ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 266.4 สิ้นชีพในเปลวเพลิง แต่งตั้งหวงกุ้ยเฟย (4)
คิดเช่นนี้แล้ว คนในวังบางคนก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก จะได้ไม่โดนคนงามใจคดจับจุดอ่อนได้
ชูซย่าเอาข่าวลือกลับมาบอก ฉิงเสวี่ยกับเจินจูเลิกคิ้วเรียวขึ้น ตำหนิว่า “ให้ข้าได้ยินว่าใครกล้าพูดอีก ข้าจะเข้าไปฉีกปากนางให้!”
อวิ๋นหว่านชิ่นกลับไม่สนใจ ดวงตาแวววาวขยับไหว อมยิ้มออกมา ปลอบใจพวกนางว่า “พวกเจ้าดูราชวงศ์ก่อนๆ สิ สตรีเหล่านั้นที่มีชื่อเสียงวังหลังอยู่หน่อย มีคนใดบ้างไม่โดนคนนินทาคำไม่น่าฟัง บัณฑิตเฒ่าพวกนั้นที่เขียนประวัติศาสตร์ ล้วนดูถูกเยาะเย้ยสตรีเหล่านั้นกันทั้งนั้นมิใช่หรือ โดนด่าแล้วอย่างไร ข้าชั่วชีวิตนี้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขทั้งยังอิสระสบายใจ ยังไม่เคยเห็นว่าโดนคนด่าแล้วเนื้อหลุดออกมาเป็นชิ้นๆ เลยนี่ จิตใจโหดเหี้ยมอย่างนั้นรึ ก็ดีเหมือนกัน ทางที่ดีเห็นว่ามีคนโหดเหี้ยมสักคนในวังหลัง จะได้ไม่เกิดความคิดไม่ดีขึ้น”
ประโยคหลังกลับเป็นเรื่องจริง ทำให้พวกนางสบายใจขึ้น
พร้อมกันกับการแต่งตั้งชายาที่ใกล้เข้ามานี้ ภายในวังยุ่งอลวนกันขึ้น ศพของสองแม่ลูกสกุลหันฝังไว้ในสุสานราชวงศ์อย่างสงบ พระราชทานฉายานามให้แม่นางหันว่าฮุ่ยเจินหมินฉุนเสียนผิน เพื่อปลอบขวัญสกุลหันที่เสียลูกสาวไป
จากนั้น เรื่องหายนะตำหนักเซียนจวีก็ค่อยๆ ซาลง ไม่มีใครถามขึ้นมาอีก
พิธีแต่งตั้งพระชายาจัดขึ้นเมื่อเช้าของวันที่แปด ณ พระที่นั่งหวาไก้
ตำแหน่งของหวงกุ้ยเฟยเป็นรองแค่ฮองเฮา หลายราชวงศ์ต่างเรียกหวงกุ้ยเฟยว่าฮองเฮารองหรือไม่ก็ฮองเฮาตำหนักตะวันตก นอกจากตำแหน่งที่เรียกขานแล้ว ที่เหลือก็เหมือนพิธีแต่งตั้งฮองเฮา ก็คือเงินเดือนและสวัสดิการพอๆ กันกับฮองเฮา ต้าเซวียนก็เช่นเดียวกัน
อีกทั้งจุดที่สำคัญก็คือ ชายาสนมมากมายก่อนที่จะขึ้นเป็นฮองเฮานั้นล้วนขึ้นเป็นหวงกุ้ยเฟยกันมาก่อน แล้วค่อยขึ้นเป็นฮองเฮา ดังนั้นพอราชโองการแต่งตั้งหวงกุ้ยเฟยประกาศออกมา คนภายในวังและในราชสำนักก็ต่างกระจ่างแจ้งแล้ว หวงกุ้ยเฟยตำแหน่งนี้ก็แค่สะพาน สุดท้ายฝ่าบาททรงต้องการแต่งตั้งแม่นางอวิ๋นขึ้นเป็นฮองเฮาแห่งต้าเซวียน
