ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 265.5 ผู้บงการเบื้องหลัง เยี่ยนอ๋องปฏิเสธสองแม่ลูก (5)
จู่ๆ เขาก็เวียนศีรษะขึ้นมาเล็กน้อย
หันเซียงเซียงเช็ดน้ำตาให้แห้ง สงบจิตสงบใจลง “ข้าไม่ขอให้เยี่ยนอ๋องปฏิบัติต่อข้าเหมือนดังเก่า และยิ่งไม่ขอให้เยี่ยนอ๋องยอมรับข้า แต่…” ขอบตาแดงก่ำขึ้นมา “ตวนเจี่ยร์เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเยี่ยนอ๋อง อยู่ในวังหลวงแห่งนี้ ไม่มีทางมีชีวิตอยู่ต่อได้แน่นอน ขอเยี่ยนอ๋องโปรดคิดหาวิธีพานางกลับจวนไปเลี้ยงดูได้หรือไม่เพคะ”
“เด็กคนนั้นชื่อตวนเจี่ยร์รึ” เยี่ยนอ๋องดวงตาเป็นประกาย ทว่าก็ยังคงก้มหน้าลงอยู่
“เป็นชื่อเล่นเพคะ” หันเซียงเซียงสะอื้น “เกิดตอนเทศกาลตวนอู่ สองขวบครึ่งแล้ว ตัวผอมเล็ก ผมก็บาง ข้าไม่ได้เลี้ยงดูนางให้ดี ทำให้นางลำบากแล้ว”
เยี่ยนอ๋องเงยหน้าขึ้น “ข้า…ตอนเล็กๆ ก็ผอมแห้ง และ…หัวล้านด้วย” ทว่าก็ก้มหน้าลงไปทันที
หันเซียงเซียงเห็นว่านานแล้ว ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป คุกเข่าลง “เยี่ยนอ๋องได้โปรดเถิดเพคะ”
เยี่ยนอ๋องจ้องนางนิ่ง พักใหญ่จึงได้เอ่ยว่า “นางโตเพียงนี้แล้ว คนไม่น้อยก็เคยเห็นนางมาแล้ว หากพานางกลับจวนเยี่ยนอ๋อง จะต้องมีคนพบเข้าแน่ รู้เรื่องที่เดิมทีนางเป็นองค์หญิงมาก่อนตลอดมา จนถึงตอนนี้ ชื่อเสียงของพี่สามไม่รักษา ข้ายังคงรู้สึกผิดต่อพี่สาม”
นี่เป็นเหตุผลที่เขาไม่อาจรับสองแม่ลูกสกุลหันไว้ได้ พี่สามสามารถไม่สนใจหมวกเขียวใบนี้ได้ มอบทั้งสองคนให้แก่เขาโดยไม่สนใจ แต่เขากลับไม่ยอม ชีวิตนี้ของเขาล้วนมีไว้เพื่อปกป้องพี่สาม ตั้งแต่เด็กๆ ดื่มนมจากพระสนมเอกเฮ่อเหลียน ตอนที่เล่นด้วยกันกับพี่สามก็ได้ให้สัตย์ไว้ว่าชั่วชีวิตนี้จะอยู่ข้างกายพี่สามตลอดไป ช่วยเหลือเขา สนับสนุนเขา จะไม่ทำเรื่องที่ทำให้เขาเสียหายเด็ดขาด
“เยี่ยนอ๋องห่วงใยเพียงฝ่าบาท แต่จะไม่ใยดีลูกสาวแท้ๆ ของตัวเองเลยหรือ” หันเซียงเซียงหลุดร้องไห้อย่างเจ็บปวดออกมา
เยี่ยนอ๋องเริ่มปวดหัวขึ้นมาอีกครั้ง ไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก
หันเซียงเซียงหมดหวังลง เช็ดน้ำตาให้แห้ง ฝืนร่าเริง ไม่พูดอะไรมากความอีก เดินโซเซออกจากหอหมิงกวงไป
