ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 266.3 สิ้นชีพในเปลวเพลิง แต่งตั้งหวงกุ้ยเฟย (3)
หมายความว่าอย่างไรที่ว่าเดิมทีออกมาแล้ว…เยี่ยนอ๋องฝ่ามือชื้นเหงื่อ
ตวนเจี่ยร์ก็ดิ้นยุกยิกขึ้น คล้ายถูกเยี่ยนอ๋องที่ไม่คุ้นเคยอุ้มจนไม่สบายตัว เตะเท้าไปมา
“ต่อมาก็วิ่งเข้าไปในกองเพลิงอีก”
เยี่ยนอ๋องใจลอย “พะ…พุ่งเข้ากองไฟไปได้อย่างไร ออกมาแล้วมิใช่หรือ…แล้วทำไม….แล้วนาง…ตายแล้วหรือ”
“เลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้า เราปกป้องไว้ให้เจ้าแล้ว” ซย่าโหวซื่อถิงกลับไม่ได้ตอบคำถามของเขา “เราจะป่าวประกาศว่าองค์หญิงสิ้นในทะเลเพลิง เจ้าพานางกลับจวนเถิด ไม่มีใครฉงนสงสัยแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งนั้น เดิมทีเจ้าก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว ซ้ำยังไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้า จะเป็นหรือตาย เหตุใดต้องถามให้มากความด้วย”
“ไม่เกี่ยวได้อย่างไร นางเป็นแม่ของลูกข้านะ” เยี่ยนอ๋องคิดไม่ถึงว่าคนๆ นั้นจะตายแล้ว นึกไม่ถึงว่าตนจะเจ็บปวดใจเช่นนี้ จมูกเขาแดง
ตวนเจี่ยร์เห็นชายแปลกหน้ารูปงามสง่าขมวดคิ้วมุ่น แพขนตาสั่นระริก ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงได้เจ็บปวด นางยกมือน้อยๆ ขึ้นมา นึกไม่ถึงว่าจะเช็ดน้ำตาให้แก่เขา ปากอือๆ อาๆ ออกมา
ผ้าม่านโบกพลิ้ว มีคนเข้ามาพร้อมด้วยนางกำนัล ซย่าโหวซื่อถิงเห็นผู้มาใหม่ มุมปากก็อดยกยิ้มขึ้นบางๆ ไม่ได้
เยี่ยนอ๋องเช็ดน้ำตาที่ใกล้จะหลั่งรินลงมาอีกระลอก เงยหน้าขึ้น เห็นเป็นอวิ๋นหว่านชิ่นพร้อมด้วยชูซย่าเข้ามา ก็ฝืนมีชีวิตชีวา “พี่สะใภ้สาม”
“เยี่ยนอ๋องคงจะทราบว่าเหตุใดแม่นางหันออกมาแล้วแท้ๆ ดันวิ่งกลับเข้าไปในเปลวเพลิงอีกกระมัง” อวิ๋นหว่านชิ่นยืนอยู่ข้างตั่งอรหันต์
เยี่ยนอ๋องจ้องนางนิ่ง
