ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 268.2 ซื่ออ๋องปราบพยศ ครอบครัวสุขสันต์ (2)
พอได้ยิน สีหน้าเฉินจื่อหลิงก็ยิ่งคล้ำกว่าเดิม
ตงเอ๋อร์รู้ดีว่ายิ่งปลอบก็ยิ่งผิดจึงเงียบไป แล้วพึมพำว่า “คุณหนูอุตส่าห์เห็นอี๋ซื่ออ๋องผู้นั้นเป็นแบบอย่างมาตั้งแต่เด็ก อาวุธและม้าที่รวบรวมไว้ที่จวนล้วนเหมือนกับอี๋ซื่ออ๋องทุกอย่าง ทุกรายงานการรบน้อยใหญ่ที่แดนเหนือของอี๋ซื่ออ๋องยังให้บ่าวไปคัดลอกมาเก็บเอาไว้ แล้วศึกษาวิเคราะห์ครั้งแล้วครั้งเล่า…ที่แท้คนผู้นี้ก็เป็นคนแบบนี้นี่เอง ถวายตัวลูกพี่ลูกน้องหญิงเข้าวังก่อน แล้วยังหยาบคายกับคุณหนูอีก เฮ้อ ดูท่าแล้วอย่าได้เคารพนับถือเป็นแบบอย่างจะดีกว่า ห่างจากความงดงาม…”
ไม่แปลกที่วันนี้พอคุณหนูได้ยินเรื่องที่อี๋ซื่ออ๋องพูด ปฏิกิริยาจึงรุนแรงเช่นนี้ เพราะเรื่องที่แบบอย่างของตัวเองทำกับที่ตัวเองคิดจินตนาการนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง
“พอแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว!” เฉินจื่อหลิงเอ่ยขัดขึ้น หน้าแดงขึ้นมาอีกครั้ง “แต่นี้ต่อไป อย่าได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก!”
คิดเสียว่าตัวเองดวงตามืดบอด นึกไม่ถึงว่าจะเอาคนแบบนี้มาเป็นแบบอย่างตั้งแต่เล็กจนโต คิดว่าเขาเป็นโอรสเพียงคนเดียวของลี่หยางอ๋อง ละทิ้งชีวิตอันร่ำรวยมั่งคั่งสงบสุขที่เมืองหลวงไป ยอมไปเฝ้ารักษาการณ์อยู่แดนเหนือ ต่อต้านเหมิงหนู จะต้องเป็นบุรุษที่แข็งแกร่งเจิดจ้า สูงส่งเปิดเผย ไม่กลัวอำนาจ แตกต่างจากขุนนางคนอื่นๆ แน่
สองสามปีมานี้เขามักจะมาเมืองหลวง นางยังทั้งดีใจทั้งตกใจอยู่เลย คิดอยากจะบอกกับพี่ชายสักหน่อยว่าจะสามารถหาโอกาสได้เห็นเขาด้วยตาตัวเองหรือไม่
ไม่คิดเลยว่าพอได้เจอวันนี้ ฝันก็สลายทันใด ไม่เหมือนคนเดียวกันกับที่ตนจินตนาการไว้เลยสักนิด ทำเรื่องที่อาศัยสตรีมาแลกความมั่งคั่ง ซ้ำยังใช้คำพูดหยาบคายมาหยามเหยียดตนอีก!
แต่ไหนแต่ไรมาท่านพ่อกับท่านพี่ทำได้แต่ให้กำลังใจนาง ชิ่นเอ๋อร์ก็ชื่นชมในฝีมือต่อสู้ของนางทุกครั้ง บุรุษผู้นี้…ดวงตาโดนอินทรีจิกไปแล้วแน่ๆ!
เย่อหยิ่งผยอง ไม่มีสง่าราศีเลย!
เหน็บแนมเขาคำสองคำ เขาย้อนคืนมาตั้งหลายเท่า! นี่ยังเรียกว่าบุรุษได้อีกหรือ
ช่างเถิด! กลับไปก็แค่เปลี่ยนม้าและอาวุธใหม่ กระทั่งรายงานการทหารพวกนั้นก็เอาเผาพร้อมกันไปให้หมด!
