ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 266.1 สิ้นชีพในเปลวเพลิง แต่งตั้งหวงกุ้ยเฟย (1)
หลี่ว์ชีเอ๋อร์กลัวว่านางจะไปพูดคุยกับกองกิจการภายในจริงๆ พอคลายมือออก ก็ไม่กล้าอ้อนวอนมากอีก กลัวจนหัวหดเอ่ยว่า “นายหญิง ท่านโปรดระงับโทสะด้วย” กล่าวพลางเดินออกไปอย่างหดหู่
ยามเย็นมาเยือน มีนางกำนัลบางคนไปจากหอเหยาไถอย่างรีบร้อน เรียกชูซย่าออกมาแล้วกระซิบเล่าเรื่องพระสนมหันตำหนิแม่นางชีเอ๋อร์สาวใช้ข้างกายให้ฟังหนึ่งคำรบ
เป็นไปดังคาด ชูซย่าหัวเราะเสียงเย็น หยิบเงินรางวัลให้นางกำนัลคนนั้น บ่งบอกว่าทราบแล้ว เห็นนางกำนัลคนนั้นจากไปจึงได้เข้าเรือนมาเล่าให้นายหญิงฟัง
ณ ตำหนักเซียนจวี หลังจากหลี่ว์ชีเอ๋อร์ถูกตวาดใส่ยกใหญ่ก็ไม่ได้ไปไหน
ดึกดื่นค่อนคืน นางนอนพลิกไปพลิกมาบนตั่งในห้องด้านข้างของเรือนสาวใช้ ลุกขึ้นเป็นครั้งคราว มองห้องประณีตแวบหนึ่ง แล้วลูบหมอนนุ่มเตียงสูงไปมา ตัวเองเป็นสาวใช้คนสนิทข้างกายแม่นางหัน มีห้องเป็นคนตัวเองคนเดียว เงินเดือนหนา อีกทั้งบรรดาขันทีและสาวใช้ทั่วทั้งตำหนักก็ยกยอปอปั้นตน
หากแม่นางหันไร้ประโยชน์ขึ้นมาจริงๆ แตกหักกันขึ้น ตราบใดที่ตัวนางเองยังอยู่ในใจวังอยู่ จะไปกังวลว่าจะไม่มีโอกาสหาที่พึ่งกับนายอื่นไปทำไม
ไปอย่างนั้นรึ ไปกับผีน่ะสิ
ทำงานในวังหลวง ดีกว่าคุณหนูตระกูลธรรมดาปกติในหมู่ชาวบ้านเป็นไหนๆ เกียรติยศนี้ ทั้งเคยผ่านมาแล้ว ไหนเลยจะหักใจปล่อยมือไปได้
ช่างเถิด พรุ่งนี้รีบตื่นไปเอาอกเอาใจแม่นางหันนั่นอีกแล้วกัน
คิดพลาง หลี่ว์ชีเอ๋อร์ก็เจ็บตรงใบหน้าที่ถูกตบ นางสูดอากาศเย็นเข้าไป ก่นด่าออกมาอีกครั้ง ลงจากเตียงไปรื้อหายาในตู้เสื้อผ้า เพิ่งจะรื้อได้ไม่เท่าใด แสงเทียนเป็นกระกายวาบ ประตูเปิดออก ฝีเท้าเย็นเยียบเหยียบลงบนพื้น กรูกันเข้ามา
นางตกใจ หันหน้าไปมอง เห็นชูซย่านำหน้ามา ซ้ายขวาเป็นฉิงเสวี่ยและเจินจู ด้านหลังยังมีกงกงหนึ่งองครักษ์อีกหนึ่ง ทันใดนั้นมือไม้ก็อ่อน ยาตกลงบนพื้น
“เหตุใด…เหตุใดดึกดื่นค่อนคืนพวกเจ้าจึงบุกเข้าตำหนักเซียนจวีได้…นี่จะทำอันใดน่ะ ใครก็ได้ คะ…” หลี่ว์ชีเอ๋อร์เพิ่งจะอ้าปากตะโกนก็โดนองครักษ์ใช้ผ้ายัดปากไว้ แล้วมัดมือมัดเท้า ถูกกดตัวไว้บนเก้าอี้แกะสลักลายดอกไม้
