ไล่ก็ไล่ไม่ไป
ไปเรือนถังจูอย่างนั้นรึ เพิ่มขาให้เขาอีกสี่ขา ดูซิว่าเขาจะว่างไปหรือไม่
ในเมื่อโกหก เช่นนั้นก็แสดงว่าตัวตนที่แท้จริงของตวนเจี่ยร์มีปัญหาอยู่จริงๆ
นางไม่ได้เอ่ยอะไร ทำเพียงรับลมเย็นสบาย เดินเล่นไปข้างหน้าต่อ ไม่รู้เพราะเหตุใดเหมือนกัน ฝีเท้าเบาสบายไม่น้อย อารมณ์ก็ชื่นมื่นสบายอุรายิ่ง
ในขณะเดียวกันนั้นเอง บรรยากาศ ณ พระที่นั่งอี้เจิ้งกลับตึงเครียดไม่น้อย
ขุนนางที่ปรึกษาฝ่ายในจำนวนหนึ่งตามติดมาตั้งแต่ประชุมเช้าที่ตำหนักกระดิ่งทองมาจนถึงหลังเลิกประชุม ก็เพื่อคัดค้านราชโองการที่จะแต่งตั้งแม่นางอวิ๋นเป็นหวงกุ้ยเฟยฉบับนั้น
ซย่าโหวซื่อถิงที่อยู่ด้านหลังโต๊ะหนังสือสวมชุดสุภาพสำหรับทำงาน ศีรษะสวมมงกุฎอี้ซั่น ชุดเสื้อคอกลมสีเหลืองอ่อนไหล่ปักมงกรเหิน เอวคาดเข็มขัดแรด กำลังอ่านและวิจารณ์ฎีกาและสถานการณ์ทหารแนวหน้า มือขวาถือพู่กันสีชาด มือซ้ายถือม้วนไหมทองไว้ เพิกเฉยต่อคำพูดเบื้องล่าง สีหน้านิ่งเรียบ เปลือกตาไม่ลืมขึ้นเลยสักนิด
ตั้งแต่องค์ชายสามขึ้นครองราชย์ ฉีไหวเอินก็กลับมาอยู่ข้างกายเขา ยามนี้มองบรรดาขุนนางที่ปรึกษาเบื้องล่างที่กำลังน้ำลายแตกฟองแวบหนึ่ง เหลือบมองท่านอ๋องที่สงบนิ่ง พู่กันสีชาดตวัดวาดดังมังกรร่ายรำ อ่านม้วนฎีกาเสร็จหนาขึ้นเป็นกองๆ ไม่ได้รับการรบกวนจากสิ่งเร้าภายนอกเลยสักนิด เหมือนไร้ซึ่งพวกคนด้านล่างอยู่ เขาก็อดจะชื่นชมในใจไม่ได้
“บรรดาศักดิ์หวงกุ้ยเฟยสูงเกินไป รองเพียงแค่ฮองเฮา เรื่องที่สนับสนุนแม่นางอวิ๋นเป็นหวงกุ้ยเฟยขอฝ่าบาทไตร่ตรองดูใหม่ค่อยจัดการด้วยเถิด” ขุนนางที่ปรึกษาอายุมากคนหนึ่งพูดเกลี้ยกล่อมไม่ยอมหยุด พยายามให้เสียงกังวานเหมือนเป่าแตร แย่งชิงให้ฝ่าบาทเงยพระพักตร์ขึ้น ฝ่าบาท กระหม่อมยังอยู่ตรงนี้ มองมาตรงนี้ มองมาตรงนี้สิพ่ะย่ะค่ะ ท่านไม่อาจแกล้งหูทวนลมได้นะพ่ะย่ะค่ะ
ไตร่ตรองอย่างนั้นรึ ตรองแล้วตรองอีกล้วนทำมาแล้ว ฉีไหวเอินเบ้ปาก
“แม้แม่นางอวิ๋นจะเป็นชายาคนแรกของฝ่าบาท แต่ยามนี้มีสถานะแต่งงานรอบที่สอง ซ้ำยังมีโอรส แต่งตั้งให้เป็นหวงกุ้ยเฟยเลย ค่อนข้างไม่เหมาะสมนะพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางที่ปรึกษาวัยกลางคนคนหนึ่งเอ่ยอย่างมีเหตุผลถูกต้องและวาทะเต็มไปด้วยสัจธรรม
