ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 265.1 ผู้บงการเบื้องหลัง เยี่ยนอ๋องปฏิเสธสองแม่ลูก (1)
พวกขุนนางลูกกระเดือกคาลำคอ คำพูดติดคาโดยพลัน ทว่ายังมีสองคนที่ยังหัวแข็งอย่างมาก พล่ามว่า “ไม่ว่าอย่างไร ตำแหน่งหวงกุ้ยเฟยก็สูงเกินไปอยู่ดี…”
ฉีไหวเอินมองจนคิ้วขมวด ตาเฒ่าพวกนี้ เรื่องที่ภรรยาอนุในเรือนหลังของตัวเองแย่งชิงความโปรดปรานกันยังดูแลควบคุมไม่ได้ ยื่นมือมาในมุ้งราชวงศ์กษัตริย์กลับสนุกไม่ยอมปล่อย
ซย่าโหวซื่อถิงสีหน้าไม่เปลี่ยน กลับอมยิ้มคล้ายมีคล้ายไม่มีอย่างประหลาด สายตาตกลงบนร่างคนที่พล่ามคนนั้น น้ำเสียงสบายอุรา ราวกับพูดเรื่องสัพเพเหระ “คุณชายใหญ่สกุลลู่ของท่านโตแล้วกระมัง หมู่นี้การเรียนก็ดีนี่”
เหตุใดจู่ๆ จึงเอ่ยเรื่องลูกชายสายตรงบ้านตนขึ้นมาเล่า ขุนนางแซ่ลู่ตกตะลึง ประสานมือ ย่อมพูดแต่เรื่องดีๆ ให้ลูกชายว่า “ฝ่าบาทเป็นห่วงแล้ว เขายังนับว่าเป็นเด็กดี แต่ไหนแต่ไรล้วนปิดประตูอยู่ห้องฝั่งตะวันตกไม่ออกมา ตั้งอกตั้งใจร่ำเรียนพ่ะย่ะค่ะ”
ซย่าโหวซื่อถิงดวงตาพลันเป็นประกาย “โอ้ ปิดประตูไม่ยอมออกมารึ แล้วเหตุใดเราจึงได้ยินมาว่าคุณชายใหญ่ชอบเที่ยวนางโลม พอออกจากจวนก็ต้องเรียกเพื่อนเรียกพ้อง วางท่าวางทางไม่น้อย จากที่ฟังมาคืนเทศกาลชีซีปีที่แล้ว คุณชายลู่นัดพบกับเหล่าสหายที่ร้านอาหารในเมืองหลวง ต่อหน้าสาธารณะ กระทั่งสตรีออกเรือนที่นำลูกน้อยมาด้วยก็เอ่ยปากหยอกเย้า”
ทันใดนั้น สายตาเพื่อนร่วมงาน ณ ที่นั้นรวมอยู่บนร่างขุนนางลู่ สีหน้าเปลี่ยนแปร นี่เรียกว่าเชื่อฟังได้หรือ นี่มันไม่ใช่ลูกชายตระกูลร่ำรวยทำตัวเสเพลหรือไร
ขุนนางลู่นิ่งอึ้ง ไหนเลยจะรู้ว่ากระทั่งเรื่องนี้ฝ่าบาทก็ยังทรงทราบ คืนเทศกาลชีซีปีที่แล้วลูกชายถูกคนหามมาบ้าน ร่างกายแข็งทื่ออยู่หลายวันจึงหาย พอถามลูกชาย เป็นตายร้ายดีอย่างไรลูกชายก็ไม่ยอมบอก หรือจะเป็นเพราะแทะโลมสตรีบ้านอื่น แล้วโดนคนลงมือสั่งสอนเข้าจริงๆ
ทว่ายามนี้ตรัสเช่นนี้ ก็น่าจะเป็นไปได้จริงๆ แล้ว ลูกชายเขาตอนอยู่ที่จวนก็ไม่ค่อยเชื่อฟังเท่าใดนัก ชอบหยอกเย้าสาวใช้แหย่เด็กน้อย สั่งสอนไปหลายร้อยหนก็ไม่ฟัง ก่อเรื่องข้างนอกเช่นนี้ก็ไม่แปลกใจ