เยี่ยนอ๋องเหม่อลอยอยู่ที่เดิม เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ เขาเงยหน้าขึ้น พี่สามออกมาแล้ว ยืนห่างไปไม่ไกล คล้ายจะเห็นเหตุการณ์เข้าแล้ว
เขาเงียบงัน จู่ๆ ก็เข้ามาถลกชายเสื้อคลุมคลุกเข่าลง “ข้ารู้ว่าตอนนั้นพี่สามยอมรับสนมมา ก็เพราะไม่อยากขัดราชโองการของเสด็จพ่อก่อน แต่แม่นางหันอยางไรเสียก็เป็นสนมที่เสด็จพ่อทรงพระราชทานให้ ขอพี่สามเมตตากรุณา พูดให้ไม่น่าฟังหน่อยก็คือ ตอนแรกพี่สามสามารถรักษาการณ์แทน ยามนี้สามารถมาถึงขั้นนี้ได้ แม่นางหันก็นับว่าได้ช่วยไว้เช่นกัน อย่างน้อยๆ ก็สามารถทำให้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนพอพระทัยในความกตัญญูของท่าน…ยามนี้ พี่สามพอจะลงมือกับพวกนางสองแม่ลูกสถานเบาได้หรือไม่…ไล่เข้าตำหนักเย็น กักบริเวณชั่วชีวิตก็พอ ขอเพียงให้พวกนางมีชีวิตอยู่…”
คำอ้อนวอนเช่นนี้ยังเอ่ยออกมาแล้ว ทว่ากลับไม่ยอมให้สองแม่ลูกสกุลหันไปด้วย
น้องชายคนนี้เป็นคนที่สนิทกันตั้งแต่เล็ก หากเขาต้องการจริงๆ ตนจะไปสนใจเรื่องภายนอกภายในอะไรให้มากมาย แต่เจ้าแปดดันคิดไม่ตก ดื้อดึงทำเรื่องที่สุดท้ายไม่เกิดประโยชน์ หากบีบบังคับยกให้เขา เกรงว่าจะทำให้เขาไม่สบายใจไปตลอดชีวิต จึงจำต้องให้เขาขอร้องด้วยตัวเอง
ซย่าโหวซื่อถิงพยุงเขาขึ้นมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดายว่า “กฎวังยากจะฝืน”
สีหน้าเยี่ยนอ๋องพลันเปลี่ยน ขอบตาแดงเล็กน้อย ทว่าก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก หันหลังเดินจากไป
ซย่าโหวซื่อถิงมองแผ่นหลังเยี่ยนอ๋องพลางเอ่ยเสียงเรียบว่า “เจ้าแปดเรื่องอื่นฉลาดเฉลียว แต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ปฏิภาณไหวดูเหมือนจะช้าไปหน่อย ช้าไปหนึ่งถึงสองจังหวะ”
“เช่นนั้นก็ทำได้เพียงใช้การบีบบังคับแล้ว” อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยขึ้นเบาๆ ซย่าโหวซือถิงมองนางแวบหนึ่ง มุมปากหยักโค้งขึ้น ทว่าไม่ได้ถามอะไรมาก นางทำสิ่งใด ตนก็ทำตามก็พอแล้ว วังหลังนี้ ไม่ช้าก็เร็วก็จะเป็นของนางมิใช่หรือไร
เรื่องของเยี่ยนอ๋องจัดการไปแล้ว เรื่องในใจของซย่าโหวซื่อถิงก็จบสิ้นลง เดินเล่นกับอวิ๋นหว่านชิ่นมาครึ่งทาง ก็กลับไปห้องหนังสือตำหนักอี้เจิ้ง ยังมีฎีกาทหารแดนเหนือสองกองที่ยังไม่ได้สะสาง