ถุย คนในวังหลังต้าเซวียนแต่งงานรอบสองไม่ใช่ว่าจะไม่มีเสียหน่อย ซ้ำยังเป็นคนที่ได้รับความโปรดปรานไม่คลายด้วย ราชวงศ์ก่อนๆ ในประวัติศาสตร์ยิ่งมีเป็นโขยง แปลกนักรึ ยิ่งไปกว่านั้นนายหญิงของเราเดิมทีก็สะอาดบริสุทธิ์อยู่แล้ว ส่วนองค์ชายก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฝ่าบาทอย่างถูกต้อง
“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ไม่ใช่ว่าพวกเราห้ามไม่ให้แม่นางอวิ๋นเข้าวังหลัง แต่ตำแหน่งไม่อาจจะสูงเกินไปได้” อีกคนก็เอ่ยด้วยเหตุผล
ห้ามอย่างนั้นรึ เจ้าคงต้องมีปัญญาเสียก่อน ไม่ใช่ว่าฮ่องเต้ทุกพระองค์ล้วนดูแววตาของขุนนางก่อนว่าจะรับคนไหนเข้ามา คนไหนไม่รับเสียหน่อย วังหลังได้ถูกคนบีบคอไว้เป็นใหญ่ในนั้นไม่ได้ ราชวงศ์ก่อนทำเรื่องใดไว้ ไทฮองไทเฮายังยอมรับเงียบๆ เลย ยังต้องให้ท่านผู้เฒ่ามาเป็นห่วงกังวลด้วยรึ ฉีไหวเอินยิ่งเชิดใส่ไม่ใยดี
ทว่า ขุนนางที่ปรึกษาแต่ละคน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้แก้ต่าง ยามปกติเจอเรื่องใหญ่ที่ชอบธรรมเสนอความคิดดีๆ อะไรไม่ได้เลย หลังจากเจอเรื่องวังหลังพวกนี้แล้ว แต่ละคนเหมือนไปฉีดเลือดไก่มา ความชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านที่ติดเป็นนิสัยก็โผล่ออกมา
ใครให้พระเจ้าเกาจู่สั่งเสียไว้ว่าอย่าถอดถอนขุนนางที่ปรึกษากัน ปล่อยให้ตาเฒ่าพวกนี้ผสมโรงด้วยไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด
ในขณะที่เบื้องล่างโหวกเหวกโวยวาย หลังโต๊ะหนังสือ ซย่าโหวถือถิงวิจารณ์ฎีกาสุดท้ายเสร็จ ในที่สุดก็วางพู่กันลง เงยหน้าขึ้น
เหล่าขุนนางพลันกลั้นหายใจ เงียบงันฟังคำตอบของฝ่าบาท ได้ยินเพียงเสียงเบื้องบนลอยมาว่า “ลูกของแม่นางอวิ๋น เราได้ให้สำนักพระราชวังลงนามในแผนภูมิหยกประจำราชวงศ์แล้ว ส่วนชื่อจริงขององค์ชายหลังจากที่เราตั้งให้เองเรียบร้อยแล้วก็จะส่งไปไว้ในบันทึกราชวงศ์ แต่นี้ไป จะไม่มีองค์ชายรองของหลงชังฮ่องเต้อีกต่อไป มีแต่องค์ชายใหญ่ของเรา”
หมายความว่าอย่างไร พวกขุนนางตกตะลึง จะทรงเอาองค์ชายรองของหลงชังฮ่องเต้มาเป็นโอรสของพระองค์ที่เลี้ยงดูเองอย่างนั้นรึ
