ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 269.1 ร้องเพลงถวายอย่างขายหน้า (1)
แม้นางจะรู้สึกว่าในห้องหนังสือมันน่าอายไปหน่อย แต่ก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่ส่งมาจากตรงหน้าอยู่ลึกๆ รู้ดีว่าปฏิเสธไม่ได้ บนผิวขาวราวหิมะปรากฏเป็นปื้นแดงทั่ว ดวงตาแวววาวดั่งกวาง นางตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย รีบดันเขาออกก่อน เอ่ยเตือนว่า “อันนั้นน่ะ…ใส่หรือไม่”
เสียงนุ่มละมุน ทำให้เหงื่อตรงแผ่นหลังเขาไหลออกมามากกว่าเดิม
“ซวินเอ๋อร์โตขนาดนี้แล้ว เมื่อวันก่อนเราถามเหยาย่วนพั่นมาแล้ว บอกว่าวันเวลาพอสมควรแล้ว” เขาไม่ลังเลสักนิด จับมือทั้งสองข้างของนางชูขึ้น เพื่อให้มีที่ว่างทำให้ร่างสูงใหญ่ของเขาแนบชิดกับนางได้มากขึ้น ลมหายใจร้อนระอุแทบจะทำให้นางสติมึนเมา กลายเป็นคลื่นทะเลในวสันตฤดู “มีองค์หญิงให้เราอีกคนสิ”
นางรู้ดีว่าเขาอยากจะได้ลูกสาวมาโดยตลอด เมื่อก่อนเขารู้ทั้งรู้ว่าตวนเจี่ยร์ไม่ใช่ลูกเขา แต่ก็ไม่ได้เย็นชาใส่สักนิด นอกจากเพราะเห็นแก่หน้าเยี่ยนอ๋องแล้ว ก็เพราะเอ็นดูเด็กผู้หญิง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอิจฉาที่เยี่ยนอ๋องมีลูกสาวในวันนั้นยังคงดังก้องในโสต
ยามนี้พอได้เห็น อยากได้ลูกสาวจนคลั่งไปแล้วชัดๆ
ผ้าใต้กระโปรงหลุดออกทีละชิ้น จนกระทั่งดึงชิ้นที่ปกปิดปราการด่านสุดท้ายออก นางร้องด้วยความตกใจออกมา ทั่วทั้งร่างถูกเขายกเอวลอยขึ้น แล้วอุ้มพาไปวางบนโต๊ะหนังสือ
ร่างสูงนอนราบอยู่หว่างขา ล่อลวงใจคนให้ลุ่มหลงเพียงใด
ชุดคลุมมังกรพลิกตลบ มือใหญ่ดันฎีกากราบทูลจากขุนนาง รายงานทางทหารรวมถึงรายงานทางการเมืองไปไว้อีกด้านทั้งหมด
ภายในห้องหนังสือมังกรพลิกหัวหงส์ตลบหาง มองดูแล้ว ช่างเป็นเรื่องที่กษัตริย์เลอะเทอะทำเสียมากกว่า…
แต่เขาไม่สนใจแล้ว มีนางอยู่ ไม่ว่าที่ไหน เวลาใดล้วนเป็นสนามรักของเขาทั้งสิ้น
งานเลี้ยงวันคล้ายวันประสูติของไทฮองไทเฮามาถึง แสดงว่า หลังจากงานเลี้ยงผ่านพ้นไป งานเลี้ยงหาคู่ที่บรรดาคุณหนูสูงศักดิ์ทั่วทั้งเมืองหลวงรอคอยก็มาถึงแล้วเช่นกัน
