ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 266.2 สิ้นชีพในเปลวเพลิง แต่งตั้งหวงกุ้ยเฟย (2)
อวิ๋นหว่านชิ่นกลับไม่ได้สังเกตุเห็นถึงความผิดปกติของนาง เห็นชูซย่าออกมาก็เอ่ยว่า “อุ้มตวนเจี่ยร์ออกมาแล้วหรือ”
“เจินจูไปอุ้มมาแล้ว…นั่น ออกมาแล้วเจ้าค่ะ” ชูซย่าชี้ไปตามทิศ เจินจูอุ้มตวนเจี่ยร์ที่ยังหลับปุ๋ยออกมา
หันเซียงเซียงเห็นลูกสาวออกมาแล้วสีหน้าก็สงบลงมาก นางเข้าไปอุ้ม เลิกผ้าห่มเล็กขึ้น มองดวงหน้าน้อยๆ ของลูกสาว หอมลงไป แล้วก็อดร้องไห้ออกมาไม่ได้ ราวกับปลดเรื่องในใจวางลงแล้ว
ชูซย่าเห็นว่าพอสมควรแล้ว ก็ส่งสายตาให้องครักษ์และขันทีที่อยู่หลังประตูตำหนักหลัก องครักษ์คนนั้นกับขันทีรีบเข้ามา แล้วออกมาทันที
ภายในหน้าต่างห้องนอนที่ใกล้หันเซียงเซียงมีประกายไฟลุกขึ้นมา เปลวเพลิงกลืนกินม่านกั้น ม่านหน้าต่าง ผ้าปูโต๊ะ เครื่องเรือนภายในตำหนักทุกอย่างล้วนทำจากไม้ เพียงไม่นาน แรงไฟก็ลุกลาม
“ไฟไหม้แล้ว…ไฟไหม้…” แรงไฟทำให้ไม่ว่าจะเป็นนางกำนัลขันทีที่กำลังทำหน้าที่หรือว่างีบอยู่ต่างตื่นตัว ตะโกนพลางวิ่งออกมา
ในขณะเดียวกันนั้นเอง คนทั้งกลุ่มด้านนอกลานตำหนักก็ออกจากตำหนักเซียนจวีไปยังศาลาบนเนินเขาไม่ไกล มองการเคลื่อนไหวของคนในตำหนักหลักจากที่สูงอย่างลับๆ
“พระสนมล่ะ พระสนมกับองค์หญิงยังอยู่ข้างใน…” มีนางกำนัลคนหนึ่งตะโกนขึ้น
“ไฟแรงเกินไป ปิดประตูห้องนอนไปแล้ว เข้าไม่ได้…”
แรกเริ่มยังมีนางกำนัลสองสามคนใช้ผ้าชุบน้ำโปะหน้าไว้ เสี่ยงตายบุกเข้าไปคิดจะช่วยคน จนใจที่แรงเพลิงมากเกินไป ปิดล้อมประตูห้องนอนเอาไว้ ทำให้บุกเข้าไปไม่ได้
“เร็วเข้า รีบไปเรียกคนมาช่วย…” นางกำนัลสองสามคนโดนเตือนมาก็วิ่งทันที
นางกำนัลคนที่เหลือเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า หอบหายใจตักน้ำมาดับไฟตรงบ่อน้ำ แต่ละครั้งกลับไม่ได้เข้าใกล้ ก็โดนควันร้อนโขมงใหญ่บังคับให้ต้องถอยไปหลายก้าว พวกนางไปๆ กลับๆ เหนื่อยล้ายิ่ง แต่ละคนหมอบอยู่กับพื้น ศีรษะก็ยังยกไม่ขึ้น
ไฟอาศัยแรงลมในคืนนี้ เวลาเพียงไม่นานก็ลุกโหมขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว ลุกโชนโหมเผาลอยขึ้นสู่ฟากฟ้า แผดเผาไปทั่วทุกสารทิศภายในตำหนักให้สว่างโชติช่วง
‘เอี๊ยดดด’ ประตูหน้าต่างทนเปลวเพลิงแผดเผาไม่ไหว แตกออกดังเปรี๊ยะๆ