ซย่าโหวซื่อถิงกวาดตามองพวกเขาแวบหนึ่ง “เรื่องในวังหลัง เดิมทีก็ไม่ควรเอามาพูดในตำหนัก แต่พวกท่านล้วนเป็นขุนนางสำคัญ ซ้ำวันนี้ยังมาบีบบังคับกันอย่างรีบเร่งอีก รีบป่าวประกาศออกแทนเราที ให้คนอื่นที่ปิดปากไว้ไม่ได้เหมือนกับพวกท่านทั้งหลายนี้ได้ตระหนักรู้ไว้ในใจ”
บรรดาขุนนางฟังคำเหน็บแนมสีหน้าก็กระอักกระอ่วน แต่ก็รีบรวบแขนเสื้อ กลั้นหายใจฟังต่อ
“ก่อนแม่นางอวิ๋นจะเข้าวังหลังของฮ่องเต้พระองค์ก่อน ก็ได้ตั้งครรภ์แล้ว” ซย่าโหวซื่อถิงเอ่ยอย่างไม่ปิดบัง บนใบหน้ามีสองคำใหญ่ๆ เขียนว่า ‘ของข้า’ อยู่โดยไม่ต้องสงสัย แล้วเหลือบไปมองสีหน้าตกใจของผู้เฒ่าเบื้องล่างพวกนั้น “หลังจากที่เราขึ้นครองราชย์ได้เคยเอาบันทึกการพักอาศัยของราชวงศ์หลงชังในกรมกิจการภายในมาเปิดอ่าน ช่วงเวลาที่แม่นางอวิ๋นอยู่ในวังหลังของหลงชังฮ่องเต้ ในบันทึกการพักอาศัยมีเพียงสองครั้งที่ปรนนิบัติรับใช้ ครั้งแรกคือก่อนที่แม่นางอวิ๋นจะบอกว่าท้อง ไม่ถึงสองเดือน เหยากวงเหย้าก็ไปหอเหยาไถ จับชีพจรตั้งครรภ์ของแม่นางอวิ๋น จากนั้น ก็เป็นเหยากวงเหย้าช่วยรายงานระยะเวลาการตั้งครรภ์ให้เร็วไปสองเดือน ดังนั้น จึงประจวบเหมาะกับวันที่ปรนนิบัติรับใช้พอดี ปรนิบัติครั้งที่สองในบันทึก แม้ฮ่องเต้จะไปหอเหยาไถ แต่ความจริงกลับเป็นคังเฟยสกุลสวีที่มาแทน หากไม่เชื่อ เราจะให้ทางกรมกิจการภายในคัดลอกมาให้หนึ่งชุด พวกท่านว่างๆ ก็เปิดอ่านดูได้ แล้วให้เหยาย่วนพั่นและนางกำนัลข้างกายสวีคังเฟยออกมาถาม ก็จะได้ทราบรายละเอียด”
ครานี้กลับเป็นฉีไหวเอินฟังจนคางแทบจะหล่นลงมา คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทเงียบงันไม่พูดไม่จา แต่กลับไปตรวจสอบจนถึงที่สุดแล้ว
นี่หมายความว่าบันทึกปรนนิบัติคราแรก หลงชังฮ่องเต้ทำเพื่อปกปิดตัวตนขององค์ชายรอง จึงได้จงใจให้คนปลอมแปลงบันทึกการพักอาศัย พวกขุนนางต่างนิ่งอึ้ง
ฉีไหวเอินกลับได้สติกลับคืนมา เอ่ยว่า “ใต้เท้าทุกท่านยามนี้คงจะกระจ่างแจ้งแล้วกระมัง บุตรของแม่นางอวิ๋น มีอยู่ในครรภ์ตั้งแต่อยู่ที่จวนของฝ่าบาทแล้ว เข้าวังหลังมาก็ไม่เคยได้ร่วมหลับนอนกับหลงชังฮ่องเต้เลย ในเมื่อแม่นางอวิ๋นเดิมก็เป็นพระชายาของฝ่าบาทอยู่แล้ว องค์ชายที่เกิดมาก็เป็นทายาทของฝ่าบาท บริสุทธิ์ไร้มลทิน มีคุณูปการมอบโอรสให้ฝ่าบาทเช่นนี้ เป็นหวงกุ้ยเฟย ยังจะมีคุณสมบัติใดไม่พออีกหรือไม่”