ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 270.1 การระบำเอวอ่อน คู่รักในวังหลัง (1)
อี๋ซื่ออ๋องยื่นแขนออกขวางการพยุงของขันที “กระหม่อมไม่ได้เมาพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็แค่ชื่นชมฝ่าบาทที่โชคดี ปลื้มใจที่วังหลังของต้าเซวียนมีผู้เป็นนายเช่นนี้ แค่นี้ก็ไม่ได้หรือ ไทฮองไทเฮา”
เจี่ยไทเฮาหมดคำดีๆ จะพูด
อี๋ซื่ออ๋องปลายจมูกแดงก่ำ ยิ้มเอ่ยว่า “จะว่าไปแล้ว การร่ายรำและเล่นดนตรีต้องครบครันทั้งคู่ จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้ อู๋โยวได้ถวายการขับร้องให้ไทฮองไทเฮาไปแล้ว เหตุใดไม่ให้หวงกุ้ยเฟยถวายการร่ายรำให้ไทฮองไทเฮาเหมือนจ้าวฮองเฮาเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
“อี๋ซื่ออ๋องยังจะบอกว่าไม่ได้เมาอีกรึ เหตุใดจะให้หวงกุ้ยเฟยรำได้เล่า” เจี่ยไทเฮาสีหน้าไม่สบอารมณ์แล้ว
เฉินจื่อหลิงเดือดดาลเพิ่มขึ้นกว่าเดิม หน้าไม่อายจริงๆ หมัดหนึ่งกระแทกทุบลงบนโต๊ะไม่แรงไม่เบา
“ไทฮองไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ” อี๋ซื่ออ๋องแววตาเยือกเย็นสดใส คล้ายควักดวงใจออกมา น้ำเสียงจริงใจสัตย์ซื่อ “กระหม่อมได้ยินว่าเมื่อก่อนยามเสด็จปู่จัดการราชกิจบ้านเมือง บางครั้งก็จะเรียกซูเฟยเหนียงเหนียงมาร่ายรำ เพื่อใช้บรรเทาความเหนื่อยล้า บางครั้งด้านข้างยังมีขุนนางฝ่ายนอกร่วมประชุมอยู่ด้วย วันนี้ก็แค่งานเลี้ยงของราชนิกุลชนชั้นสูงและบรรดาคุณหนูเท่านั้น เหตุใดจึงไม่ได้หรือ”
ซูเฟยเป็นสมเด็จย่าแท้ๆ ของอี๋ซื่ออ๋อง เดิมทีเป็นนางในธรรมดา เนื่องเพราะร่ายรำยอดเยี่ยม ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้พระองค์ก่อน ได้รับความรักใคร่เอ็นดูมาตลอดรัชสมัย จึงโชคดีได้มีอี้หยางอ๋อง บิดาแท้ๆ ของอี๋ซื่ออ๋องเป็นทายาท
ซูเฟยนิสัยอ่อนโยน รู้ว่าฐานนันดรไม่สูง จึงใช้ชีวิตในวังหลังอย่างยากลำเค็ญ แต่ก็นับว่าฉลาดเฉลียว เอาเจี่ยไทเฮาที่ตอนนั้นยังเป็นฮองเฮาอยู่มาเป็นที่พึ่ง เชื่อฟังต่อคำตรัสของเจี่ยไทเฮาทั้งชีวิต รับฟังคำสั่งทำตามความประสงค์ตลอด จึงสามารถเลื่อนขั้นถึงตำแหน่งชายาได้ และเป็นเจี่ยไทเฮาที่เกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ให้