ขุนนางลู่สีหน้าแดงก่ำ เอ่ยตะกุกตะกักว่า “นะ…นี่…” ในที่สุดก็หูลู่หางตกก้มหน้าลง อับอายขายหน้า ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ไอ้ลูกทรพีคนนี้ กลับไป กระหม่อมจะเฆี่ยนเขาให้ตายแน่พ่ะย่ะค่ะ!” ทว่าไม่มีหน้าจะพูดต่อแม้ครึ่งคำแล้ว ก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว หงอยเหงาเศร้าซึม
บ้านสั่งสอนไม่เข้มงวด เลี้ยงลูกออกมาภาพลักษณ์ไม่ดี ประพฤติไม่เหมาะสม ไหนเลยจะยังมีแรงไปโน้มน้าวฝ่าบาทได้
ขุนนางอีกคนที่เพิ่งจะส่งเสริมเห็นด้วยกับขุนนางลู่ก็พลันตกตะลึงไป
ซย่าโหวซื่อถิงหันหน้าไปเอ่ยอย่างมีนัยยะว่า “ในจวนของขุนนางจัว…”
“เรื่องที่จะแต่งตั้งแม่นางอวิ๋นให้เป็นหวงกุ้ยเฟยนี้ ฝ่าบาทตรัสเช่นนี้แล้ว ยามนี้มาคิดดู ก็ไม่เสียหายพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางจัวตาลีตาลานประสานมือ ยอมไม่มีมารยาท จำต้องโพล่งขัดขึ้น ซ้ำเขาก็ไม่ใช่คนโง่ จะตามรอยขุนนางลู่ถูกฮ่องเต้สาวเรื่องน่าอับอายออกมาได้อย่างไร ทุกคนไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เป็นขุนนางมาได้ถึงขั้นนี้ ตระกูลและตำแหน่งใหญ่โต สมาชิกในบ้านมากมาย ไม่ว่าอย่างไร ทรงสามารถหาเรื่องไร้เกียรติไร้ศรีไม่มากก็น้อยออกมาจากจวนได้ แสดงให้เห็นว่าฝ่าบาททรงตรวจสอบตั้งนานแล้ว กุมจุดอ่อนของพวกเขาเอาไว้เรียบร้อย
แต่ละคนราวกับไก่ตัวผู้ ไม่กล้าพล่ามเรื่องเกี่ยวกับหวงกุ้ยเฟยเรื่องนี้กันขึ้นมาอีกแม้เพียงครึ่งคำ ทุกคนต่างพากันก้มหน้าลง ฉีไหวเอินเห็นฝ่าบาทปราบขุนนางพวกนี้ไปได้อย่างสบายๆ ก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ ในขณะนั้นเอง ด้านนอกมีขันทีน้อยวิ่งมา เบี่ยงกายวิ่งเข้ามาจากด้านหลังขุนนาง
ฉีไหวเอินมองไป เป็นกงกงคนหนึ่งที่ปรนนิบัติทางหอเหยาไถที่ฝ่าบาทเป็นคนส่งไป
บางครั้งฝ่าบาทอยากจะถามไถ่เรื่องทางด้านหอเหยาไถ ราชกิจรัดตัวเสด็จไปไม่ได้ ก็จะเรียกตัวกงกงคนนี้มาไต่ถาม หรือไม่ก็ฝากคำไปให้อวิ๋นหว่านชิ่น
ฉีไหวเอินเข้าไปต้อนรับ กระซิบว่า “เกิดอันใดขึ้นรึ”
กงกงคนนั้นกระซิบบอกว่า “เปล่าหรอกขอรับ แค่อวิ๋นฮูหยินเดินเล่นในสวนหลวง เจอเข้ากับพระสนมหันแห่งตำหนักเซียนจวีเข้า” นี่เป็นเรื่องที่ฝ่าบาทเคยรับสั่งไว้เป็นพิเศษ ดังนั้นวันนี้เห็นทั้งสองพบหน้ากัน จึงรีบวิ่งมากราบทูล