นอกจากบุรุษสตรีจากตระกุลขุนนางใหญ่หรือชนชั้นสูงที่คุณสมบัติเหมาะสมแล้ว ครานี้เนื่องจากอี๋ซื่ออ๋องอยู่ที่เยี่ยจิง และเนื่องจากอยู่แดนเหนือมานานหลายปี ยังไม่ได้แต่งงาน เรื่องการแต่งงานเป็นสิ่งที่ราชวงศ์ให้ความสำคัญที่สุด จึงได้รับคำเชิญจากไทฮองไทเฮาไปโดยปริยาย เดินทางไปยังงานเลี้ยงหาคู่ที่สวนหลวง ดูว่ามีสตรีที่สะดุดตาและคู่ควรเหมาะสมคนไหนหรือไม่
งานเฉลิมฉลองพระชนม์ในครานี้ย่อมมีอวิ๋นหว่านชิ่นเป็นผู้จัด แต่ละอย่างประณีตละเอียดอ่อนอย่างหาใดเปรียบไก้ นางไปหาแต่ละตำแหน่งหน้าที่ที่จัดเตรียมงานเลี้ยง กำหนดเวลาตรวจดูวัตถุดิบอาหารและภาชนะเครื่องใช้ด้วยตัวเอง
ก่อนงานเลี้ยงสองวัน นางไปตำหนักฉือหนิง ถวายลำดับพิธีการของงานเลี้ยงแต่ละรายการให้เจี่ยไทเฮาทอดพระเนตร
เจี่ยไทเฮาพอพระทัยอย่างยิ่ง ไม่ว่าอะไรล้วนให้นางไปจัดการ ทำเพียงเหลือบมองรายชื่อแขกในงานเลี้ยงหาคู่แวบหนึ่ง เห็นมีชื่อของอี๋ซื่ออ๋องด้วย เนตรก็ขยับไหว มองไปยังนาง “จะว่าไปแล้ว ลูกพี่ลูกน้องหญิงของอี๋ซื่ออ๋องคนนั้นก็พักอยู่ตำหนักฉือหนิงมาหลายวันแล้ว”
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ดีว่าเจี่ยไทเฮากลัวว่านางจะหึงหวงน้อยอกน้อยใจ จึงทูลอย่างเคารพว่า “ไม่ทราบว่าไทฮองไทเฮามีความประทับใจต่อเด็กสาวคนนั้นอย่างไรหรือเพคะ”
เจี่ยไทเฮาย่อมรู้ดีว่าอี๋ซื่ออ๋องส่งลูกพี่ลูกน้องหญิงเข้าตำหนักฉือหนิงมา มิใช่แค่เพื่อถวายสาวใช้ให้แก่ตนเท่านั้น เป้าหมายสุดท้ายนั้นเพื่อส่งสตรีนางนั้นเข้าวังหลัง ยามนี้เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นเบิกบานแจ่มใส รู้ว่านางไม่ได้เอามาใส่ใจ จึงยิ่งพอพระทัยต่อนางมากขึ้นไปอีก ตรัสว่า “เด็กคนนี้ อย่างอื่นไม่มีอันใดหรอก แต่เล่นของแปลกพิสดารมากมาย อย่าว่าแต่เคยได้ยินในวังหลวงเลย ขนาดต้าเซวียนของเรายังมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย อาจเพราะติดตามอี๋ซื่ออ๋อง ร่ำเรียนมาจากทางแดนเหนือกระมัง พูดไปเจ้าคงไม่เชื่อ เหมือนกับหย่งจยาในตอนนั้นไม่มีผิดเพี้ยน เฮ้อ สมกับเป็นเด็กสาวจากจวนอี้หยางอ๋อง แต่ว่า หย่งจยานั่น อาศัยฮ่องเต้พระองค์ก่อนกับความสามารถเล็กๆ นั่นมีเกียรติสูงส่ง ไม่เอนเอียงไปตามกระแส สายตาเฉียบแหลม ขนาดองค์หญิงยังไม่เห็นอยู่ในสายตา สุดท้ายได้รับจุดจบเช่นนั้น ส่วนเด็กสาวคนนี้ นิสัยถ่อมตัวโอนอ่อนผ่อนตามกว่าหย่งจยามากทีเดียว”
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ยิ้มแย้มและไม่เอ่ยคำใด ทำเพียงฟังไปพลาง พยักหน้าไปพลางเท่านั้น