อากาศแจ่มใส สกุณาร่ำร้องพฤกษาส่งกลิ่นอวล เกี้ยวสำหรับหวงกุ้ยเฟยจอดรออยู่นอกหอเหยาไถ หลังคากลมเกลี้ยงสีเงิน มุมทั้งสี่แกะสลักทองสำริดลายหงส์โบยบิน ผ้าคลุมเกี้ยวสีทองอ่อนนุ่มปักหมุดแดง แวววาวสดใสดั่งเปลวไฟไปทั้งผืน เต็มไปด้วยกลิ่นอายมงคล
“เหตุใดบ่าวจึงรู้สึกว่าเหมือนรับใช้นายหญิงออกเรือนอีกครั้ง” ชูซย่าพยุงอวิ๋นหว่านชิ่นออกประตูมา ยิ้มพลางกระซิบขึ้น
อวิ๋นหว่านชิ่นก็รู้สึกว่าตื่นเต้นกว่าตอนแต่งงานใหม่ๆ เสียอีก ตอนแต่งงานใหม่ที่จวนอ๋อง อย่างน้อยชาติก่อนก็เคยผ่านขั้นตอนพิธีการต่างๆ มาพอสมควรแล้ว แต่พิธีการในวังหลวง กลับเป็นครั้งแรกที่เจอ
ยามมาถึงพระที่นั่งหวาไก้ ซย่าโหวซื่อถิงได้มาถึงก่อนแล้ว กำลังนั่งรออยู่บนบัลลังก์
เสียงกล่าวรายงานดังขึ้น อวิ๋นหว่านชิ่นถูกพยุงเข้าตำหนักไป รู้สึกถึงบรรยากาศเคร่งขรึมและเงียบงันภายในท้องพระโรง นางมีผ้าคลุมศีรษะกั้นไว้ คนที่นั่งอยู่มองมา
เขานั่งอยู่บนตั่งมังกรทอง วันนี้สวมชุดพระราชพิธีแต่งตั้งชายาสีแดงตลอดร่าง เสื้อคลุมสีแดงเลือดนก ผ้าพาดเบื้องหน้าสีแดงทอง เอวรัดเข็มขัดหยกขาว รูปงามดั่งเซียนอย่างหาที่สุดมิได้ เคร่งขรึมและน่าเกรงขาม ยามนี้ดวงตาแววประกายทั้งสองข้างทอดมองมา นัยน์ตาดั่งดวงดาว ทว่าไร้รอยยิ้ม
ที่แท้เขาในราชสำนักก็เป็นเช่นนี้นี่เอง
ไม่มองเขายังพอทำเนา พอได้มองแล้วก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นไปใหญ่!
นางเรียกกำลังใจ ยกรองเท้าปักลายเมฆมงคลประดับไข่มุกโบตั๋นขึ้น เดินเข้าไปหาคนเดียวตามพิธี มาถึงเส้นด้ายตรงกลางตรงกันข้ามกับบัลลังก์เขา แล้วคุกเข่าลง
พอคุกเข่าลงกลับรู้สึกว่าหัวเข่านิ่มๆ หนาๆ นางแอบลูบดู ใต้พรมนูนขึ้นมาไม่น้อย เหมือนถูกปูบางอย่างเอาไว้ก่อนแล้ว นางเหลือบมองไปข้างบนก็พลันกระจ่าง
พิธีการแต่งตั้งยาวนาน พอคุกเข่าลง ก็ใช้เวลานาน เขาได้จัดเตรียมการไว้แต่แรกแล้ว
คนด้านล่างบัลลังก์ อยู่ในชุดกระโปรงอ่อนนุ่มสีแดงพาดด้วยเสียเพ่ย[1] ราวกับเมฆมงคลอันงดงามลอยลงมาสู่ท้องพระโรง ด้านหลังหมวกม่านมุกบนศีรษะเผยให้เห็นดวงหน้างามไร้ตำหนิดั่งหยกเลือนรางมองไม่ชัด แต่กลับทำให้หน้าผากของซย่าโหวซื่อถิงคลายออก เอ่ยสั่งว่า
