ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 267.4 ข่าวร้ายจากแดนเหนือ (4)
“พ่ะย่ะค่ะ…กระหม่อมอยากให้น้องหญิงได้เปิดหูเปิดตาเสียหน่อย” อี๋ซื่ออ๋องประหลาดใจอยู่เล็กน้อย “ที่แท้ ตอนนั้นฝ่าบาทก็ทราบว่ากระหม่อมมีลูกพี่ลูกน้องแล้วนี่เอง…”
“แต่มิใช่เราจงใจไปสืบหา” ซย่าโหวซื่อถิงจ้องเขานิ่ง “เรียกได้ว่าบังเอิญกระมัง มีวันหนึ่งสู่อ๋องเล่นอยู่ในสวนหลวง กลับมีงูตัวหนึ่งเข้ามาในสวน โชคดีที่แค่ตกใจและปลอดภัยดี แต่เรากลัวว่ามีคนจงใจทำร้ายสู่อ๋อง หลังจากเรื่องนั้นจึงได้จงใจตรวจสอบทุกคนที่เข้าออกวังหลังในวันนั้นเป็นพิเศษ เจ้าเอ่ยขึ้นมา เราก็นึกขึ้นได้พอดี ตอนนั้นตรวจสอบคนเข้าออกดูเหมือนว่าจะมีสตรีในจวนอี๋ซื่ออ๋องด้วย ดังนั้นวันนี้เรามาได้ยินจึงจำได้ สตรีคนนั้นคงเป็นน้องสาวที่เจ้าเอ่ยถึงวันนี้ จึงได้รู้ว่าน้องสาวของอี๋ซื่ออ๋องปีนั้นก็มายังเมืองหลวงแล้ว”
อี๋ซื่ออ๋องใจกระตุก น้องสาวเข้าวังมาวันนั้น สู่อ๋องก็เจองูพอดี ฝ่าบาทจงใจเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา หรือว่าจะสงสัยนางเข้า เขาสงบสติอารมณ์ น้ำเสียงยังคงปกติ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ มิน่าเล่า” เว้นหยุดครู่หนึ่ง น้ำเสียงไม่แยแส “เรื่องสู่อ๋องครานั้น ฝ่าบาทตรวจสอบอันใดได้แล้วหรือ”
ซย่าโหวซื่อถิงแววตาใสสะอาด น้ำเสียงเป็นธรรมชาติ “เกรงว่าคงจะจัดการงูเงี้ยวเขี้ยวขอได้ไม่ดีกระมัง นึกย้อนกลับไป เกรงว่าเราจะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เสียแล้ว ใครจะกล้าวางแผนทำร้ายโอรสของเราในวังหลวงได้เล่า หากตรวจสอบเจอ เราจะทำให้มันผู้นั้นไม่ได้ผุดได้เกิดกันทั้งครอบครัวแน่”
อี๋ซื่ออ๋องลูกกระเดือกขยับ สันหลังเย็นวาบ ทำเพียงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นคำขอร้องของกระหม่อมเมื่อครู่…”
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นเขายังคงไม่ลดละ ก็หัวเราะเบาๆ “ในเมื่ออี๋ซื่ออ๋องเอ่ยขึ้นเองเช่นนี้ เราจะปฏิเสธได้อย่างไร เรื่องเล็กแค่นี้เอง ฉีไหวเอิน ถึงเวลานั้นไปจัดการด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ” ฉีไหวเอินรีบรับราชโองการ
ภายในห้องบุปผา ณ ตำหนักฝูชิง อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังพิงบนตั่งใหญ่ริมหน้าต่างกับเย่ว์อู่เหนียงและเฉินจื่อหลิงรอบเตาดินเผาแดงเล็กๆ ดื่มชากุหลาบน้ำผึ้งผสมพุทราจีนที่ทำเองไปพลาง พูดเรื่องสัพเพเหระไปพลาง