ในเมื่อคนๆ นั้นติดตามอยู่ข้างกายอี๋ซื่ออ๋อง เปลี่ยนสถานะตอนกลับมาเมืองหลวง จึงถูกกำหนดให้มิใช่ท่านหญิงหย่งจยาในสมัยก่อนอีกแล้ว
นอกจากนิสัยจะไม่ผยองถือดีราวกับนกยูงเหมือนวันวานที่ผ่านมา หน้าตาย่อมเป็นสิ่งแรกที่ต้องเปลี่ยน
แม้จะไม่รู้ว่านางเปลี่ยนใบหน้าไปแบบใด แต่ในเมื่อขนาดไทฮองไทเฮายังแยกไม่ออกแม้แต่น้อย คาดว่า จะต้องเปลี่ยนไปจนถึงขั้นพ่อแม่ก็ยังจำไม่ได้แน่
ในใต้หล้ามีคนมีความสามารถพิเศษ แพทย์ฝีมือเยี่ยมชื่อดังมากมาย จากกำลังทรัพย์และอำนาจของอี๋ซื่ออ๋องที่เฝ้ารักษาการณ์ในเจียงเป่ย การหาคนที่มาลบรอยสัก เปลี่ยนใบหน้ารูปลักษณ์ให้นาง ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องยากอะไร
“ไม่ทราบว่าเด็กสาวคนนั้นจากจวนอี๋ซื่ออ๋องมีนามว่าอันใดหรือเพคะ” อวิ๋นหว่านชิ่นถือถ้วยลายครามขึ้นจิบชาหอมคำหนึ่ง
“พระชายาอี้หยางอ๋องแซ่ถัง” เจี่ยไทเฮาตรัส “เด็กสาวคนนั้น นามว่าอู๋โยว[1]”
โบราณว่าไว้ ดอกเซวียนเฉ่าทำให้ไร้กังวล
ด้วยเหตุนี้ เซวียนจึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ดอกลืมกังวล หรือดอกไร้กังวล ท่านหญิงหย่งจยาซย่าโหวเซวียน ชื่อนี้เปลี่ยนได้ดีนี่นา แต่นี้ไปก็ไร้กังวลแล้วอย่างนั้นรึ
สีหน้านางไม่ทันเปลี่ยน หัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนไป พูดคุยเรื่องงานเลี้ยงกับเจี่ยไทเฮาอีกครั้ง
เดิมทีเจี่ยไทเฮายังคงมีปมในใจต่อการขึ้นครองราชย์ของเจ้าสามอยู่ ยามนี้ดูแล้ว คนหนึ่งเป็นสตรีดูแลเรื่องในเรือน คนหนึ่งเป็นบุรุษออกไปทำงานนอกบ้าน เหมือนสามีภรรยาในครอบครัวชาวบ้าน ราชวงศ์ก่อนพัฒนาไปอย่างมาก วังหลังสงบสุข ไม่มีอะไรไม่ดี เสียอย่างเดียวตามไม่ทันกับสถานการณ์ในตอนนั้นของหนิงซีฮ่องเต้ ตอนนั้นบรรดาสตรีเห็นวังหลังเป็นสนามรบ ไม่เหมือนสตรีตรงหน้าเลยสักนิด ที่จัดการดูแลอย่างจริงใจซื่อสัตย์เหมือนเป็นบ้านหลังหนึ่ง
นึกไปถึงเรื่องซื่อจุนแล้ว สุดท้ายเจี่ยไทเฮาก็ถอนหายใจออกมา
อวิ๋นหว่านชิ่นก็เดาความคิดของนางออก จึงปลอบโยนไปหนึ่งคำรบ อยู่เป็นเพื่อนพูดคุยจนราตรีมาเยือนจึงได้ทูลลา
เพิ่งจะออกจากตำหนักบรรทมของไทฮองไทเฮามา เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนระเบียงของตำหนักด้านข้าง ดูเหมือนพอเห็นว่านางออกมาแล้ว ก็หันหลังกลับ เดินไปตรงสุดทางระเบียง
