ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 268.3 ซื่ออ๋องปราบพยศ ครอบครัวสุขสันต์ (3)
บัวลอยน้อยนิ่งอึ้ง กระจ่างแจ้งขึ้นมาทันใด เสด็จพ่อต้องกลัวว่าตนจะแย่งเขากินแน่ๆ เสด็จพ่อใจแคบจริงๆ
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเขาไม่พอใจ กลัวว่าลูกชายจะเสียขวัญ จึงล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วโน้มตัวลงเช็ดปากน้อยๆ ของลูกชายที่อยู่ในอ้อมอก “ช่างเถอะ เช่นนั้นบัวลอยน้อยก็กลับไปกับแม่นมก่อน”
พอนางโน้มตัวลง ส่วนหน้าของเสื้อก็แง้มออก เกาะอกยิ่งเผยสู่สายตาอย่างชัดเจน กลิ่นกายนางหอมกรุ่น เขายกมือขึ้นอย่างไม่อาจหักห้ามใจ ผ่านบัวลอยน้อยอ้อมไปยังบั้นเอวของนาง ตีลงเบาๆ คราหนึ่ง เย้าแหย่สามส่วน ชมเชยอีกเจ็ดส่วนที่ในที่สุดนางก็ยอมส่งเด็กน้อยก้างขวางคอชิ้นใหญ่กลับไป
คิดไม่ถึงว่ามือจะหนักไปหน่อย เสียง ‘ป้าบ’ ดังขึ้น กังวานใสชัดเจนอยู่ภายในห้องหนังสืออันเงียบเชียบ
บัวลอยน้อยหูตาว่องไว พอเห็นการกระทำเล็กๆ ของเสด็จพ่อเข้า ใบหน้าตุ้ยนุ้ยดั่งหยกขาวก็ตระหนกขึ้น “เสด็จแม่ไม่เชื่อฟังใช่หรือไม่ เสด็จพ่อจึงได้ตีก้นเสด็จแม่”
อวิ๋นหว่านชิ่นสีหน้าเหยเก แต่เห็นเขาหัวเราะเสียงดังขึ้นมา น้ำเสียงชั่วร้ายเอ่ยว่า “ใช่น่ะสิ เสด็จแม่ของเจ้าไม่เชื่อฟัง ซวินเอ๋อร์รีบกลับไปเสีย พ่อจะสั่งสอนเสด็จแม่เจ้าสักยก”
หากพูดต่อไป เกรงว่ากระทั่งลูกชายคงได้โดนสอนผิดๆ แน่ อวิ๋นหว่านชิ่นถลึงตาใส่เขา อุ้มลูกชายขึ้นมา ส่งถึงหน้าประตู ขณะที่กำลังส่งให้แม่นมนั้น บัวลอยน้อยกลับยังหลงเหลือความหวาดกลัวในใจอยู่ พึมพำด้วยความกังวลว่า “ท่านแม่ไปกับซวินเอ๋อร์เถอะ วันนี้เสด็จพ่อชั่วร้ายมาก…”
อวิ๋นหว่านชิ่นปลอบใจว่า “เสด็จพ่อแค่พูดเล่น มิได้จะสั่งสอนแม่จริงๆ หรอกลูก”
บัวลอยน้อยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทว่าเมื่อครู่เสด็จพ่อใบหน้าแดงก่ำอยู่ชัดๆ ลมหายใจก็รุนแรงตอนตีก้นท่านแม่ นี่ไม่ได้โกรธแล้วให้เรียกว่าอะไร เขาครุ่นคิดอยู่นาน จึงเตือนอย่างจริงจังว่า “เช่นนั้นหากเสด็จพ่อจะตีก้นท่านแม่ขึ้นมา ท่านแม่ต้องรีบมาหาข้าเลยนะ”
แม่นมได้ยินเข้า สีหน้าก็แดงก่ำขึ้น นางทำเป็นไม่ได้ยิน อุ้มองค์ชายใหญ่ขึ้นมา ค้อมกายคำนับรีบร้อนกลับไป