“หลังจากเพลิงไหม้ครานี้ ตวนเจี่ยร์สามารถเข้าจวนเยี่ยนอ๋องไปได้อย่างราบรื่น ตวนเจี่ยร์เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้า ย่อมไม่ขาดความรักจากเยี่ยนอ๋องแน่นอน แต่ก่อนหน้านี้เยี่ยนอ๋องปฏิเสธแม่นางหันไปเช่นนั้น กลับทำให้นางผิดหวัง สูญเสียความหวังที่ยืนในจวนอ๋องไป หรือเพิ่งจะออกจากวังหลวงอันหนาวเหน็บไป แล้วจะไปยังจวนอ๋องที่ไร้หัวจิตไร้หัวใจอย่างนั้นหรือ นางผู้นี้ จิตใจโง่เขลาเกินไป ไร้ความรักใคร่เอ็นดูจากสามี ก็มีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้หรอก เมื่อก่อนเป็นเช่นนี้ จะเป็นจะตายเพื่อท่านอ๋อง ยามนี้ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมอยู่ อย่างไรเสียตวนเจี่ยร์ก็ปลอดภัยแล้ว นางก็วางใจแล้ว หอบจิตใจเอาไว้แล้วมุ่งสู่ความตาย”
เยี่ยนอ๋องฟังอย่างนิ่งอึ้ง การปฏิเสธของตนที่แท้ก็กลายเป็นยันต์เร่งความตายของนาง ดวงใจเขาเจ็บปวดเหลือแสน ทำเพียงอุ้มตวนเจี่ยร์ไว้แน่น ฝืนอดทนเอาไว้ “นางอยู่ที่ใด ขอร้องล่ะพี่สามให้ข้าได้พบนางที”
“ยังมีความจำเป็นใดต้องพบเจออีก” ซย่าโหวซื่อถิงเอ่ยเสียงเรียบ
เยี่ยนอ๋องมองตวนเจี่ยร์แวบหนึ่ง ไม่ลังเลเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป ตัดสินใจแน่วแน่ “ฝ่าบาทเดิมทีก็รับปากว่าจะมอบสองแม่ลูกให้ข้า เป็นกระหม่อมที่มัวแต่ดูหน้าดูหลัง จึงได้ทำให้นางถึงแก่ชีวิต ยามนี้กระหม่อมยอมแล้ว ไม่ว่านางจะเป็นหรือตาย กระหม่อมก็เอาทั้งนั้น นำศพของนางมอบให้กระหม่อมเถิด อย่างไรเสียนางก็ยังไม่ได้ถูกแต่งตั้งเป็นทางการ กระหม่อมอยากหาที่ห่างไกลสงบเงียบฝังนางเอง ให้ภายหน้าตวนเจี่ยร์กับตัวเองมีที่สำหรับไว้อาลัย”
“ให้ไม่ได้” ซย่าโหวซื่อถิงเอ่ยปฏิเสธขึ้น
อวิ๋นหว่านชิ่นเหลือบมองบุรุษข้างกายอย่างพูดอะไรไม่ออก
เยี่ยนอ๋องนิ่งอึ้ง นึกไม่ถึงว่าจะร้อนใจขึ้นมาแล้ว “เพราะเหตุใด!”
“ให้ไม่ได้ก็คือให้ไม่ได้” ซย่าโหวซื่อถิงเห็นเจ้าแปดท่าทางเดือดดาลเช่นนี้อย่างหาได้ยากยิ่ง
เยี่ยนอ๋องอุ้มตวนเจี่ยร์ไว้มือเดียว ลุกพรวดพราดขึ้นมา “ก็ต้องมีเหตุผลให้สิ หรือฝ่าบาทเสียดายขึ้นมา”
“เราบอกแค่ว่านางเข้ากองเพลิงไปอีกครั้ง ไม่ได้บอกว่านางตายเสียหน่อย ในเมื่อไม่ได้ตาย จะเอาศพให้เจ้าได้อย่างไร” ซย่าโหวซื่อถิงไม่ทุกข์ไม่ร้อน
ในใจเยี่ยนอ๋องคล้ายเมฆหายตะวันโผล่โดยพลัน เหมือนเท้าเหยียบลงบนพื้น กลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้ง ทว่ากลับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “เป็นฮ่องเต้ก็แกล้งคนเช่นนี้รึ” แล้วมองไปยังอวิ๋นหว่านชิ่น “แล้วเหตุใดพี่สะใภ้สามก็เป็นไปกับเขาด้วย มาเสียตั้งนาน เห็นข้าร้อนรนก็ไม่พูดสักคำ”
อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยอย่างผู้บริสุทธิ์ “เมื่อครู่ข้าเพิ่งจะบอกเหตุผลที่แม่นางหันเข้าไปในกองไฟอีกครั้งกับเยี่ยนอ๋องไปมิใช่หรือ หากนางตายแล้ว ข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า เยี่ยนอ๋องกระทั่งรายละเอียดชัดเจนเช่นนี้ก็ฟังไม่ออก”
“ไอ้หนูนี่นึกไม่ถึงว่าจะกล้าโทษพี่สะใภ้ อยากโดนสักทีกระมัง” ซย่าโหวซื่อถิงคุกรุ่นขึ้นมา
เยี่ยนอ๋องพึมพำสองคำ ไหนเลยจะไปสู้สองคนนี้ได้ จำต้องประจบไปว่า “เช่นนั้นยามนี้นางอยู่ที่ใด…”
ซย่าโหวซื่อถิงเหลือบตามองเขา “รักษาตัวอยู่ที่หอซูอิ่ง คืนนี้ฉีไหวเอินจะพาองครักษ์จำนวนหนึ่งไปส่งพวกนางสองแม่ลูกที่จวนเยี่ยนอ๋อง ตัวตนใหม่ก็ตระเตรียมเอกสารไว้เรียบร้อยแล้ว ทางที่ดีพักอยู่ข้างนอกสักระยะก่อน ผ่านไปปีครึ่งปีค่อยรับเข้าจวน”
เยี่ยนอ๋องรีบรับคำ กำลังจะปล่อยตวนเจี่ยร์ลงคุกเข่าขอบคุณ อวิ๋นหว่านชิ่นกลับเรียกไว้ “แต่มีเรื่องหนึ่งที่ต้องบอกเยี่ยนอ๋องล่วงหน้าก่อน”
เยี่ยนอ๋องเห็นนางสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น ก็กังวลใจอีกหน แต่เทียบกับการที่นางยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าอะไรก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้ว จึงหยั่งเชิงไปว่า “นางบาดเจ็บสาหัสใช่หรือไม่”
อวิ๋นหว่านชิ่นสบตากับชูซย่าแวบหนึ่ง กลับไม่ได้ปฏิเสธ “ชีวิตนั้นปลอดภัย แต่กลับสำลักควันไปมากลำคอโดนทำลาย ต่อไปเวลาพูดจาเกรงว่าจะบื้อใบ้ไม่น่าฟัง เปลวเพลิงแรงมาก ใบหน้าก็มีแผลไหม้ แม้ว่าจะไม่สาหัสมาก ต่อไปยังสามารถรักษาได้ แต่อาจจะไม่เหมือนดังเดิมแล้ว” จะว่าไปแล้ว เป็นเช่นนี้แม้จะดูโชคร้าย แต่ก็ไม่ถึงกับร้ายไปเสียหมด อย่างน้อย ก็ไม่มีใครจำแม่นางหันได้อีกแล้ว ส่วนตวนเจี่ยร์ โตขึ้นกว่านี้หน่อย เด็กน้อยก็ใบหน้าเปลี่ยน ยิ่งไม่มีใครจำได้เข้าไปใหญ่ นานวันเข้า เรื่องสองแม่ลูกสกุลหันก็จะนับว่าหาร่องรอยใดไม่ได้แล้ว
เยี่ยนอ๋องถอนหายใจ “ข้าก็นึกว่าอะไร ขอแค่คนปลอดภัยก็พอแล้ว!”
