ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 269.4 ร้องเพลงถวายอย่างขายหน้า (4)
ในขณะที่สัมผัสทางดนตรีกำลังสอดประสาน ถังอู๋โยวก็เริ่มเอื้อนร้องเพลงขึ้น
ตะวันแย้มสมุทรส่องฝ่ามือเซียน[1] ระฆังเวียนกู่ร้องจากไหวอ๋อง
ลมบูรพาพัดธงเพลิงพลิ้วคะนอง ฉาบปั้นเกราะสีทองหมู่ผกา
เกี้ยวกษัตริย์เข้าต้อนรับเทพโกวหมาง[2] ขนนกกางบนเกี้ยวขจัดเป่า
จ้าวเฟยเยี่ยน[3]ถือหางเสือร่ายรำทำนองเนา ลมหลิวโชยโบยเป่าดวงหน้างาม
หญ้าขจีปรีดาพฤกษาชื่น หลินอิง[4]บินเริงรื่นฉวัดเฉวียน
อาชาไนยวิ่งควบหมื่นวนเวียน ม่านหน้าต่างอาบเคียงแสงแห่งรัก
เสียงเพลงคลอคำร้องลอยอวลอยู่ในอากาศไม่จางหาย เทียบกับดนตรีในวังต้าเซวียนแล้ว แม้ว่าไม่ค่อยเหมาะกับธรรมเนียมดั้งเดิมของวังหลวงเท่าใดนัก มีท่วงทำนองแปลกแปร่งอยู่บ้าง แต่ก็แฝงกลิ่นอายประเพณีชาวบ้านไว้ไม่น้อย อีกทั้งกลอนบทนี้เหตุใดพอได้ฟังก็ทำเอาทึ่งเสียจริง คนธรรมดาไม่ได้เป็นผู้ประพันธ์แน่ๆ
พอการขับร้องจบลง เสียงพิณหยก ณ สวรรค์เก้าชั้นฟ้ายังคงลอยอวลกังวานอยู่ในอากาศ เนิ่นนานไม่จางหาย
ถังอู๋โยวผละออกจากพิณ คุกเข่าลง “ขายหน้าต่อไทฮองไทเฮาแล้วเพคะ”
“กลอนนี้ชื่ออะไรหรือ” เจี่ยไทเฮาฟังแล้วพอพระทัยยิ่ง
คำถามง่ายๆ แท้ๆ ถังอู๋โยวกลับหน้าแดง เนิ่นนานกว่าจะตอบเสียงเบาว่า “ฮั่นฮ่องเต้ต้อนรับวสันต์เพคะ”
เจี่ยไทเฮาชะงัก
ฮั่นฮ่องเต้ต้อนรับวสันต์อย่างนั้นรึ นี่มันเห็นได้ชัดว่ากำลังบอกเป็นนัยให้ฝ่าบาทรับนางเข้าวัง
แม่นางถังผู้นี้ กำลังเสนอตัวเอง
อันที่จริงวันนี้ให้ถังอู๋โยวร่วมงานเลี้ยงหาคู่นั้น เดิมทีเจี่ยไทเฮาอยากจะเลือกคู่หมั้นคู่หมายให้นางในงานเลี้ยง และจะได้รับมือกับอี๋ซื่ออ๋องได้ ทว่ายามนี้นางใช้กลอนอวยพรบทนี้มาแสดงความต้องการอย่างชัดเจน กลับยากขึ้นมาเสียแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอี๋ซื่ออ๋องกำลังมองมาจากด้านล่างอยู่ด้วย
เจี่ยไทเฮามองคนข้างกายแวบหนึ่ง เอ่ยประโยคเดียวสองความนัยว่า “หวงกุ้ยเฟยคิดว่าฮั่นฮ่องเต้ต้อนรับวสันต์บทนี้ของแม่นางอู๋โยวเป็นอย่างไร”