อวิ๋นหว่านชิ่นกลับไปห้องหนังสือ เห็นซย่าโหวซื่อถิงตรงหน้าโต๊ะหนังสือสีหน้าผ่อนคลาย “ในที่สุดเด็กคนนั้นก็กลับไปเสียที”
“ท่านอ๋องเกือบจะทำบัวลอยน้อยขวัญเสียแล้วนะเจ้าคะ มองท่านเป็นตัวร้ายไปแล้วด้วย” อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ค่อยพอใจนัก นางเดินไปหน้าโต๊ะหนังสือเก็บกวาดขนมทานเล่นเต็มโต๊ะ แล้วหยิบหม้อลายครามที่ใส่น้ำแกงไว้ออกมาเปิดฝา ควันร้อนๆ พวยพุ่ง ยื่นส่งไปให้เขา เมื่อครู่เขามัวแต่ดูแลบัวลอยน้อยกิน ยังไม่มีโอกาสได้จับตะเกียบ
“เด็กผู้ชายไหนเลยจะสูงส่งเพียงนั้น พูดแค่ไม่คำก็ขวัญเสียได้ แบบนั้นจะยังสามารถประสบความสำเร็จอันใดได้อีก” เขามีท่าทีสบายๆ รับน้ำแกงมา
นางรู้ว่ายิ่งบัวลอยน้อยอายุมากขึ้น เขาก็เริ่มใส่ใจในการเล่าเรียนของลูกชายเป็นอย่างมาก ไม่เอาแต่ตามอกตามใจประคบประหงมอีก ในด้านบางด้านกระทั่งเลี้ยงดูแบบหยาบๆ เลยก็มี ในขณะที่กำลังคิดนั้น ซย่าโหวซื่อถิงก็ดื่มน้ำแกงไปหลายคำแล้ว เขาวางชามลง ดึงข้อมือขาวผ่องของนางเข้ามาในอ้อมอก เอ่ยเสียงเบาว่า “เฝิงมั่นซูแห่งสำนักศึกษาฮั่นหลินมีคุณธรรมและความสามารถครบครัน เคยถวายการสอนองค์ชายมาสามรัชสมัย ในหมู่ชาวบ้านนักศึกษาและบัณฑิตที่มีชื่อเสียงจำนวนมากล้วนเป็นลูกศิษย์ของเขา เรียกได้ว่าเป็นผู้มีความสามารถที่หาได้ยากยิ่ง เราเลือกเขามา เพื่อเตรียมการเริ่มให้ซวินเอ๋อร์เข้าหอหนังสือในอีกไม่นานนี้ มีบัณฑิตเฝิงมาชี้แนะสั่งสอนให้เขาอย่างเป็นทางการ เจ้าคิดเห็นเช่นไร”
ในเมื่อเป็นคนที่เขาเลือกเองกับมือ จะต้องดีที่สุดอยู่แล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นก็เคยได้ยินชื่อเสียงของบัณฑิตเฝิงมาก่อนเช่นกัน นางจึงไม่มีความเห็นคัดค้าน ทำเพียงเบนสายตาไป “ได้ยินมาว่าใต้เท้าเฝิงเข้มงวดกับการศึกษาเล่าเรียนนัก กลัวว่าบัวลอยน้อยเริ่มเรียนเร็วเช่นนี้ ผนวกกับเจออาจารย์ที่เข้มงวดเข้า จะเรียนได้ไม่เต็มที่”
“อีกไม่กี่เดือนก็สี่ขวบแล้ว อายุวัยนี้เริ่มเรียนกำลังดี ไม่เร็วไป โอรสของเรา เราก็เชื่อมั่นเหมือนกัน” เขากระซิบข้างหูนาง “ทำผลงานให้สำเร็จโดยไว อีกสองปีจะได้แต่งตั้งได้พอดี”