เฉินจื่อหลิงโมโหยกใหญ่ เดินไปยังรถม้าของบ้านตน
ในขณะนั้นเอง ภายในห้องหนังสือ ซย่าโหวซื่อถิงรอแล้วรอเล่า คนที่รอก็ยังไม่มาสักที จึงวางพู่กันลง “เหตุใดวันนี้เกี้ยวจึงได้ช้านัก”
แม้น้ำเสียงจะอ่อนโยน แต่ฉีไหวเอินไหนเลยจะดูไม่ออกว่าฝ่าบาททรงกริ้วแล้ว หลายวันมานี้เพราะเหมิงหนูเสนอเรื่องแลกเปลี่ยนตัวประกัน เวลาส่วนใหญ่ของฝ่าบาทจึงขลุกอยู่แต่ในราชสำนักและห้องหนังสือ วันนี้งานราชกิจเสร็จสิ้นสมบูรณ์อย่างหาได้ยากยิ่ง กระทั่งรอให้ถึงค่ำไม่ไหว อี๋ซื่ออ๋องเพิ่งจะกลับไปก็ให้เรียกหวงกุ้ยเฟยมาเข้าเฝ้า เขายิ้มทูลว่า “เมื่อครู่ตอนที่กระหม่อมไปหา ฮูหยินสกุลเย่ว์กับคุณหนูรองตระกูลแม่ทัพเฉินก็อยู่กันด้วย หวงกุ้ยเฟยคงจะเสียเวลาอยู่สักหน่อย ฝ่าบาทอย่ารีบร้อนไป อีกเดี๋ยวก็มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ซย่าโหวซื่อถิงขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย เร็วกว่านี้ไม่มา ช้ากว่านี้ไม่มา ดันจะเข้าวังมาในเวลานี้ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่พูดอะไรอีก
รอต่อไปอีกครึ่งชั่วยาม นางก็ยังไม่มาสักที
ฉีไหวเอินเห็นพระพักตร์ฝ่าบาทน่าเป็นห่วง กระทั่งฎีกาก็พิจารณาไปด้วยความใจร้อนและลุกลี้ลุกลน ในขณะที่กำลังจะไปเร่งด้วยตัวเองอีกครั้งนั้น ประตูตำหนักก็เปิดออก เสียงเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเอ่ยรายงานขึ้น จึงได้วางใจลง ยิ้มพลางเอ่ยกับผู้มาใหม่ว่า “เหตุใดเหนียงเหนียงจึงเพิ่งมาเล่า”
อวิ๋นหว่านชิ่นจูงบัวลอยน้อย แขนเล็กหอบกล่องอาหารเดินเข้ามา “เพิ่งจะไปสำนักลูกยาเธอรับสู่อ๋องมา วันนี้ทำขนมมาให้ฝ่าบาทมากมาย จึงได้เสียเวลา” เนื่องจากบัวลอยน้อยโตขึ้นมาหน่อยแล้ว สองสามปีนี้จึงได้รับพระราชทานตำหนักเข้าไปพักที่สำนักลูกยาเธอ
ฉีไหวเอินพอมองตาฝ่าบาทก็รีบออกไปทันที
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นนางมาหา อารมณ์ก็เบิกบานทันใด วันนี้อากาศอบอุ่นไม่น้อย ผมงามของนางเกล้าเป็นมวยเอียงครึ่งศีรษะ ไร้ของประดับใด คลุมด้วยผ้าคลุมไหล่ลายเมฆาปักลายนกหลวน ด้านในเป็นกระโปรงกับเสื้อตัวสั้นผ้าไหมสีม่วงอมควัน เผยให้เห็นเสื้อตัวในสีชาดทรงโค้งวับแวม การแต่งตัวไหนเลยจะเหมือนหวงกุ้ยเฟย นี่มันเด็กสาวงดงามเพริศแพร้วชัดๆ