ไม่ว่าที่ไหนอยู่นานๆ ไปก็อุดอู้ วังหลังก็เช่นกัน อันที่จริงอวิ๋นหว่านชิ่นกลับไม่ได้รู้สึกอะไร เพียงแต่ซื่อโหวซื่อถิงกลัวว่านางที่เดิมทีเป็นคนชอบวิ่งเข้าวิ่งออก จะทนอึดอัดไม่ไหว อยู่ในวังก็ไม่เหมือนตอนอยู่ที่จวนอีกแล้วที่จะออกไปข้างนอกได้บ่อยๆ จึงได้บอกกับทัวป๋าจวิ้นให้เขาพาภรรยาของตนมาตำหนักฝูชิงบ่อยๆ เพื่ออยู่เป็นเพื่อนอวิ๋นหว่านชิ่น เย่ว์อู่เหนียงยามนี้มีฐานันดรเป็นเก้ามิ่ง[1] เข้าวังสะดวก ตั้งแต่เมื่อปีที่แล้วได้ลูกสาวอีกครั้ง ภายในบ้านก็ไม่มีเรื่องราวอะไร อยากจะพบอวิ๋นหว่านชิ่นตั้งนานแล้ว ทุกครั้งก็จะเข้าวังมาพูดคุยกับนางอย่างเบิกบานใจ
เรียกคนๆ หนึ่งก็คือเรียก เรียกคนสองคนก็คือเรียกอยู่ดี อวิ๋นหว่านชิ่นจึงให้ชูซย่าไปบอกเฉินจ้าว ให้เฉินจื่อหลิงเข้าวังมาเป็นครั้งคราวด้วย
วันนี้ทั้งสองคนบังเอิญเข้าวังมาพอดี ทั้งสามจึงพูดคุยกันอย่างออกรสมากกว่าเดิม พูดถึงสวี่มู่เจิน ก็ยิ่งเปิดประเด็นอย่างสะทกสะท้อนใจ
หงเยียนคลอดก่อนอวิ๋นหว่านชิ่นหลายเดือน เป็นเด็กน้อยอ้วนท้วมคนหนึ่ง ให้พี่สะใภ้สี่ไปดูแลด้วยตัวเอง ฟื้นตัวได้ไวมาก สวี่เจ๋อเทาพอได้ยินว่าหงเยียนคลอดลูกชายให้สกุลสวี่ ใจก็อ่อนลงมากว่าครึ่งแล้ว กลับยังหน้าบางอยู่ เริ่มแอบให้ผู้ดูแลจวนไปส่งของบำรุงสร้างน้ำนมบำรุงร่างกายให้ทั้งวัน ต่อมายังตั้งใจให้มอมอในจวนที่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อนไปดูแลหลานชายอีกด้วย
ก่อนที่หลงชังฮ่องเต้นำทัพออกรบด้วยพระองค์เอง สวี่มู่เจินก็โดนอภัยโทษเรียกตัวกลับมาจากหลิ่งหนานแล้ว พอกลับมาก็เป็นพ่อคน ยินดีปรีดาเสียจนพาหงเยียนกับลูกเข้ามาในจวนให้บิดาดู การดูครานี้ สวี่เจ๋อเทาปล่อยมือไม่ได้อีก แอบยอมรับตำแหน่งสะใภ้ของหงเยียนอยู่เงียบๆ อนุญาตให้นางพาหลานกลับมาพักที่จวนได้ ก็เรียกได้ว่าทั้งสามคนในครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า แต่หงเยียนทิ้งร้านเซียงหยิงซิ่วไม่ได้ เกิดความผูกพันขึ้นเสียแล้ว ยิ่งหักใจยุบกลุ่มผู้ช่วยไปไม่ได้ ก่อนจะเข้าจวนนางจึงได้ขออนุญาตพ่อตาว่าภายหน้าสามารถไปดูร้านเซียงหยิงซิ่วสองวันครั้งได้หรือไม่