นางย่อมเข้าใจที่เขาบอกว่าแต่งตั้งนั้นคือตำแหน่งอะไร “อีกสองปี บัวลอยน้อยก็แค่หกขวบ แต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทจะไม่ไวไปหรือ เกรงว่าในราชสำนักจะมีคนวิพากษ์วิจารณ์เอาได้”
“ยามนี้เรามีโอรสแค่คนเดียว ต่อให้ภายหน้าจะมีน้องชายน้องสาวเพิ่มขึ้นมา เขาก็เป็นพี่ชายคนโตอยู่ดี ตำแหน่งรัชทายาทไม่ช้าก็เร็วล้วนเป็นของเขา ใครจะกล้าว่าอันใดได้” เขาหายใจฟึดฟัด
นางโอนอ่อนตามคำเขา แววตามีความสดใสเป็นประกาย “ก็เพราะภายหน้าอาจจะมีน้องชายเพิ่มขึ้นมา ฝ่าบาทจะไม่เลือกหน่อยหรือ แต่งตั้งไวเช่นนี้ ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีกแล้วนะเพคะ”
เขาฟังความนัยของนางออก รวบมือเข้ามาบีบเอวอ่อนนุ่มดั่งต้นหลิวของนางแน่น “แม้จะมีน้องชายก็ล้วนออกมาจากท้องเดียวกันทั้งสิ้น”
ขนตานางกะพริบไหว “อย่างนั้นหรือ แต่ได้ยินมาว่าอีกไม่นานวังหลังก็จะมีคนเข้ามาแล้วนี่นา”
เขากะจะไปบอกนางที่ตำหนักฝูชิงในคืนนี้สักหน่อย เห็นนางได้ยินข่าวเข้าแล้วจึงไม่ปิดบัง เชยคางนางขึ้น “หึงรึ เช่นนั้นเราหาเหตุผลสักข้อปฏิเสธอี๋ซื่ออ๋องไปดีหรือไม่”
นางรู้ว่าหากเขาไม่พูด ประโยคนี้เอ่ยออกมา หากนางพยักหน้า เขาต้องไปทำแน่นอน
ประโยคเดียวเท่านั้น นางจะยังไม่สบายใจอะไรอีกเล่า
อวิ๋นหว่านชิ่นหยิบช้อนขึ้นมาตักน้ำแกงช้อนหนึ่ง ป้อนใส่ปากเขา “อี๋ซื่ออ๋องเป็นขุนนางมีความดีความชอบอันดับหนึ่ง ยามนี้ราชสำนักเพิ่งจะมั่นคง บ้านเมืองยังไม่สงบ จะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับขุนนางได้อย่างไร อีกอย่าง ยามนี้ก็แค่ส่งตัวสตรีนางนั้นมาอยู่เป็นเพื่อนไทฮองไทเฮาที่ตำหนักฉือหนิง ทั้งยังไม่ได้แต่งตั้งตำแหน่งอันใดให้ด้วย”
“แล้วเหตุใดเราจึงฟังแล้วเหมือนปากไม่ตรงกับใจเลยเล่า” เขาดื่มน้ำแกงหนึ่งคำแล้วดึงช้อนออกไป
“ปากไม่ตรงกับใจแล้วอย่างไร” อวิ๋นหว่านชิ่นปรายตามอง ไม่ยอมรับ “ราชสำนักก็ชอบปากพูดอย่างหนึ่ง ความจริงทำอีกอย่างหนึ่งมิใช่หรือไร”