กลิ่นกายทั่วทั้งร่างหอมอวลยิ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าปรุงกลิ่นหอมใดอีก
เขาเลื่อนม้วนกระดาษออกไป มองเด็กน้อยข้างกายนางอีกครั้ง เอ่ยเสียงเรียบว่า “เรียกเจ้ามาคนเดียวมิใช่หรือไร เหตุใดจึงพาซวินเอ๋อร์มาด้วยเล่า เวลานี้ ควรจะนอนกลางวันแล้วกระมัง” กว่าจะได้อยู่ด้วยกันกับนางสองต่อสอง ไม่ยินดีอย่างยิ่งที่จะให้เด็กคนนี้มายืนเป็นก้างขวางคออยู่ด้านข้าง จึงแอบบอกเป็นนัยๆ ให้ส่งกลับไป
อวิ๋นหว่านชิ่นวางกล่องอาหารไว้บนโต๊ะ ไม่ได้รับความนัยที่เขาส่งมาให้ ยิ้มเอ่ยว่า “เวลาไหนเข้าไปแล้ว ยังจะมานอนกลางวันอันใดอีก เขาตื่นแล้วเจ้าค่ะ หมู่นี้ท่านอ๋องเหนื่อยล้า ไม่ได้พบบัวลอยน้อยเลย ข้าจึงถือโอกาสพามาด้วย” แล้วลูบหัวลูกชายไปมา “ไปถามไถ่สารทุกข์สุขดิบเสด็จพ่อสิ” แล้วเปิดกล่องอาหารออก หยิบขนมทานเล่นด้านในออกมา ล้วนเป็นของทานเล่นของระแวกนี้อย่างเสวี่ยเหมยเหนียง[1]ของอำเภอหังโจว แป้งรากบัว แป้งปั้นทรงหูแมว เสี่ยวหลงเปาของซีหู ขนมลูกพลับ จิ้งเกา[2]ของส่านซี ขนมก้นหอย ลูกชิ้นวอลนัท รากบัว ไข่ม้วนเนื้อจามรีของอวิ๋นหนาน…แต่ละรายการแยกเป็นจานๆ ทั้งนิ่มทั้งนุ่ม ทั้งขาวทั้งเหลือง แต่ละจานวางอยู่เต็มโต๊ะ
บัวลอยน้อยที่ใกล้จะสี่ขวบตัวตุ้ยนุ้ย อยู่ในชุดคลุมผ้าไหมขององค์ชายสีทองม่วงและรองเท้าหัวเสือ ท่าทางมีชีวิตชีวา สาวเท้ายาวๆ เดินเข้าไปหา เขาเลิกชุดคลุมขึ้น คุกเข่าลงไป เอ่ยอย่างตั้งอกตั้งใจด้วยเสียงเด็กน้อยว่า “ถวายพระพรเสด็จพ่อ เสด็จพ่อลำบากแล้ว”
ซย่าโหวซื่อถิงกลับยิ้มอย่างแข็งทื่อ ปรายตามองคนข้างกายของลูกชายอย่างเงียบๆ แวบหนึ่ง หมู่นี้ไม่เห็นหน้าไม่ได้มีเพียงแค่ลูกชายเท่านั้น เอ่ยว่า “ซวินเอ๋อร์ลุกขึ้นเถิด”
บัวลอยน้อยได้กลิ่นหอม ศีรษะน้อยๆ ก็เงยขึ้น พร้อมกับชี้ไปยังขนมจานหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะหนังสือ ดวงตากลมโตคู่นั้นโชติช่วงเป็นประกาย “เสด็จพ่อ นั่นคืออันใดหรือ”
ตะกละขึ้นมาแล้วยังจงใจถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วอีก เด็กคนนี้ช่างเจ้าเล่ห์ไม่น้อย ซย่าโหวซื่อถิงจำต้องอุ้มลูกชายขึ้นมา คีบขนมหนวดมังกรชิ้นหนึ่งให้เขา
บัวลอยน้อยนั่งอยู่บนตักบิดา มือสองข้างถือขนมจ่อปากเคี้ยวเหมือนตัวตุ่นตัวน้อย พอกินหมดหนึ่งชิ้นก็ไปหาอันที่ตัวเองชอบ เวลาเพียงไม่นานก็กินจนปากเลอะแป้งเป็นหนวดขาวยาวเฟื้อย