สกุลสวี่เดิมทีก็เป็นตระกูลพ่อค้า สะใภ้สกุลสวี่จัดการกิจการหนึ่งจะนับเป็นอะไรได้ ยิ่งไปกว่านั้นเถ้าแก่ที่แท้จริงยังเป็นหลานสาวของตนอีก สวี่เจ๋อเทายามนี้หยอกเล่นกับหลานยังไม่มีเวลา ไหนเลยจะว่างไปสนใจสะใภ้ อย่าว่าแต่เว้นสองวันเลย ไปทุกวันยังได้ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็อนุญาตแล้ว
ยามนี้ลูกชายกลับมาแล้ว หลานอ้วนท้วมก็มีแล้ว วันนั้นพี่ชายฝากคำเข้าวังมาบอกว่า ท่านลุงเหมือนหนุ่มยี่สิบปีทุกวัน หน้าแดงกระชุ่มกระชวย ก่อนหน้านี้เพราะได้รับการกระทบกระเทือนจึงป่วยรุมเร้า ยามนี้หายแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นฟังจนในใจสบายมากขึ้นตาม
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ดีว่าท่านอ๋องเดิมทีก็ตั้งใจสนับสนุนคนบ้านเดิมของนาง เลื่อนขั้นให้พี่ชาย ความจริงเรื่องนี้เดิมทีก็เป็นความปรารถนาหลังจากนางได้มาเกิดใหม่ ให้พี่ชายอยู่ห่างจากไท่จื่อ สนิทกับฉินอ๋อง แต่พี่ชายกลับปฏิเสธอ้อมๆ บอกเพียงว่าผ่านคราวเคราะห์มาครานี้ เรื่องมากมายก็คิดตกแล้ว เพื่อการเมืองไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่อันตรายมากนัก ยามนี้บิดาก็อายุมากขึ้นเรื่อยๆ ข้างกายมีภรรยาคนงาม ทายาทก็ยังเด็ก ไม่อยากคิดอย่างอื่นอีก จัดการกิจการเครื่องเทศของตระกูลอย่างเดียว ก็สงบเสงี่ยมขึ้น ทำให้คนในครอบครัวสบายใจ
สวี่เจ๋อเทากลัดกลุ้มว่าร้อยปีต่อมากิจการจะทำอย่างไร พอได้ฟังคำตอบของลูกชายก็รีบสนับสนุนทันที หงเยียนก็คล้อยตามสามี ดังนั้นทางด้านท่านอ๋องจึงไม่ได้บีบบังคับเขาอีก
อวิ๋นหว่านชิ่นคาดเดาได้ไม่น้อยแล้ว พี่ชายปฏิเสธงานราชการ นอกจากรู้สึกผิดต่อท่านลุงและอยากจะอยู่เป็นเพื่อนหงเยียนให้มากหน่อยแล้ว ยังมีเหตุผลอีกอย่าง คงเป็นเพราะหลงชังฮ่องเต้ พี่ชายเป็นฝ่ายไท่จื่อมาแต่ไหนแต่ไร เกิดตำแหน่งในราชสำนักดึงดูดให้คนจับตามอง จะต้องถูกคนเอาไปพูดเกินจริงลับหลังแน่ พี่ชายไม่อยากให้ตัวเองอยู่ยาก
ทว่า อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นท่าทางเขาดูแลกิจการของท่านลุงดูดีไม่น้อย ก็ปล่อยตามใจเขา ไม่ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร มีความสุขต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญ
ทั้งสามพูดคุยกันไป โดยไม่ทันรู้ตัว ชากุหลาบน้ำผึ้งผสมพุทราจีนกาหนึ่งก็เห็นก้นกาแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มเอ่ยว่า “ไม่รีบ ยังมีอีก” แล้วให้ฉิงเสวี่ยไปเอากุหลาบที่ตากแห้งเรียบร้อยมา