ไม่แตกต่างกันกับชาติก่อนเท่าใดจริงๆ นิสัยบ้างานโผล่ออกมาอีกแล้ว
เมื่อเดินมาใกล้จะแยกกัน ถนนสายเล็กที่ค่อนข้างห่างไกล ทั่วบริเวณไร้ผู้คน ภายใต้การส่งสัญญาณจากเขาเงียบๆ อย่างสุดชีวิตให้ฉีไหวเอินกับชูซย่าหลบไป นางจึงได้เขย่งเท้าโอบลำคอเขาไว้ ขยับเข้าไปใกล้ สัมผัสใบหน้าเขาเบาๆ มองเขาจากไปอย่างพอใจ จึงได้ยิ้มขื่น พาชูซย่าเดินกลับไปทางหอเหยาไถ
ในขณะที่ใกล้จะถึงหอเหยาไถนั้นเอง ชูซย่าเห็นฝีเท้านางก็รีบถามขึ้นว่า “เป็นอันใดไปเจ้าคะ” เห็นนายหญิงเงียบงันไม่พูดไม่จามาตลอดทาง คล้ายกำลังคิดอะไรอยู่
“วันนี้งูตัวนั้นที่สวนดอกไม้ เจ้าไม่ว่ามันแปลกๆ หรือ”
แน่นอนว่าชูซย่ารู้สึกว่าแปลก “นายหญิงจะบอกว่าเป็นฝีมือคนหรือ” เดินเล่นที่สวนดอกไม้มาไม่น้อยกว่าหลายสิบครั้งแล้ว คราใดบ้างที่เห็นงู แมลง หนู มด คนภายในวังระแวดระวังกันมาก สัตว์อันตรายที่อาจจะทำร้ายคนได้ จะมีโอกาสปรากฏตัวขึ้นได้อย่างไร แต่วันนี้เจอพวกแม่นางหันสองแม่ลูกเข้าโดยบังเอิญ ก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา
“เจ้าไปตำหนักเซียนจวี หาคนรับใช้ที่ทำงานที่นั่นมา สืบความเป็นไปหลังจากแม่นางหันกลับไปถึงมา” อวิ๋นหว่านชิ่นดวงตาเป็นประกาย งูตัวนั้นหากเป็นพวกแม่นางหันจงใจทำล่ะก็ จะต้องไม่ใช่หันเซียงเซียงแน่ หนึ่งคือนางขี้ขลาดและไม่ฉลาด เข้าวังด้วยท่าทางซึมเซาหดหู่ ทั้งยังไม่มีความคิดจะไปสนใจเรื่องราวอะไร สองคือตอนนั้นตวนเจี่ยร์ก็อยู่ด้วยกันกับบัวลอยน้อย นางจะให้ลูกสาวที่นางรักเผชิญกับอันตรายได้หรือ
เช่นนั้นก็มีแค่คนเดียวแล้ว
ณ ตำหนักเซียนจวี หันเซียงเซียงพอกลับไปถึงก็นั่งอยู่บนตั่งติดหน้าต่าง เงียบงันไม่พูดไม่จา
เรื่องราวในวันนี้ไม่อาจทำไปโดยเปล่าประโยชน์ได้ แม้จะไม่ได้ทำให้มารหัวขนนั่นเสียขวัญ แต่อาศัยโอกาสนี้สั่งสอนพระสนมสักหน่อย กระตุ้นนางก็ดีเหมือนกัน หลี่ว์ชีเอ๋อร์ให้คนออกไปให้หมด ลากม่านกั้น เดินเข้าไปหา “พระสนม ท่านดูวันนี้สิ เด็กสองคนเจองูกัน ฝ่าบาทพอมาถึง ปฏิกิริยาแรกก็คืออุ้มบัวลอยน้อยขึ้นมา ตวนเจี่ยร์อยู่บนพื้นร้องห่มร้องไห้เสียงดัง ฝ่าบาทกลับทำเหมือนไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น ในสายตามีเพียงลูกติดคนนั้น ไหนเลยจะมีองค์หญิงอยู่ หลังจากนั้นจึงนึกขึ้นมาได้ ถามแค่คำเดียว พระสนมเจ้าคะ ท่านเป็นแม่คน ไม่เจ็บปวดใจเลยหรือ บ่าวขอร้องท่านเถิด ท่านคิดเสียว่าทำเพื่อตวนเจี่ยร์ ต้องฮึดขึ้นสู้กับแม่นางอวิ๋นนั่น…”