ต่อมา ซูเฟยล้มป่วยจากไปเร็ว ก่อนตายได้สั่งเสียอี้หยางอ๋องผู้เป็นโอรสว่า ต้องช่วยเหลือโอรสของฮองเฮาให้ดี…ในขณะนั้นหนิงซีฮ่องเต้ซย่าโหวรุ่ยเป็นไท่จื่ออยู่ อี้หยางอ๋องเป็นมือซ้ายขวาให้พระเชษฐาอย่างดี ดังนั้น สองแม่ลูกคู่นี้จึงมีความสัมพันธ์กับเจี่ยไทเฮาและโอรสอย่างแน่นแฟ้น
หม่าซื่อเหลือบมองสีหน้าไทฮองไทเฮาก็รู้ได้ เจี่ยไทเฮาเอ่ยเรื่องซูเฟยที่วายชนม์ไปเร็ว จนถึงตอนนี้ก็ยังคงทอดถอนใจอยู่ อายุอานามก็มากขึ้นเรื่อยๆ คนรอบกายยามเยาว์วัย ไม่ว่าจะเป็นศัตรู หรือว่ามิตร ล้วนจากไปกันหมดแล้ว หากซูเฟยที่ทั้งเชื่อฟังและโอนอ่อนตามยังอยู่ พูดคุยถึงเรื่องสมัยก่อนสองสามคำ ไทฮองไทเฮาก็คงไม่เงียบเหงา
ยามนี้ได้ยินคำพูดของอี๋ซื่ออ๋อง เจี่ยไทเฮาสีหน้าก็ผ่อนคลายลงมาอย่างช้าๆ เพิ่มความสะท้อนใจ
ชูซย่าเห็นอี๋ซื่ออ๋องพูดเสียจนเจี่ยไทเฮาสะทกสะท้อนใจ กระทั่งคำพูดคำจาก็ไม่มากความต่อแล้ว คิ้วงามขมวดมุ่น ซูเฟยนางนั้นเดิมทีเป็นลูกนางกำนัลด้านร่ายรำ ถูกเรียกเข้ามาร่ายรำหน้าตำหนักก็ไม่ใช่เรื่องแปลก จะเอามาเทียบกับเหนียงเหนียงของนางได้อย่างไร แต่ก็ไม่อาจเอาคำพูดนี้ไปเถียงได้ มิฉะนั้นจะเป็นการหยามหมิ่นซูเฟย ทำให้อี๋ซื่ออ๋องหาข้ออ้างมาได้อีก
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น สายตาอี๋ซื่ออ๋องตกลงบนร่างอวิ๋นหว่านชิ่นอย่างเอ้อระเหย อมยิ้มเอ่ยว่า “ตอนกระหม่อมร่วมทำศึกต่อสู้ศัตรูกับฝ่าบาทที่แดนเหนือ ได้ยินเรื่องราวของเหนียงเหนียงมาบ้าง คงจะต้องเป็นสตรีที่สง่างามแน่ วันนี้ได้เห็นพระพักตร์ งามเสียยิ่งกว่าข่าวลือเสียอีก ใช่หรือไม่”
บรรดาผู้ติดตามที่เข้าวังมากับอี๋ซื่ออ๋องด้วยขานรับตาม “นั่นสิขอรับ ตอนที่เราอยู่เมืองเจียงเป่ยก็ได้ยินเรื่องที่เหนียงเหนียงช่วยฝ่าบาทปราบปรามการจลาจลที่เยี่ยนหยาง วันนี้หากได้เห็นเหนียงเหนียงร่ายรำสักบทเพลง ก็คงตายอย่างคุ้มค่าแล้ว!”
กล่าวพลางกู่ร้องไปกับพวกทหาร พวกเขาล้วนเป็นทหาร เสียงกึกก้องกังวาน ยามนี้ยิ่งดังอึกทึกขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น บางคนหยิบตะเกียบงาช้างขึ้นมาเคาะจานชาม กู่ร้องเพิ่มบรรยากาศ “เชิญหวงกุ้ยเฟยร่ายรำถวายไทฮองไทเฮาสักบทเพลง พวกเราก็คงได้เป็นบุญตาแล้ว!”