แม้จะเป็นเพียงพริบตาเดียว แต่นางกลับเห็นอย่างชัดเจน
บริเวณมุมเลี้ยว ร่างอ้อนแอ้นอรชรในชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อนของวังหลวง เสียงกระทบกันของกำไรข้อมือหยกบนข้อมืองามกังวานใสไพเราะ ทั้งรื่นหูและก้องกังวานท่ามกลางราตรี ราวกับการท้าทายที่มองไม่เห็น
วันงานเลี้ยงมาถึง สายลมโชยอ่อน แสงตะวันเจิดจ้า ฟากฟ้าครามใสราวกับอัญมณี
หลังจากงานเลี้ยงทางการในยามเช้าเสร็จสิ้น คนที่ได้รับคำเชิญก็ทยอยกันไปยังงานเลี้ยงหาคู่
ยังคงเหมือนกับปีที่ผ่านๆ มา เนื่องจากไทฮองไทเฮาแพ้เกสรดอกไม้ จึงหลีกเลี่ยงดอกไม้ ครานี้ อวิ๋นหว่านชิ่นยังคงจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ที่ศาลาพักร้อนริมทะเลสาบเฉิงเทียนที่โล่งกว้าง ทั้งยังให้คนสังเกตทิศทางลมในยามนี้ ตรวจสุราอยู่เป็นระยะ เพื่อจะได้ไม่ให้ละอองดอกไม้ของพฤกษานานาพันธุ์ในระแวกสวนโดนลมพัดปลิวมา หรือทำให้ไทฮองไทเฮาได้เสวยสุราที่ไม่ควรจะดื่ม
บรรดาทายาทชนชั้นสูงและบุตรธิดาของขุนนางใหญ่นั่งคนละฝั่งภายใต้การแนะนำของขันทีและนางกำนัล โดยมีพรมสีแดงเข้มกั้นไว้
หลังจากงานเลี้ยงพิธีการเสร็จสิ้นลง เจี่ยไทเฮาก็เสด็จกลับตำหนักฉือหนิงงีบหลับอยู่พักใหญ่ มีอวิ๋นหว่านชิ่น เฝิงมอมอและจูซุ่นประคองมายังศาลาริมน้ำ
บรรดาขุนนางที่มาถึงงานก่อนต่างลุกขึ้น โค้งกายคำนับให้ไทฮองไทเฮา เอ่ยอย่างเคารพนบนอบว่า “ไทฮองไทเฮาไม่บ่นลำบาก หลังงานเลี้ยงยังต้องมาต้อนรับกระหม่อม ช่างเป็นพระมหากรุณาธคุณของพวกกระหม่อมยิ่ง”
เจี่ยไทเฮาเห็นว่างานเลี้ยงพิธีการเพียบพร้อม คนรับใช้อยู่ประจำตำแหน่งตัวเอง เป็นระเบียบแบบแผน คิดว่าอวิ๋นหว่านชิ่นดูแลจัดงานเลี้ยงครั้งแรกสามารถอำนวยความสะดวกได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์เหมาะสมเช่นนี้ได้ไม่แพ้คนชรา ก็พอพระทัยยิ่ง จึงได้ไว้หน้าอวิ๋นหว่านชิ่น ยิ้มตรัสว่า “ข้าชราแล้ว ร่างกายก็เฉื่อยชาไม่ได้เรื่องนานแล้ว วันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นหวงกุ้ยเฟยจัดเตรียมอย่างหนัก พวกเจ้าต้องขอบคุณหวงกุ้ยเฟยกระมัง”
ยามเจี่ยไทเฮาเสด็จมา ทุกคนถูกคนงามข้างกายนางดึงดูดสายตาเอาไว้แต่แรกแล้ว แต่เพราะกลัวว่าจะเสียกิริยา จึงได้ไม่กล้ามองมากนัก
———————————-
[1] อู๋โยว ไร้กังวล