เสียง ‘เพี๊ยะ’ ดังกังวานกึกก้อง ตบลงบนใบหน้าหลี่ว์ชีเอ๋อร์ ทำให้คนนอกตำหนักได้ยินกันอย่างชัดเจน
หลี่ว์ชีเอ๋อร์กุมหน้า ไม่อยากจะเชื่อว่าหันเซียงเซียงจะใช้กำลังกับตน พระสนมหันในยามนี้ ไม่อ่อนแออ่อนโยนเหมือนยามปกติ นึกไม่ถึงว่าจะหน้าแดงก่ำ ลุกขึ้นยืน จ้องมายังตนเขม็ง “หุบปาก! สุนัขรับใช้อย่างเจ้ากำเริบเสิบสานนัก! งูตัวนั้นเป็นใครปล่อยเข้ามาในพื้นหญ้า เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้รึ ออกไปคนเดียวตั้งนานสองนาน พอกลับมาก็มาพาตวนเจี่ยร์ไปฉี่ ยามปกติเจ้าเป็นห่วงตวนเจี่ยร์เพียงนี้ที่ไหนกัน…ในใจเจ้ามันโหดเหี้ยมอำมหิตเสียจริง เกือบจะทำร้ายองค์ชายกับตวนเจี่ยร์เข้าให้แล้ว! นึกไม่ถึงว่าเจ้ายังจะมาพล่ามฉอดๆ ไม่จบไม่สิ้นสักทีอีก! เรื่องในวันนี้ให้มันแล้วไป หากเจ้าคิดไม่ดีต่อทางหอเหยาไถอีกแม้แต่นิดเดียว ต่อให้ข้าโดนลากไปเกี่ยวข้องด้วยก็จะฟ้องร้องเจ้าให้ดู! ข้าอดทนอดกลั้นกับเจ้าคราแล้วคราเล่า ขนาดเจ้าทำร้ายเสี่ยวถงข้ายังไม่พูดอะไร เพราะเห็นแก่ที่เจ้าช่วยข้าเสี่ยงอันตราย บังภัยให้ แต่ยามนี้มาคิดดูแล้ว เจ้าช่วยข้าที่ไหนกัน ทุกอย่างล้วนเพื่อช่วยตัวเจ้าเองทั้งนั้น! เก็บข้าวเก็บของของเจ้า แล้วไสหัวออกไปจากตำหนักเซียนจวีของข้า! พรุ่งนี้หลังจากฟ้าสาง ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าอีก!”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์ตะลึงงัน พักใหญ่ทีเดียวจึงได้สติขึ้น รีบคุกเข่าลงกอดขาพระสนมไว้ “พระสนม บ่าวผิดไปแล้ว อย่าไล่บ่าวไปเลย ตำหนักในของวังหลวงแห่งนี้ บ่าวจะสามารถไปที่ไหนได้อีก ประตูวังบ่าวก็ออกไม่ได้นะเจ้าคะ”
หันเซียงเซียงเดือดดาลลมออกหู เตะนางออกอย่างโหดร้าย “ข้าจะไปพูดกับกองกิจการภายใน ส่งเจ้าเข้าไปเป็นคนใช้ในตำหนักเย็น หรือไม่ก็บอกว่าเจ้าล้มป่วย ไม่อาจอยู่ในวังต่อได้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรล้วนดีทั้งนั้น อย่างไรเสียข้าก็ไม่ต้องเห็นหน้าเจ้าอีก! หากยังไม่ไป ก็อย่ามาหาว่าข้าโหดร้าย เสี่ยวถงตายอย่างไม่เป็นธรรม เจ้าคิดว่าข้าลืมแล้วรึ! ไสหัวไป! ไสหัวออกไป! ไปเก็บข้าวของเดี๋ยวนี้!”