อวิ๋นหว่านชิ่นกระจ่างแจ้งทันที ไทฮองไทเฮากำลังหยั่งเชิงตนว่าจะรับถังอู๋โยวเข้าวังหลังหรือไม่ ทูลตอบน้ำเสียงอ่อนโยนนุ่มนวลว่า “กลอนบทนี้ของแม่นางอู๋โยวคล้องจองไหลรื่น ใช้คำสละสลวย เรียกได้ว่าตั้งใจแต่งยิ่ง”
ถังอู๋โยวหนังตากระตุก แต่ก็ยังรู้สถานการณ์ ตนคิดทุกวิถีทาง กึ่งช่วงชิงกึ่งเลียนแบบ นำเอากลอนของกวีจากวังหลวงหลายคนในสมัยหลังมารวมปรับเข้าด้วยกัน แต่งขึ้นเป็นของตัวเอง ดันไปเหมือนกับกลอนบทหนึ่งในสมัยหลังเข้าพอดี ชื่อกลอนว่าฮั่นฮ่องเต้ต้อนรับวสันต์ ทั้งยังมีความหมายแฝงมากมาย ไม่ให้ใช้บทนี้ แล้วจะให้ใช้บทไหนอีก นางได้รับความนิยมล้นหลามดังคาด
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น กลับได้ยินเสียงสตรีในศาลาริมน้ำเอ่ยต่อว่า “แต่น่าเสียดาย กลอนบทนี้ช่างผิดครรลองครองธรรมนัก สมควรได้รับโทษประหาร”
ก่อนหน้านี้เจี่ยไทเฮาไม่ได้ฟังอย่างละเอียด รู้สึกแค่ว่าคำสละสลวยน่าฟัง พอได้ยินคำพูดของอวิ๋นหว่านชิ่นแล้ว ก็รีบไตร่ตรองอย่างละเอียดอีกครั้ง จึงได้คำตอบของเหตุผลที่นางพูดเช่นนี้
“กลอนบทนี้บรรยายทิวทัศน์ของฤดูใบไม้ผลิ สิ่งใหม่ๆ เติบโตขึ้นมาแทนที่สิ่งเก่าๆ ถ้อยคำมีชีวิตชีวา อู๋โยวไม่ทราบว่าตัวเองทำผิดอันใด ขอหวงกุ้ยเฟยโปรดทรงชี้แจงด้วยเพคะ” ถังอู๋โยวสีหน้าหวาดกลัว หมอบลงกับพื้น น้ำตาไหลริน
“แม่นางอู๋โยวรู้หรือไม่ว่าไหวอ๋องเป็นผู้ใด” อวิ๋นหว่านชิ่นแววตาจับจ้องนางนิ่ง
ถังอู๋โยวโดนถามเสียแผ่นหลังชื้นเหงื่อ ในประวัติศาสตร์คนที่ถูกแต่งตั้งเป็นไหวอ๋องมีถมเถไป นางไหนเลยจะรู้ว่าเป็นใคร บุคคลในประวัติศาสตร์ นางก็รู้จักแค่พวกที่มีชื่อเสียงโด่งดังเท่านั้น คนผู้นี้ต้องไม่โด่งดังแน่! เสี่ยวเมาเสี่ยวโก่วอะไร ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยสักนิด
“ไม่รู้จักไหวอ๋อง มีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อไหวหนานจื่อ แม่นางอู๋โยวคงจะเคยได้ยินมาบ้างกระมัง ผู้ประพันธ์คือหลิวอัน เป็นหลานของพระเจ้าฮั่นเกาจู่ในราชวงศ์โบราณ เนื่องจากก่อกบฏ วางแผนยึดราชบัลลังก์ในระหว่างรัชสมัย สุดท้ายไม่ได้โดนฮั่นอู่ตี้จับกุม แต่ฆ่าตัวตายในราชสำนัก ชนรุ่นหลังจึงเรียกเขาว่าไหวอ๋อง”
ถังอู๋โยวตกตะลึง