“อื้อ อื้อ…” หลี่ว์ชีเอ๋อร์หวาดกลัวเหลือแสน ยังคงเตะขาไปมา เอ่ยเสียงอู้อี้ว่า “พะ…พวกเจ้า…ขะ…เข้ามาได้อย่างไร…”
ชูซย่าบีบคางนางไว้แล้วเชยขึ้น แววตาชั่วร้าย มุมปากมีรอยยิ้มเย็นเยียบประดับอยู่ “เข้ามาได้อย่างไรอย่างนั้นรึ แน่นอนว่านายหญิงเจ้าเปิดประตูตำหนักให้พวกเราเข้ามาน่ะสิ แม่นางชีเอ๋อร์อยากจะอยู่ในวังหลวงไปตลอดกาล เลื่อนขั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ น่ะรึ”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์นิ่งอึ้ง หยุดดิ้นรนและโวยวายลง
ใจคนโลภมากไม่สิ้นสุดดั่งงูกลืนช้าง ชูซย่าเอ่ยเสียงเรียบว่า “ความปรารถนานี้ของแม่นางชีเอ๋อร์ นายหญิงข้าช่วยเจ้าให้สมหวัง ก็นับว่าเป็นการตอบแทนพี่ชายเจ้าครั้งสุดท้าย แต่นี้ไปหายขาดกัน นายหญิงไม่เพียงแต่ให้เจ้าอยู่ในวังหลวงต่อเท่านั้น ยังให้เจ้าได้กลายเป็นสนมในวังหลังด้วย ภายหน้าอยู่เคียงข้างฮ่องเต้ต้าเซวียน เจ้าเห็นว่าอย่างไร”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์ไม่อยากจะเชื่อ แม้ว่าจะไม่รู้ข้อเท็จจริง แต่แค่ฟังเรื่องนี้ก็ใจเต้นแรงยิ่งแล้ว ในดวงตาเป็นประกายแห่งความยินดี นางกัดผ้าไว้ เอ่ยไม่ชัดว่า “มะ…ไม่ได้หลอกข้ากระมัง…”
“หากหลอกลวงแม้แต่คำเดียว ขอให้ฟ้าผ่าตาย” ชูซย่าแย้มยิ้มออกมาอย่างมีความนัย แล้วขยับไปข้างหูนาง “แต่ว่า มีข้อแลกเปลี่ยน แม่นางชีเอ๋อร์ก็ต้องบอกพวกเรามาว่างูเขียวตัวนั้นเป็นความคิดของเจ้าเองหรือมีใครบงการเจ้า”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์คิดไม่ถึงว่าพวกนางจะรู้ ดวงตาพลันเบิกโต
“วางใจได้ หากจะลงโทษเจ้า พวกเราเข้ามาคงได้…” ชูซย่าทำมือเหมือนมีดปาดคอตัวเอง “…เหตุใดต้องมาเจรจากับเจ้าด้วย”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์ครั่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป พอผ้าในปากหลุดออก ก็ขยับไปข้างหูชูซย่า เอ่ยนามออกมา
ชูซย่าได้ยินก็จ้องหลี่ว์ชีเอ๋อร์นิ่งไม่ขยับไหว
หลี่ว์ชีเอ๋อร์ถูกนางมองจนขนลุก “ข้าบอกเจ้าไปหมดแล้ว…เป็นอย่างไร พวกเจ้าก็ควรทำตามสัญญาสิ…จะให้ข้าเป็นสนมเมื่อใดเล่า ยังไม่ปล่อยข้าอีก…” ยังพูดไม่ทันจบ สตรีตรงหน้าก็ยกมือขึ้น ยัดผ้าเข้ามาในปากนางอีกครั้ง