ยามนี้ ขุนนางที่รับพระประสงค์จากฮ่องเต้ออกมาจากแถวมา ประกาศพระประสงค์แทนพระองค์ว่า “แม่นางอวิ๋นแห่งหอเหยาไถ ฉลาดเฉลียวมีเชาว์ปฏิภาณ อ่อนน้อมถ่อมตน งดงามชดช้อย ทรงเมตตารับสั่งแต่งตั้งให้เป็นหวงกุ้ยเฟย ให้ขุนนางถวายคำนับ”
ทั้งสองฟาก เจ้าหน้าที่ฝ่ายพิธีการต่างพากันถวายคำนับ จากนั้นก็มอบสมบัติของหวงกุ้ยเฟย ไปๆ มาๆ ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว พิธีการทั้งหมดจึงเสร็จสิ้นลง
หากไม่ได้ฟูกหนาที่ซ่อนอยู่ลึกมากอันนี้ทำให้คุกเข่าง่ายล่ะก็ หัวเข่าคงได้ปวดไปอีกหลายวันแน่
ไม่ง่ายเลย พอราชโองการรับสั่งออกมา พิธีแต่งตั้งพระชายาก็แล้วเสร็จ
ตำหนักใหม่ของหวงกุ้ยเฟยตั้งอยู่ที่ตำหนักฝูชิง ครานี้ต่อให้บัวลอยน้อยร้องไห้จนคอแตกก็เปล่าประโยชน์ จำต้องเอ่ยคำลากับเรือนเก่าเสียแล้ว
ระหว่างที่นั่งเกี้ยวกลับจากพระที่นั่งหวาไก้มายังตำหนักฝูชิง เกี้ยวกลับหันไปทางสวนหลวง ตรงไปถึงทะเลสาบเฉิงเทียนแล้วจึงหยุดลง
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่แปลกใจสักนิด จะต้องเป็นความคิดของเขาแน่ๆ แล้วก็เป็นจริงดังคาด พอลงเกี้ยวมาก็เห็นเรือพระที่นั่งสูงสองชั้นลอยจอดอยู่กลางทะเลสาบ
แม้ว่าจะไกล แต่ก็เห็นได้อย่างชัดเจน เรือพระที่นั่งประดับด้วยผ้าคาดสีแดง หน้าต่างติดกระดาษแดงเช่นกัน แดงชาดไปหมดทั้งลำ เต็มไปด้วยกลิ่นอายมงคล สะท้อนผืนน้ำด้านข้างเป็นสีแดงไปทั่วทั้งบริเวณ
ฉีไหวเอินพายเรือน้อยมายังริมฝั่ง ยิ้มเอ่ยว่า “เชิญเหนียงเหนียงขึ้นมาบนเรือเพื่อเสด็จไปพ่ะย่ะค่ะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นเสื้อผ้ายังไม่ได้เปลี่ยน เหน็ดเหนื่อยไม่น้อย “ท่านอ๋องอยู่ด้านบนรึ ข้ากลับไปเปลี่ยนชุดก่อนดีกว่า…”
“ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ เหนียงเหนียง ฝ่าบาทตรัสว่าอย่างไรก็ต้องถอดอยู่ดี” ฉีไหวเอินยิ้มเอ่ยขึ้น
อวิ๋นหว่านชิ่นหน้าเห่อร้อน จำต้องพาเครื่องแต่งกายอันหนักอึ้งไปหา
ยามเรือน้อยพายมา ฟากฟ้าก็ค่อยๆ มืดลงแล้ว ดวงจันทร์แง้มโผล่มาครึ่งดวง ดวงดาวค่อยๆ ปรากฏขึ้น
บนตั่งเตียงของดาดฟ้าเรือกลับเงียบงันไปทั่วทั้งบริเวณ ไม่มีใครอยู่สักคน ห้องชั้นหนึ่งว่างเปล่า อวิ๋นหว่านชิ่นเดินตามบันไดไปบนชั้นสอง