“เช่นเดียวกันกับจ้าวเฟยเยี่ยน ฮองเฮาแห่งราชวงศ์ฮั่น ได้รับความโปรดปรานแต่เพียงผู้เดียว เข่นฆ่าทำร้ายองค์ชาย รวบรวมบุรุษเข้าวัง ล่วงประเวณีต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ เป็นคนที่ทำผิดครรลองครองธรรมของสองราชสำนักและวังหลัง หากคนอื่นแต่งขึ้น แม่นางอู๋โยวไม่รู้ นำมาใช้ ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ก็ช่างมันไป แต่ยามนี้แม่นางอู๋โยวกลับเป็นคนแต่งขึ้นเอง ในเมื่อเจ้าแต่งขึ้นเอง เช่นนั้นก็ต้องรู้เบื้องหลังของบุคคลสองคนนี้ เจ้าทำเช่นนี้ มันกำเริบเสิบสานเกินไปหรือไม่” อวิ๋นหว่านชิ่นพูดเสียจนสตรีด้านล่างเย็นยะเยือกไปทั่วร่าง
แม้ว่ากลอนบทนี้ถังอู๋โยวจะเอามาจากนักกวีในรัชสมัยหลังจากต้าเซวียน แต่ไหวอ๋องและจ้าวเฟยเยี่ยนในกลอนกลับเป็นบุคคลมีชื่อเสียงในรัชสมัยก่อนต้าเซวียนจริงๆ
“อู๋โยวมะ…ไม่ได้คิดมากมายถึงเพียงนั้นนะเพคะ…” ดวงหน้างามของถังอู๋โยวถอดสี
“แม่นางอู๋โยวไม่ได้คิดมากเพียงนี้จริงๆ หรือ ในกลอนใส่กบฏสองคนนี้มา ไม่พูดถึงการทำลายความสิริมงคลของงานเลี้ยงไป กลัวก็แต่ว่าจะมีความนัยเสียดสีแฝงไว้น่ะสิ” อวิ๋นหว่านชิ่นน้ำเสียงเปลี่ยนแปร
พอประโยคนี้จบลง ทุกคน ณ ที่นั้นก็เข้าใจในความหมายของหวงกุ้ยเฟยทันที
ยามนี้ฝ่าบาทก็มาขึ้นครองราชย์ในระหว่างรัชสมัยแทนหลงชังฮ่องเต้เช่นกัน นี่ไม่ได้จะแฝงความนัยเสียดสีฝ่าบาทว่าเหมือนไหวอ๋องที่เป็นกบฏหรือไร
ยามนี้หวงกุ้ยเฟยได้รับความโปรดปรานอยู่ผู้เดียว อีกทั้งเรื่องของแม่นางหันและธิดาแห่งตำหนักเซียนจวีก็เคยเป็นคำนินทาว่าร้ายว่าหวงกุ้ยเฟยเป็นคนทำ นี่มันกำลังแฝงความนัยเสียดสีหวงกุ้ยเฟยว่าเหมือนจ้าวเฟยเยี่ยนด้วยมิใช่หรือไร ไม่เพียงแต่ได้รับความโปรดปรานอยู่เพียงผู้เดียว ยังวางยาพิษองค์ชายในน้ำชาด้วย
เจี่ยไทเฮาขมวดคิ้วมุ่น สีพระพักตร์เย็นชาขึ้นมาไม่น้อย
ทุกคนต่างไม่กล้าส่งเสียง
อี๋ซื่ออ๋องรู้ก่อนหน้านี้แล้วว่าถังอู๋โยวแต่งกลอนบทนี้ถวายพระพรไทฮองไทเฮา แต่ไม่นึกเลยว่าในกลอนของนางจะมีสองคนนี้อยู่ด้วย ในเมื่อไม่เข้าใจประวัติศาสตร์ แล้วเหตุใดจะต้องเอาบุคคลในประวัติศาสตร์พวกนั้นใส่เข้าไปด้วยเล่า รู้จักครึ่งๆ กลางๆ นี่มันให้คนอื่นเขาจับช่องโหว่ได้เลยมิใช่หรือ!