หลี่ว์ชีเอ๋อร์ส่งเสียงอู้อี้ออกมา มองคนทั้งกลุ่มด้วยความหวาดกลัวและเดือดดาล “พะ…พวกเจ้า…หลอกข้า…หลอกข้า…”
“ใครบอกกัน นี่กำลังจะส่งเจ้าไปสู่อนาคตที่ดีต่างหาก” ขันทีคนหนึ่งก้าวเข้ามาหา ฟาดสันมือลงหลังคอหลี่ว์ชีเอ๋อร์ ให้นางสลบไป
ขณะนั้นเอง ประตูก็เปิดออก ฉิงเสวี่ยถือเสื้อผ้ารองเท้าชุดหนึ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน “พี่ชูซย่า เอาเสื้อผ้ามาแล้ว”
ชูซย่าสั่งว่า “เปลี่ยนเสีย”
พวกนางมะรุมมะตุ้ม ไม่นานก็เปลื้องผ้าหลี่ว์ชีเอ๋อร์จนล่อนจ้อน เปลี่ยนเป็นชุดและเครื่องประดับศีรษะของหันเซียงเซียงทั้งนอกทั้งใน จากนั้นเอาผ้านุ่มๆ ทำเป็นเด็กน้อยยัดใส่อกนาง
สุดท้าย องครักษ์ก็แบกคนขึ้นบ่า วิ่งไปห้องบรรทมของพระสนม
วังหลวงคืนนี้มีลม ขับให้ฟ้าดำมืดมากกว่าเดิม
ณ ตำหนักเซียนจวี ภายในลานกว้างของตำหนักหลัก บรรดานางกำนัลยืนอยู่ด้านหลังสตรีสองนาง
บนใบหน้าอวิ๋นหว่านชิ่นไร้อารมณ์ จดจ้องตำหนักหลัก หลี่ว์ชีเอ๋อร์ ข้าติดค้างแค่พี่ชายเจ้า ไม่ใช่เจ้า สิ่งที่ควรตอบแทน ก็ได้ตอบแทนไปหมดแล้ว
เมื่อก่อนยังพอจะพูดกันได้ ยามนี้ในเมื่อเจ้าเกิดความคิดจะทำร้ายลูกชายข้าขึ้นมาแล้ว เช่นนั้นก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่ไว้ชีวิตเจ้า
มาเมืองหลวง เข้าจวนอ๋อง เข้าวังหลวง เข้าใกล้อำนาจ เกาะคุณหนูชั้นสูง ทุกอย่างล้วนเป็นชาตินี้ของเจ้าเดิมทีไม่อาจได้สัมผัสทั้งสิ้น ยามนี้โชคดีที่เจ้าควรได้เสพก็เสพไปหมดแล้ว
หากเจ้าทะนุถนอมความโชคดีของตนไม่เสพสุขเกินตัว โชคดีนี้เดิมทีสามารถค่อยเป็นค่อยไปยาวนานถึงชั่วชีวิตเจ้า
แต่เจ้าก่อเรื่องมากเกินไป โชคดีย่อมหมดสิ้นไปไว
ยามนี้จุดจบเช่นนี้ แม้จะโหดร้ายไปหน่อย แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นความปรารถนาทั้งชีวิตของเจ้า และสามารถช่วยชีวิตเด็กสาวบริสุทธิ์คนหนึ่งได้ด้วย บุญกุศลในการกลับชาติมาเกิดของเจ้าก็จะได้เพิ่มขึ้นมาอีกเรื่อง