คนกลุ่มนี้เดิมทีก็เคยชินกับทางเหนืออยู่แล้ว กระทั่งฝ่าบาทยังไม่บังคับพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีนี่ก็เป็นงานเลี้ยงเล็กๆ ที่บรรยากาศสบายๆ เจี่ยไทเฮาจึงเอ็ดอะไรไม่ได้ แต่ให้หวงกุ้ยเฟยร่ายรำนั้น จะเหมาะสมได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นไม่เคยเห็นชิ่นเอ๋อร์ร่ายรำมาก่อนเลย อาจเพราะรำไม่เป็นอยู่แล้วก็ได้
บรรดาคุณหนูตระกูลขุนนางในเยี่ยจิง พิถีพิถันเรื่องความฉลาดเฉียบแหลม ด้านอักษร แต่ไหนแต่ไรมาทำเพียงอ่านคัมภีร์สอนหญิงในห้องหับ นอกจากนี้ก็ร่ำเรียนหนึ่งหรือสองอย่างของพิณ หมากรุก หนังสือ วาดรูป การร่ายรำนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สง่างาม ต่อให้บรรดาคุณหนูชื่นชอบ โดยปกติแล้วพวกผู้ปกครองก็ไม่อนุญาตอยู่ดี
ต่อให้อี๋ซื่ออ๋องอยู่แต่แดนเหนือมาทั้งชีวิต แต่จะไม่รู้ได้อย่างไร คงจงใจอยากจะเอาคืนแทนลูกพี่ลูกน้องเขากระมัง เจี่ยไทเฮาครุ่นคิดพลางขมวดคิ้วมุ่นขึ้นกว่าเดิม
ระหว่างงานเลี้ยง ความอัปยศของถังอู๋โยวเพิ่งจะลบล้างไปได้เกือบหมดจด ความเห็นนี้ของอี๋ซื่ออ๋องที่เสนอขึ้นเล่นๆ หากอวิ๋นหว่านชิ่นปฏิเสธไปโดยตรง ก็จะเป็นการไม่เคารพไทฮองไทเฮา เช่นนั้นก็จำต้องยอมรับว่าตนร่ายรำไม่เป็น สูญเสียความสง่าต่อหน้าธารกำนัลมากมาย ความอัปยศที่นางได้รับวันนี้ก็สามารถบรรเทาให้น้องสาวเขาได้แล้ว
อี๋ซื่ออ๋องเห็นหวงกุ้ยเฟยนิ่งเฉย ก็สมใจนัก เขายกมือขึ้น สั่งการให้ผู้ติดตามเงียบเสียงลง สรุปหัวข้อสนทนานี้ว่า “กระหม่อมคิดว่าสตรีที่ขนาดเมืองที่เกิดจลาจลยังกล้าบุกเข้าไป จะใจกว้างผ่าเผย มีน้ำใจกว่าผู้คนแน่ ดังนั้นจึงได้บังอาจเสนอความคิดนี้ขึ้น หากรู้สึกว่ากระหม่อมหยามเกียรติเหนียงเหนียงไป ก็ขอเหนียงเหนียงลงโทษด้วย เรื่องนี้ก็ช่างมันเถิด กระหม่อมจะไม่เอ่ยขึ้นอีก”
เอ่ยเป็นนัยให้หวงกุ้ยเฟยนางนี้ได้รู้ว่า ไม่ได้มีแต่นางที่สามารถกดคนอื่นให้ต่ำได้
ทว่าได้ยินเสียงสตรีภายในศาลาริมน้ำดังขึ้นอย่างฉะฉาน “ในเมื่อเป็นงานเลี้ยงเฉลิมพระชนม์ของไทฮองไทเฮา หม่อมฉันร่ายรำสักบทเพลงจะนับว่าเป็นเรื่องใหญ่อันใด”