“เหตุใดจึงมีพันธุ์กุหลาบแดนตะวันตกมากมายเช่นนี้เล่า ซ้ำยังสดใหม่อีก” เฉินจื่อหลิงหยิบขนมอบกรอบรสหวานเข้าปาก
“แม่นางเฉินรองไม่รู้ล่ะสิ” เย่ว์อู่เหนียงมาบ่อยกว่าเฉินจื่อหลิง ย่อมกระจ่างแจ้งดี นางกะพริบตาปริบๆ “ฝ่าบาทไม่เคยให้กุหลาบตำหนักฝูชิงขาดเลยสักครั้ง สามีข้าบอกว่า ดอกไม้นี้ของต่างชาติแสดงถึงครองคู่ชั่กันวฟ้าดินสลายอะไรสักอย่าง แต่ละแคว้นในแดนตะวันตกนิยมกันมาก เหมือนกับต้าเซวียนเราที่มักจะมอบผ้าปัก ถุงหอมเพื่อเป็นของต่างหน้าแทนใจ”
“ต่อให้เป็นของแทนใจก็ไม่ถึงขั้นมอบให้ทุกวันหรอกกระมัง” เฉินจื่อหลิงตีปากที่กินหวานเลี่ยน จิบชาดอกไม้ล้างปาก “หากเป็นข้า ขอเป็นดาบทองสำริดและม้าเหงื่อโลหิต[2]ของแดนตะวันตกดีกว่า”
สตรีนางนี้ช่างไม่ได้เปิดหูเปิดตาเลยสักนิดจริงๆ อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มพลางสบตากับเย่ว์อู่เหนียง ในขณะนั้นเอง ชูซย่าก็กลับมา ฝีเท้ารีบร้อน เดินเข้ามาตรงหน้านายหญิง ค้อมกายลง เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่พระที่นั่งอี้เจิ้งให้ฟัง
เย่ว์อู่เหนียงกับเฉินจื่อหลิงเห็นอวิ่นหว่านชิ่นฟังจนสีหน้าตระหนก รอยยิ้มพวกนางก็หายไป รีบถามว่า “เกิดอันใดขึ้นรึ”
อวิ๋นหว่านชิ่นก็ไม่ปิดบัง อย่างไรเสียสองคนนี้คนหนึ่งก็เป็นฮูหยินของท่านลุง อีกคนก็เป็นคุณหนูตระกูลแม่ทัพ กลับไปก็ต้องได้รู้อยู่ดี จึงสงบจิตสงบใจ “อี๋ซื่ออ๋องเพิ่งจะกลับมาเมืองหลวง นำสาส์นกลับวังมาด้วย บอกว่าหลงชังฮ่องเต้กระโดดแม่น้ำที่ซั่งตูเพื่อปลิดชีพตน”
พูดออกมาทีละถ้อยทีละคำ ในใจยังคงตระหนกอยู่ ซย่าโหวซื่อจุนในชาติก่อนไม่มีร่องรอย เป็นตายไม่ทราบแน่ หรือว่าชาตินี้ก็จะเป็นเหมือนกัน ตายไปเช่นนี้อย่างนั้นรึ
“ว่าอย่างไรนะ” เย่ว์อู่เหนียงตกใจ
เฉินจื่อหลิงกัดขนมอบแห้งรสหวานไปได้ครึ่งหนึ่ง
แม้ทั้งสองจะตกใจ แต่ก็ไม่แปลกใจ หลงชังฮ่องเต้ถูกทหารแดนเหนือจับตัวไปเป็นเชลย เดิมทีก็ไม่หวังว่าจะสามารถมีจุดจบที่ดีมากได้อยู่แล้ว แต่ว่าคิดไม่ถึงเลยว่าจะใช้วิธีนี้จบสิ้นมัน
————————————-
[1] เก้ามิ่ง สตรีบรรดาศักดิ์ข้างนอกวัง อันได้แก่ภรรยาของขุนนางระดับ 1 ถึงระดับ 5
[2] ม้าเหงื่อโลหิต เป็นม้าสายพันธุ์หนึ่ง ตามตำนานกล่าวกันว่าม้าพันธุ์ดังกล่าวยามที่ออกวิ่ง บริเวณแผงคอจะมีเหงื่อไหลออกมา