ชั้นสองของเรือพระที่นั่งเป็นแบบเปิดหลังคาโล่ง มีเพียงราวจับล้อมรอบทั้งสี่ด้าน ยามปกติส่วนใหญ่ตอนฤดูที่เย็นสบาย ชนชั้นสูงในวังจะมากินลมร่ำสุราท่องทะเลสาบอยู่บนชั้นสอง ยามนี้กลับแดงชาดไปทั้งบริเวณ ตกแต่งเหมือนด้านล่างทุกอย่าง
ทว่า ครานี้กลับไม่ใช่สายแพรสีสัน ไม่ใช่กระดาษหน้าต่าง แต่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบแดนตะวันตก สดใหม่ อ่อนนุ่ม อิ่มเอิบ คล้ายว่าหลังจากเด็ดออกมาแล้วได้ผ่านการล้างมาก่อน
บุรุษนอนอยู่ตรงกลาง แขนยาวรองหนุนศีรษะไว้ ถอดอาภรณ์อันน่าเกรงขามในราชสำนักที่ทำให้หายใจไม่สะดวกออก รอยยิ้มในแววตาดั่งดวงดาวที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนฟากฟ้า “หวงกุ้ยเฟยของเรามาแล้วหรือ”
ท่าทางเอ้อระเหย แตกต่างกับคนที่มอบสมบัติแต่งตั้งพระชายาในพระที่นั่งหวาไก้เมื่อครู่ลิบลับ
นางปลดมงกุฎออก เดินเข้าไปหาสองสามก้าว ตกสู่กับดักกลีบดอกไม้ เดินไปก้าวหนึ่ง กลิ่นหอมของกลีบดอกไม้กำจายออกมาคราหนึ่ง พอเดินมาถึงตรงกลาง ทั่วทั้งร่างก็เหมือนไปคลุกกลิ้งในดอกไม้หอมมา
กลีบดอกเบื้องล่างทั้งหนาทั้งนุ่ม ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาให้คนไปรวบรวมมาเท่าใด นึกไม่ถึงว่าจะสบายกว่าเตียงสูงตั่งนุ่มเสียอีก
แค่เอ่ยออกไปครั้งเดียวเท่านั้น เขากลับเอากุหลาบแดนตะวันตกนี้มาเป็นเรื่องที่ทำให้แปลกใจทุกครั้ง
โชคดีที่คราก่อนไม่ได้พูดเงินๆ ทองๆ ออกมา ไม่ใช่นั้นครานี้จะไม่ได้นอนบนกองเงินกองทองเลยหรือ กระดูกได้กระแทกแตกหมดแน่ อวิ๋นหว่านชิ่นหลุดยิ้ม ทว่ารู้สึกถึงมือของคนข้างกายที่ไม่รู้จักพลิกแพลงเคลื่อนมากุมมือตนไว้
“ชิ่นเอ๋อร์ ในที่สุดพวกเราก็สามารถนอนด้วยกันแบบนี้ได้แล้ว”
เสียงเขาไม่ดัง ใบหน้าไร้อารมณ์ใด สงบนิ่งลึกล้ำ หันหน้าไปยังฟากฟ้าสีราตรีอันงดงามบนศีรษะของเขา
นิ้วมือทั้งห้าของนางสอดประสานช่องหว่างระหว่างนิ้วของเขา
“ข้าอยากให้เจ้าบอกข้าด้วยตัวเองว่า เจ้าแต่งกับข้าอีกครั้งแล้ว” เขาเอ่ยเสียงเรียบ ทว่าแฝงไว้ด้วยความภาคภูมิใจและลำพอง
นางมองฟากฟ้าราตรีที่มีจันทราและดาราประดับพลางหัวเราะให้กับนิสัยเด็กๆ ของเขา “ข้าแต่งกับท่านอีกครั้งแล้ว”
————————-
[1] เสียเพ่ย เครื่องประดับชนิดนี้จะใช้คู่กับมงกุฎหงส์ คล้ายผ้าพาดไหล่