ทว่า หากกลอนบทนี้ไม่มีคนจงใจดึงออกมาวิจารณ์ ก็ไม่เป็นอะไรหรอก เช่นนี้จำต้องบอกว่าหวงกุ้ยเฟยพูดจาแฝงความนัยจริงๆ เสียแล้ว
อี๋ซื่ออ๋องดวงตาเข้มขึ้นทันใด มองทอดไปแวบหนึ่ง
ถังอู๋โยวเห็นสายตาอี๋ซื่ออ๋องก็กระจ่างแจ้ง เพื่อหลบคราเคราะห์ตรงหน้าครานี้ จำต้องกล้ำกลืนความเจ็บแค้นเอาไว้ “กลอนบทนี้อู๋โยวมิได้แต่งเพคะ อู๋โยวให้ชาวบ้านที่มีฝีมือไร้ชื่อเสียงช่วยแต่งให้เพคะ”
แขกเหรื่อต่างฮือฮาอื้ออึงกันขึ้น ที่แท้ก็ให้คนแต่งให้ มิน่าเล่า ก็ว่าอยู่ว่าแม่นางอู๋โยวผู้นี้เยาว์วัยอยู่แท้ๆ จะแต่งกลอนที่มีค่าเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร
“นึกไม่ถึงว่าจะหลอกลวง”
“แล้วทำนองเพลงนี่คงจะมิใช่ให้คนช่วยแต่งด้วยหรอกกระมัง ทำนองแปลกแปร่ง ไม่เหมือนดนตรีของต้าเซวียนเลยนี่นา”
“นางผู้นี้ ยังมีอันใดเป็นของจริงอีก”
ชูซย่าเบิกบานใจยิ่ง นางโน้มตัวกระซิบว่า “บอกแล้วว่านางเดิมทีก็เป็นของปลอม วันนี้ในที่สุดก็ได้เปิดโปงนางแล้ว”
ถังอู๋โยวสีหน้าม่วงคล้ำดั่งมะเขือ ท่ามกลางเสียงกระซิบเหน็บแนมและคาดเดาไปต่างๆ นานา พอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง กระทั่งไทฮองไทเฮาที่เมื่อครู่ชื่นชมตน สีพระพักตร์ยังมีความดูถูกเหยียดหยามและไม่พอพระทัยเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย
ไทฮองไทเฮาถูกนางทำหมดอารมณ์ แม้จะไม่พอพระทัย แต่เห็นนางยอมรับว่าให้คนอื่นช่วยแต่ง ก็แสดงว่าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด ทั้งยังเห็นแก่หน้าอี๋ซื่ออ๋อง จึงตรัสว่า “เอาล่ะ ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด มอบของขวัญให้แก่ข้า ก็แสดงว่าเจ้ายังคงมีความตั้งใจดี เรื่องนี้ก็แล้วไปเถิด กลับไปนั่งในงานเลี้ยงเสีย”
ถังอู๋โยวถอยไปในงานเลี้ยงด้านข้าง สีหน้าดูไม่ได้ยิ่งกว่าตายเสียอีก เดิมทีคิดอยากจะได้ใบเบิกทาง คิดไม่ถึงเลยว่ากลับทำให้คนหัวเราะเยาะ ทั้งยังเกือบโดนไทฮองไทเฮาลงโทษ ทว่าก็จำต้องกล้ำกลืนโทสะลงไป ระงับความไม่พอใจไว้ ดื่มสุราเงียบๆ
งานเลี้ยงกลับสู่บรรยากาศก่อนหน้าอีกครั้ง อี๋ซื่ออ๋องชูจอกสุราขึ้น อมยิ้มคารวะไทฮองไทเฮาหนึ่งจอก เรอออกมา สีหน้าแดงเห่อด้วยความเมามาย ร่างสูงโปร่งโอนเอนไปมา คล้ายเมาเล็กน้อย สายตาตกบนร่างอวิ๋นหว่านชิ่นอีกครั้ง “จ้าวฮองเฮาในกลอนของอู๋โยวเมื่อครู่ กลับเหมือนหวงกุ้ยเฟยอยู่นิดๆ เพราะเป็นคนงามล่มเมืองเช่นเดียวกัน”
เจี่ยไทเฮาเห็นเขาพูดเพ้อเจ้อก็ขมวดคิ้ว “อี๋ซื่ออ๋องเมาแล้ว”
———————————–
[1] ฝ่ามือเซียน กระบองเพชร
[2] โกวหมาง เทพวสันตฤดู
[3] จ้าวเฟยเยี่ยน ฮองเฮาแห่งราชวงศ์ฮั่น รูปร่างงดงามอรชร มักเอามาเปรียบกับหยางกุ้ยเฟยในแง่ที่ว่า จ้าวเฟยเยี่ยนรูปร่างอ้อนแอ้น หยางกุ้ยเฟยอวบอิ่มสมบูรณ์
[4] หลินอิง นกชนิดหนึ่ง ตัวสีเหลือง ปีกสีเทา