เขาหัวเราะขึ้น แววตาเก็บงำประกาย “หากเจ้าเป็นบุรุษ เป็นขุนนางในราชสำนัก ต้องเป็นขุนนางที่กลับกลอกเจ้าเล่ห์แน่ เราคงได้คิดหาวิธีฆ่าเจ้าให้ตายแน่นอน” ในขณะที่กำลังพูดอยู่ ก็รู้สึกรอบกายร้อนรุ่ม กระทั่งจมูกและสันหลังก็มีเหงื่อผุดซึม ใจกระตุกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ แววตามองไปยังน้ำแกงบนโต๊ะ ขมวดคิ้วมุ่น “วันนี้คือน้ำแกงอันใดหรือ”
“ทำไมหรือ มิใช่น้ำแกงที่ห้องเครื่องตำหนักฝูชิงตุ๋นไว้ล่วงหน้าหรือไร” อวิ๋นหว่านชิ่นหยิบน้ำแกงมาตามสายตาแปลกใจของเขา ใช้ช้อนคนครู่หนึ่ง ของบางอย่างสีดำจำนวนหนึ่งก็โผล่ขึ้นมา ทันใดนั้นก็กระจ่างแจ้ง เมื่อหลายวันก่อน ทัวป๋าจวิ้นและภรรยากลับหมู่บ้านสกุลเกากัน ถือโอกาสล่าสัตว์บนภูเขาหลงติ่ง ใช้ชีวิตอย่างเกษตรกรอีกครั้ง ล่ากวางมาได้หลายตัวทีเดียว หลังจากที่เย่ว์อู่เหนียงกลับมาก็ให้คนเอาเนื้อกวางไปตากให้เป็นซานเจิน[1] ส่งถวายเข้าตำหนักฝูชิงเป็นของกำนัล แล้วตั้งใจห่อแส้กวางจำนวนหนึ่งแอบยัดให้อวิ๋นหว่านชิ่นมา
นางเห็นว่าหมู่นี้เขายุ่งไม่ได้พัก แส้กวางนี้มีประโยชน์ช่วยเรื่องไตวายโดนทำลาย ปวดล้าตามเอวและหัวเข่าได้ดี วันหลังรอเขามาหาแล้วค่อยตุ๋นน้ำแกงให้ ไม่คิดว่าวันนี้คนในห้องเครื่องจะโยนสิ่งนี้ใส่ลงมาด้วย
วันนี้เดิมทีอากาศร้อนอบอ้าวไม่น้อย ผนวกกับน้ำแกงแส้กวางไหลลงท้องไปหลายคำ เลือดลมจึงพลุ่งพล่านขึ้นมาแต่แรกแล้ว ยามนี้เห็นเขาร้อนอย่างหนัก นางจึงรีบพัดวีให้ แล้วคลายคอเสื้อให้เขา “ยังร้อนอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
เขากอดนางไว้บนตักแน่น กระซิบว่า “แค่พัดมันคลายร้อนมิได้”
ปลายจมูกนางร้อนวูบ ไม่รู้ว่าแนบชิดเกินไปหรือไม่ ทั่วทั้งร่างของนางก็ร้อนขึ้นมาเหมือนกัน ความร้ายกาจของแส้กวางนี้ นางก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้ เมื่อก่อนตอนอยู่ที่บ้านเดิม อย่างไรเสียอวิ๋นเสวียนฉั่งก็อายุอานามไม่น้อยแล้ว อนุจากสมาคมม้าผอมสามคนนั้นก็ยังเยาว์วัย กลัวว่าจะคุมไม่อยู่ จึงให้ม่อไคไหลเตรียมสุราแส้ม้ามาเก็บรักษาไว้ นางจมูกดีมาก ทุกครั้งที่เข้าไปในห้องครัว ก็จะได้กลิ่นนั้นตลอด
ปลายจมูกของเขามีเหงื่อเกราะพราว ดวงหน้าหล่อเหลาแดงไปทั้งหน้าราวกับดื่มสุรามา ร่างกายโน้มเอียงไปเบื้องหน้า บังคับนางที่อ่อนนุ่มดั่งต้นกกให้พิงเข้ากับโต๊ะหนังสือด้านหลัง
—————————
[1] ซานเจิน อาหารหายากต่างๆ บนภูเขา