“ทั้งสองคนเจอกันแล้วรึ” ฉีไหวเอิ่นตกใจ
“ขอรับ ไม่ใช่แค่เจอกันเท่านั้น ยังพูดคุยกันด้วย บ่าวยืนอยู่ไกล ฟังไม่ค่อยชัด ดูเหมือนว่าฮูหยินจะถามพระสนมหันเรื่ององค์หญิงใหญ่กระมัง” กงกงเกาหัว
ฉีไหวเอินส่งเสียงอืมคำหนึ่ง ไล่กงกงคนนั้นไป “ทราบแล้ว เจ้ากลับไปรับใช้ที่สวนหลวงก่อนเถิด” แล้วหันหลังวิ่งมายังข้างโต๊ะ ขยับไปข้างหูบอกเล่าหนึ่งคำรบ
ซย่าโหวซื่อถิงเงียบไปครู่หนึ่ง แววตาพลันขยับไหว “น้องแปดกลับมาหรือยัง”
เยี่ยนอ๋องยังคงดำรงตำแหน่งอยู่ที่หลี่ฝานย่วน หลังจากฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ เลื่อนขั้นขุนนางของเยี่ยนอ๋องขึ้นหลายขั้น ก่อนหน้านี้เนื่องจากฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ทูตของแคว้นในอาณัติระแวกนี้มาร่วมยินดีที่ราชสำนัก เยี่ยนอ๋องต้อนรับเป็นอย่างดีที่โรงเตี๊ยม ยุ่งจนปลีกตัวไม่ได้ เมื่อวานก็เพิ่งจะส่งขุนนางทูตแต่ละแคว้นออกจากเมืองหลวงไป
ฉีไหวเอินพยักหน้า “เมื่อคืนเพิ่งจะกลับจวน ส่งจ๋างสื่อของจวนมารายงานว่าบ่ายวันนี้จะเข้าวังมารายงานฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“ยังจะรายงานอันใดอีก ให้เขามาหาเลย วิ่งมานะ” ซย่าโหวซื่อถิงสะบัดแขนเสื้อ ลุกขึ้น ยังคงสาวเท้าไปทางนอกตำหนักก้าวใหญ่
ขุนนางพวกนั้นเห็นฝ่าบาทจะไปทำธุระแล้ว ไม่มีเวลามาหยอกล้อพวกเขาอีก ในที่สุดเหงื่อบนแผ่นหลังก็แห้งไป พรูลมหายใจออกมา
ฉีไหวเอินมองแผ่นหลังของฝ่าบาท ชะงักไปครู่หนึ่ง ทว่าก็ตบศีรษะตน ฝ่าบาทดูเหมือน…ตึงเครียดไป
ณ สวนหลวง หลี่ว์ชีเอ๋อร์ที่หลีกไปอย่างเดือดดาลเมื่อก่อนหน้านี้ก็วิ่งมายังใต้ต้นถงต้นสูงใหญ่ด้านข้าง รอให้หันเซียงเซียงพูดคุยกับอวิ๋นหว่านชิ่นเสร็จ
ยืนอยู่เนิ่นนาน โทสะของหลี่ว์ชีเอ๋อร์ก็ยังไม่หายไป ในขณะที่ปากกำลังก่นด่าอยู่นั้นเอง ด้านหลังก็มีเสียงลอยมา เกรงอกเกรงใจอย่างมาก “พี่ชีเอ๋อร์แห่งตำหนักเซียนจวีกระมัง”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์หันกลับไปมอง เห็นสตรีวัยแรกแย้มนางหนึ่งยืนอยู่หลังพุ่มไม้ห่างไปไม่กี่ก้าว อายุสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น ผูกทรงผมแกละสองข้าง แต่งตัวเหมือนสาวใช้ เสื้อผ้ากลับไม่เหมือนนางกำนัล จึงเอ่ยถามอย่างแปลกใจว่า “เจ้าเป็นใคร รู้จักข้าได้อย่างไร”