‘โครมม’ เผาเสาระเบียงทางเดินจนเกรียมยุ่ยเอนตกลงมา
“นายหญิง ข้าถามคนบงการเรื่องปล่อยงูมาขู่ขวัญเด็กๆ จากปากหลี่ว์ชีเอ๋อร์แล้ว…” ชูซย่าอาศัยจังหวะว่างๆ ขยับไปข้างหูอวิ๋นหว่านชิ่น “บอกว่าเป็นคุณหนูลูกพี่ลูกน้องในจวนอี๋ซื่อ๋องเจ้าค่ะ”
นางจ้องแสงไฟเบื้องล่างนิ่ง ดวงตาขยับไหว ตรงกับลางสังหรณ์ในใจของตนไม่ผิด ปฏิกิริยาแรกที่เห็นงูตัวนั้น สมองก็ปรากฏเป็นคนผู้นั้น
คนๆ นั้นไม่เพียงแต่ไม่กลัวงูแล้ว ยังแหกคอกชอบเลี้ยงงู เรื่องที่ใช้งูมาทำร้ายคนก็เคยทำมาแล้วเช่นกัน
เหตุใดกัน หลังจากตกต่ำไปเป็นสามัญชน วิ่งดั้นด้นยาวไกลไปพึ่งพาพี่ชายแท้ๆ ยามนี้กลายเป็นลูกพี่ลูกน้องในจวนอี๋ซื่ออ๋องไปแล้วหรือ
อวิ๋นหว่านชิ่นมุมปากหยักยกเป็นรอยยิ้มขัน แต่ดูท่าแล้วนางกลับระมัดระวังมากนัก ไม่ได้โง่ถึงขั้นใช้งูพิษปล่อยเข้าวังมาทำร้ายคน ใช้เพียงงูเขียวไร้พิษมาหยั่งเชิง คงจะรู้ว่าหากเรื่องใหญ่โตขึ้น เกรงว่าเคลื่อนทัพออกศึกไม่ทันคว้าชัย ตัวจะมาตายเสียก่อน
“จะทูลฝ่าบาทหรือไม่เพคะ” ชูซย่าก็คาดเดาได้ไม่น้อยแล้วเช่นกัน
พยานเพียงคนเดียวก็กำลังเป็นตัวตายตัวแทนอยู่ในเปลวเพลิง และต่อให้มีพยานบุคคลก็ไร้ประโยชน์ คนๆ นั้นจะยอมรับได้อย่างไร
ที่สำคัญก็คือ อี๋ซื่ออ๋องเป็นแรงกำลังสำคัญที่สนับสนุนท่านอ๋องให้ขึ้นครองราชย์ นางรู้ดี อย่างน้อยยามนี้ ไม่อาจมีความขัดแย้งใดกับอี๋ซื่ออ๋องได้
บอกท่านอ๋องไปแล้วจะได้อะไร ให้เขาสั่งสอนอี๋ซื่ออ๋องอย่างโหดเหี้ยมสักยก ลากตัวน้องสาวเขาออกมาถามไถ่โทษรึ ให้ความสัมพันธ์ทั้งสองเกิดช่องว่างขึ้นอย่างนั้นรึ
แล้วเหตุใดต้องทำให้ส่งผลกระทบต่อราชสำนักด้วย
เมื่อก่อนคนๆ นั้นหนีเตลิดเปิดเปิงไปภายใต้จมูกตน ครานี้กลับมายังจะสามารถเล่นลูกไม้ใดได้
ในขณะนั้นเอง บนเนินเขาเล็ก ข้างศาลากลับได้ยินเสียงของฉิงเสวี่ยดังขึ้นเบาๆ “พระสนมหันเล่า”
ทุกคนหันมองไปรอบๆ ไม่เห็นเงาพระสนมหันจริงๆ จากนั้นจึงได้ยินขันทีน้อยกรีดร้องขึ้น “นายหญิง ดูเร็ว…”
เงาร่างอันคุ้นเคยวิ่งมาด้านล่างเนินเขานานแล้ว อาศัยแสงของประตูเล็กด้านข้างของตำหนักเซียนจวีแอบเข้าไปเงียบๆ
สตรีเดินเข้าไปในลานตำหนัก เงาหลังสะท้อนเป็นท้องฟ้าสีส้มสั่นเทาเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าดูบอบบางเป็นพิเศษราวกระดาษ ทว่าไร้ซึ่งความลังเลสักนิด นึกไม่ถึงว่าจะเข้าไปในกองไฟเพียงคนเดียว!