อวิ๋นหวานชิ่นที่นั่งอยู่ด้านข้างหิ้วกาออกมาจากกล่องอาหาร รินชาดอกไม้จอกหนึ่ง ดื่มพลางเช็ดปากให้ลูกชายไปด้วย ทั้งไม่เร่งและไม่รีบ
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นว่ากินกันต่อไปเรื่อยๆ ก็ไม่รู้ว่าใช้เวลานานเท่าใด เห็นบัวลอยน้อยจิ้มไข่ม้วนชิ้นหนึ่งจึงจับเอาไว้อย่างแน่วแน่ “กินเยอะก็ไร้ประโยชน์”
“อันนี้เพิ่งกินได้สองชิ้นเองแท้ๆ” บัวลอยน้อยชูนิ้วขึ้นสองนิ้ว รีบแย้งอธิบาย พออายุเพิ่มขึ้น ภาษาก็เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ปากเล็กๆ คล่องแคล่วว่องไวยิ่ง สมองก็แจ่มใส
“อย่างอื่นกินไปมากแล้ว! ใกล้ได้มื้อเย็นแล้ว ของกินเล่นกินมากไป พอแม่นมป้อนมื้อหลักก็กินไม่ลง” เขาเองยังไม่ได้กินเลย หิวไปหลายวัน จำต้องหักใจตัดอาหารของลูกชาย แล้วส่งสายตาให้สตรีข้างกายตัวเอง บ่งบอกว่าให้นางส่งบัวลอยน้อยไปให้แม่นมได้แล้ว
เมื่อก่อนเสด็จพ่อกลัวแต่ว่าตนจะเลือกกินและเบื่ออาหาร แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยห้ามเขากินเลย ต้องการอะไรก็ให้คนในวังไปตระเตรียมให้ ส่วนใหญ่ล้วนตามใจตนทั้งหมด วันนี้กลับแปลกนัก บัวลอยน้อยกะพริบตากลมโตปริบๆ มองไปยังมารดาเพื่อขอความช่วยเหลือ รู้ดีว่ามารดาไม่ว่าจะพูดอย่างไร เสด็จพ่อก็รับคำทุกอย่าง
“ก่อนหน้านี้อากาศเปลี่ยน บัวลอยน้อยเบื่ออาหาร ไม่ได้กินดีๆ มาหลายวัน ผอมลงมาก วันนี้เกิดอยากอาหารขึ้นอย่างหาได้ยากยิ่ง จึงได้ทานไปนิดหน่อยเท่านั้นเอง” อวิ๋นหว่านชิ่นคล้ายไม่ได้สังเกตสายตาที่ซย่าโหวซื่อถิงส่งไปให้ถึงสองครั้งเลยสักนิด ยืนอยู่ฝั่งลูกชายเหมือนเรื่องที่พึงกระทำโดยไม่อาจปฏิเสธได้
บัวลอยน้อยมองคนบนบัลลังก์ นึกไม่ถึงว่าวันนี้เสด็จพ่อจะไม่ได้เออออไปกับคำพูดของท่านแม่ทันที ซ้ำยังหน้าคว่ำอย่างแปลกพิกลอีก น้ำเสียงก็พาลและเผด็จการมาก “เราบอกว่ากินไม่ได้ก็คือกินไม่ได้ หากจะกินก็กลับสำนักลูกยาเธอไป ให้ทำให้ใหม่สองสามอย่าง เหตุใดต้องมากินถึงที่นี่ด้วย!”
—————————————-
[1] เสวี่ยเหมยเหนียง คล้ายไดฟุกุ ด้านในมีไส้ผลไม้ตามฤดูกาล
[2] จิ้งเกา ขนมที่มีรสชาติเหมือนข้าวบดละเอียดนึ่งเป็นก้อนกลมๆ สีขาว ราดด้วยน้ำเชื่อม และชุบน้ำตาลโรยงาอีกที