“บ่าวก็แค่สาวใช้เท่านั้น ชื่อเสียงต่ำต้อยไม่เพียงพอให้เอ่ย พี่ชีเอ๋อร์ติดตามพระสนมหันเข้าวังมา ภายหน้าก็จะเป็นคนโปรดข้างกายของชายาสนมในวังหลัง ชื่อเสียงโด่งดังเข้าหูดั่งสายฟ้า บ่าวย่อมรู้จักท่านอยู่แล้ว” สาวใช้ยิ้มตาหยี คำพูดทำเอาคนฟังสบายอุรายิ่ง
หลี่ว์ชีเอ๋อร์อารมณ์เบิกบาน หน้าอกยืดพองสูง โทสะที่ถูกชูซย่าและพรรคพวกด่าก็มลายหายไปไม่น้อย “ปากหวานมากเสียจริง เจ้าเป็นคนของตำหนักไหนรึ มีธุระใดล่ะ”
สาวใช้มองเด็กน้อยสองคนที่นั่งยองๆ บนพื้นหญ้าไม่ไกลแวบหนึ่ง ยิ้มพลางมองหลี่ว์ชีเอ๋อร์นิ่ง “ดูท่าแล้ว พี่ชีเอ๋อร์อารมณ์ไม่ค่อยดีนะ”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์สัมผัสได้ถึงแววตาของนางที่เปลี่ยนไป ฟังนางแล้วเหมือนรู้ว่าในใจตนกำลังคิดอะไรอยู่ก็ตกใจ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
สาวใช้คนนั้นกวักมือเรียก บ่งบอกให้หลี่ว์ชีเอ๋อร์เข้าไปหา ดูเหมือนจะกลัวใครมาเห็นเข้า ความสนใจใคร่รู้ของหลี่ว์ชีเอ๋อร์พลุ่งพล่านขึ้น อาศัยยามที่บรรดานายหญิงและนางกำนัลของหอเหยาไถไม่ได้สังเกตุ อ้อมไปยังด้านหลังพุ่มไม้ พินิจมองสาวใช้นางนี้ในระยะใกล้ กระซิบเอ่ยว่า “ดูท่าทางของเจ้าแล้ว ไม่เหมือนนางกำนัลเลยนะ เจ้าเป็นใครกันแน่ คิดจะทำอันใด”
“บ่าวคิดจะทำอันใดไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือพี่ชีเอ๋อร์สามารถทำในสิ่งที่ตนอยากทำได้” สาวใช้ล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อ หยิบกระเป๋าปักออกมาใบหนึ่ง ดึงเชือกให้ปากกระเป๋าแน่นขึ้น เกี่ยวไว้กับนิ้ว ขยับเข้าข้างหูหลี่ว์ชีเอ๋อร์ เอ่ยทีละถ้อยทีละคำ “เด็กผู้ชายคนนั้นเป็นองค์ชายรองของหลงชังฮ่องเต้ แต่ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทเสียกว่าองค์หญิงอีก พี่ชีเอ๋อร์คงจะโกรธไม่เบากระมัง เจ้าดูสิ เด็กชายคนนี้ยังมีแม่แท้ๆ เช่นนั้นอีก ภายหน้าสองแม่ลูกคู่นี้จะต้องล่อลวงฝ่าบาทได้อยู่หมัดกว่าเดิมแน่ พระสนมของเจ้ากับองค์หญิงไหนเลยจะสามารถมีโอกาสเข้าใกล้ฝ่าบาทได้ เจ้าคงไม่รู้ ฝ่าบาทตัดสินพระทัยจะแต่งตั้งให้แม่นางอวิ๋นเป็นหวงกุ้ยเฟยแล้วนะ”