ภาพวิ่งเข้ากองเพลิงนี้ น่าหวาดผวาจนชูซย่าและคนอื่นๆ ต่างพากันกลั้นหายใจ ทุกคนต่างไม่ได้นึกเลยว่าหันเซียงเซียงจะทำเช่นนี้ กระทั่งตวนเจี่ยร์ก็ดูเหมือนจะมีดวงใจสื่อถึงกัน ตื่นขึ้นจากฝันโดยพลัน
“ยังไม่รีบไปช่วยแม่นางหันออกมาอีก” อวิ๋นหว่านชิ่นตวาดขึ้นเบาๆ องครักษ์ที่ติดตามมาวิ่งลงไป
ราตรีสิ้นสุด รุ่งอรุณเริ่มต้นขึ้น ดวงตะวันขึ้นสู่ฟ้าด้านตะวันออก เปลวเพลิงตำหนักเซียนจวีดับมอดไปแล้ว
เยี่ยนอ๋องได้ยินเรื่องไฟไหม้ที่ตำหนักเซียนจวีแต่เช้า ก็คิดว่ายังไม่ตื่นจากฝัน
เข้าวังมา พอเข้ามาในพระที่นั่งเฉียนเต๋อ กระทั่งกล่าวรายงานยังไม่ทันจะดังขึ้น เยี่ยนอ๋องก็ดันฉีไหวเอินออก พุ่งเข้าไปในห้องบรรทมทันที
เมื่อวานไฟไหม้อยู่ค่อนคืน ซย่าโหวซื่อถิงก็ไม่ได้หลับสนิท เขาตื่นตั้งนานแล้ว กำลังนั่งบนเตียงอรหันต์อ่านรายงานแนวทัพหน้า เห็นฉีไหวเอินหอบแฮ่กๆ วิ่งตามหลังเจ้าแปดมาก็ทำเพียงโบกมือให้เขาออกไป
พอฉีไหวเอินไป เยี่ยนอ๋องก็โพล่งขึ้นทันที “พี่สาม…คนในตำหนักเซียนจวี…เป็นอย่างไรบ้าง…”
ใบหน้าหล่อเหลาซีดขาว เช้าตรู่เช่นนี้แต่เหงื่อออกดั่งฝนตก คนคล่องแคล่วที่ยามปกติสะอาดเรียบร้อย มีสภาพอกสั่นขวัญหาย ไหนเลยจะยังปากแข็งบอกว่าไม่ต้องการสองแม่ลูกสกุลหันอีก
ซย่าโหวซื่อถิงปิดรายงานลง “การเป็นตายของพวกนาง เกี่ยวอันใดกับเจ้า”
“พี่สาม…” เยี่ยนอ๋องร้อนรนขึ้นมาแล้ว “ยามนี้ ท่านยังมีอารมณ์มาเยาะเย้ยข้าอยู่อีกรึ”
“ใครก็ได้ อุ้มเด็กเข้ามา”
มอมอคนหนึ่งอุ้มเด็กน้อยในเสื้อตัวเล็กสีเงินอมแดงเข้ามา โน้มกายลงคำนับ “ฝ่าบาท เยี่ยนอ๋อง”
ซย่าโหวซื่อถิงให้มอมอวางเด็กลงบนตั่งอรหันต์ แล้วไล่นางออกไป
เยี่ยนอ๋องหันไปมอง เห็นเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง แม้จะไม่เคยเห็นหน้า แต่ก็รู้ว่าเป็นใคร หินก้อนใหญ่ในใจได้วางลง
เด็กน้อยนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างบุรุษผู้สูงส่งทั้งสองอย่างเหม่อลอย ดวงตากลมโตทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความหวาดกลัวไม่สงบ ไม่คุ้นเคยกับฝ่าบาท และไม่รู้จักเยี่ยนอ๋อง แต่ก็ดูเหมือนจะรู้ว่าไม่อาจร้องไห้โวยวายตามใจได้ ทำเพียงบิดมุมอาภรณ์ไปมา น้ำตาไหลพรั่งพรูลงมาเงียบๆ
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นท่าทางเจ้าแปดจดจ้องตวนเจี่ยร์นิ่ง ก็เอ่ยขึ้นว่า “เหมือนกับตอนเจ้าเด็กๆ เลย ไม่มีผม ผอมจนเหมือนหนังลิง ขี้ขลาด ดูแค่ท่าทางอย่างเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นพ่อลูกแท้ๆ กัน”
เสียงของบุรุษน่าเกรงขาม ตวนเจี่ยร์ขี้ขลาด จู่ๆ ได้ยินเขาพูดขึ้น สุดท้ายก็ทนไม่ไหว สะอื้นคำหนึ่ง ตกใจจนร้องไห้ออกมาเบาๆ
เยี่ยนอ๋องสาวเท้าเข้าไปหา อุ้มตวนเจี่ยร์ขึ้นมา ทวงความเป็นธรรมให้ว่า “อายุแค่นี้เอง จะดูออกว่าสวยไม่สวยอันใดได้ ผมของบัวลอยน้อยก็ไม่ได้มากไปกว่ากันเท่าใดหรอก…” เว้นหยุดครู่หนึ่งจึงเอ่ยถามว่า “เด็กคนนี้…ไม่เป็นไรกระมัง”
ยามนี้กลับเจ็บปวดขึ้นมาแล้ว ชิ่นเอ๋อร์พูดถูกจริงๆ มีคนบางคนไม่เห็นโลงศพก็ไม่หลั่งน้ำตา ซย่าโหวซื่อถิงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ก่อนไฟจะไหม้ ก็ถูกคนอุ้มออกมาแล้ว”
เยี่ยนอ๋องถอนหายใจ แต่ก็สูดหายใจลึกขึ้นมาอีก สีหน้าเปลี่ยนเป็นตระหนก “แล้ว…นางเล่า”
“เดิมทีก็ออกมาแล้ว” ซย่าโหวซื่อถิงมองเขาเงียบๆ