ซย่าโหวซื่อถิงทราบดี ประโยคนี้ของเขามาจากใจ ปณิธานและความสนใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนบ้าตัณหา บางคนโลภเงินตรา เจ้าแปดผู้นี้ ชอบละเล่นเที่ยวสนุก ขี่ม้าตีลูกหนัง ชู่จวี[1] ขี่ม้าพร้อมยิงธนู ล้วนเชี่ยวชาญทั้งสิ้น กระตือรือร้นสนใจจนกลายเป็นหลงใหล ผิวหนังของสตรีสำหรับเขาแล้ว กลับไม่ได้สำคัญ
เอาสาวงามอันดับหนึ่งกับสาวงามอันดับกลางมาอยู่ด้วยกัน นักรักที่เชี่ยวชาญบางคนมองแวบเดียวก็เห็นความแตกต่าง แบ่งเป็นระดับต่างๆ ได้แล้ว แต่สำหรับเจ้าแปดแล้วนั้น ไม่ได้แตกต่างกันเลยสักนิด
เพลิงไหม้ในยามวิกาลของตำหนักเซียนจวี ฟ้าสว่างแล้วจึงดับมอดได้ คนในตำหนักเต็มไปหมด ดันมีเพียงพระสนมหันและองค์หญิงเท่านั้นที่อยู่ในห้องวิ่งออกมาไม่ทัน
พอวันรุ่งขึ้นมาตรวจสอบสถานที่ ภายในห้องนอนของตำหนักหลักที่ไหม้จนผนังแตกกำแพงพังย้ายศพสตรีดำเมี่ยมออกมา
ศพสวมชุดนอนยามวิกาลของพระสนมหัน ในอ้อมอกกอดผ้าห่มของเด็กที่ไหม้เกรียม หมอหลวงตรวจสอบฟันและกระดูกของศพสตรีดูแล้ว พบว่าอายุพอๆ กันกับพระสนมหัน ไม่ใช่พระสนมหันแล้วจะเป็นใครได้
ส่วนองค์หญิงน้อยผู้น่าสงสารนั้น เกรงว่าจะถูกพระสนมหันกอดไว้ในอ้อมอกเพื่อหลบไฟ เสียชีวิตไปพร้อมกับนาง
เด็กน้อยอายุสองปี โตเล็กมาก เพลิงลุกโหม เกรงว่ากระทั่งกระดูกก็คงจะเผาไหม้ไปหมดแล้ว ไม่หลงเหลือศพไว้ก็ไม่แปลก
หายนะอันโหดร้ายนี้แพร่สะพัดไปในวังหลวง คนในวังต่างสะท้อนใจที่หญิงงามอายุสั้น แม่นางหันก็โชคร้ายนัก กว่าจะได้เป็นนายหญิงอย่างมีเกียรติมีอำนาจสูงส่งกว่าคนทั้งปวงไม่ง่ายเลย เหลือแค่รับตำแหน่งเท่านั้น กลับไร้ชะตาต่อวังหลวง
ทว่าก็มีข่าวลือบางข่าวบอกว่าเพลิงไหม้นั่นเป็นภัยธรรมชาติ หรือว่าฝีมือคนทำก็ไม่รู้แน่ และไม่รู้ด้วยว่ามีคนจงใจวางเพลิงหรือไม่
วังหลังนอกจากแม่นางหันแล้ว คนที่รอขึ้นรับตำแหน่งจะมีใครอีก ไม่ใช่คนๆ นั้นที่หอเหยาไถหรือไร หงจยาฮ่องเต้เดิมทีก็ไม่รับสนมใหม่เพิ่มเพราะรับช่วงต่อกลางคัน แม่นางหันตายแล้ว วังหลังแห่งนี้ก็มีแค่นางเป็นใหญ่อยู่คนเดียวแล้ว
หากเป็นเช่นนี้จริงๆ คนผู้นั้นของหอเหยาไถจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตจริงๆ ยังไม่ทันจะได้แต่งตั้งยศศักดิ์ก็สามารถทำเรื่องพรรค์นี้ได้แล้ว ภายหน้าขึ้นเป็นหวงกุ้ยเฟยแล้ว จะไม่ยิ่งสร้างปัญหาบ่อนทำลายในวังหลังรึ
————————-
[1] ชู่จวี เป็นการละเล่นหรือกีฬาชนิดหนึ่งของจีนโบราณ ที่มีลักษณะการเล่นคล้ายกับฟุตบอลในยุคปัจจุบัน