ข้างกาย หันเซียงเซียงเพราะถูกเรียกออกมากลางดึก บนร่างคลุมเพียงเสื้อกันลมบังชุดนอนไว้ สั่นอยู่ท่ามกลางสายลมราตรี ทว่าไม่ใช่เพราะหนาว หากแต่เป็นเพราะอารมณ์ไม่สงบนิ่ง นางจดจ้องตำหนักท่ามกลางราตรีที่ขับให้สวยงามอย่างประหลาดนิ่ง พึมพำว่า “ทำเช่นนี้จะได้จริงๆ หรือ…”
อวิ๋นหว่านชิ่นกระชับขอบแขนเสื้อจิ้งจอกเงิน ดวงตาขยับไหว “หรือเจ้าอยากจะอยู่ที่วังต่อ”
“ไม่เพคะ!” หันเซียงเซียงคุกเข่าลงอย่างตื่นตระหนก คนที่สงสารตนอย่างจริงใจต่างหากคือครอบครัว กลับกันกลายเป็นแดนชำระบาป วังหลวงแห่งนี้สำหรับพระชายาแล้ว เป็นบ้านอันอบอุ่นของนาง แต่สำหรับตนแล้ว กลับเป็นคุกที่ไร้รักและไร้ความรู้สึกกักขังตนกับลูกสาวไว้
อวิ๋นหว่านชิ่นโอบนางเข้ามา พยุงนางขึ้น “เช่นนั้นก็เรียบร้อยแล้วมิใช่หรือไร เยี่ยนอ๋องไม่ต้องการพวกเจ้าสองคนแม่ลูก กลัวว่าจะทำลายชื่อเสียงราชวงศ์ วันนี้ผ่านพ้นไป บนโลกนี้ก็จะไม่มีพวกเจ้าสองแม่ลูกอีกแล้ว พระพักตร์ของฝ่าบาทก็จะรักษาเอาไว้ได้ เยี่ยนอ๋องก็จะรับพวกเจ้าไว้ ในใจก็จะไม่มีภาระหนักอึ้งอีก เยี่ยนอ๋องเป็นมือเท้าของฝ่าบาท ยืนอยู่ข้างกายฝ่าบาทมาตลอด จงรักภักดีต่อฝ่าบาท ฝ่าบาทเป็นคนที่ตอบแทนน้ำใจคน ครานี้ก็พยายามคิดอย่างสุดกำลังให้เขาพอใจ” หยุดเว้นครู่หนึ่ง “แต่เช่นนี้แล้ว ก็จะไม่เป็นธรรมกับเจ้า อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นคุณหนูตระกูลขุนนาง เยาว์วัยงดงาม สะพรั่งแรกแย้ม แต่ว่าแต่นี้ต่อไปก็จะต้องเปลี่ยนชื่อแซ่ ไม่อาจไปมาหาสู่กับบ้านเดิมเจ้าได้อีก เกรงว่าคงเป็นได้เพียงอนุไปชั่วชีวิต ไม่อาจปรากฏตัวได้ตามอำเภอใจ พักอยู่ในท้ายเรือนจวนเยี่ยนอ๋องหลบซ่อนไปตลอดกาล”
ขอเพียงสามารถปกป้องลูกสาวไว้ได้ จะมีความปรารถนาใดอีก
หันเซียงเซียงน้ำตาเกราะพราวบนแพขนตา เอ่ยอย่างซื่อสัตย์จริงใจว่า “นี่เป็นวิธีที่สมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว ทั้งสามารถรักษาชื่อเสียงของราชวงศ์เอาไว้ได้ และยังสามารถทำให้เยี่ยนอ๋องสบายพระทัยขึ้น ที่สำคัญคือ ตวนเจี่ยร์สามารถได้รับการยอมรับจากเยี่ยนอ๋อง หม่อมฉันก็พอใจแล้วเพคะ ภายหน้าตัวเองจะมีชีวิตเช่นไรล้วนไม่สำคัญ” กล่าวจบก็รู้สึกโศกเศร้า มีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ทำเพียงตัดสินใจแล้วก้มหน้าลง