ทุกคน ณ ที่นั้นต่างนิ่งอึ้ง คิดไม่ถึงว่าหวงกุ้ยเฟยจะยอมตกลง กระทั่งอี๋ซื่ออ๋องยังคาดไม่ถึง เขาขมวดคิ้ว แต่ไม่เอ่ยอะไร
“หวงกุ้ยเฟย…” ไทฮองไทเฮาตรัสขึ้น อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มบาง “ไทฮองไทเฮาวางใจเถิดเพคะ”
เจี่ยไทเฮาเห็นท่าทีนางไม่ยี่หระ ไม่เหมือนกับมือใหม่ ก็วางพระทัยลง แต่ยังคงมองอี๋ซื่ออ๋อง สุรเสียงแอบแฝงความไม่พอพระทัยเอาไว้ “อี๋ซื่ออ๋องก็แค่ล้อเล่นในงานเลียงเท่านั้น ดื่มสุรามากไปหน่อย หากหวงกุ้ยเฟยไม่ยินดีก็ปฏิเสธได้”
“วันคล้ายวันประสูติหนึ่งปีมีครั้งเดียว เพื่อเพิ่มความสนุกและแสดงความกตัญญูต่อไทฮองไทเฮา เป็นหน้าที่ของหม่อมฉัน จะปฏิเสธได้อย่างไร” อวิ๋นหว่านชิ่นแย้มยิ้มหวาน ราวกับแสงประกายกำจายในทะเลสาบ เสียงเหมือนสายลมบนผิวน้ำ ไม่ช้าไม่เร็ว
เจี่ยไทเฮาได้ยินก็สบายพระทัย พยักหน้าตรัสว่า “พูดได้ดี”
อี๋ซื่ออ๋องหยุดเว้นไปแล้วยิ้มเอ่ยว่า “หวงกุ้ยเฟยพระทัยกว้าง ทำกระหม่อมอิ่มใจนัก”
คนอื่นๆ เห็นอี๋ซื่ออ๋องเอ่ยปากขึ้นแล้วก็ประจบตามกันขึ้นมา
เจี่ยไทเฮาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตรัสว่า “รำเพลงง่ายๆ ก็พอ” ที่ง่ายๆ และไม่รำผิดได้ง่าย ขอแค่ถูกต้องตามหลักตามเกณฑ์ เหมาะสมก็พอ
อวิ๋นหว่านชิ่นรับคำ หันหลังไปกวาดตามองถังอู๋โยวที่นั่งอยู่ในงานแวบหนึ่ง ลงบันไดมากับชูซย่าและนางกำนัลจำนวนหนึ่ง
แววตาแจ่มใส ถังอู๋โยวถูกมองจนสีหน้าเคร่งขรึม ตนทำผลงานได้ยอดเยี่ยมไปก่อนหน้านี้แล้ว นางจะยังสามารถทำอะไรได้ เว้นเสียแต่จะเป็นการร่ายรำแบบฉบับมาตรฐานของวังหลวงพวกนั้น
“น่าสนุกจริงๆ” ฝั่งตรงข้าม อี๋ซื่ออ๋องกลับได้สติ มุมปากแฝงไว้ด้วยความสนุกเพิ่มขึ้นมา บอกแล้วว่าหวงกุ้ยเฟยนางนี้ไม่ใช่คนที่จะไล่ไปได้ง่ายๆ จริงๆ ในขณะที่กำลังคิดนั้น ดวงตาเบิกโตที่ทำให้ขนหัวลุกคู่หนึ่งก็กวาดมา อี๋ซื่ออ๋องเห็นเข้า เป็นเด็กสาวคนนั้นอีกแล้ว ช่างเหมือนผีที่คอยหลอกหลอนเสียจริง แต่เขาทำเพียงยกจอกสุราขึ้น จงใจส่ายจอกให้ฝั่งตรงข้ามไปมา หางตายกขึ้นเล็กน้อย แฝงไว้ด้วยความท้าทาย
ประมาณครึ่งเค่อ[1]ต่อมา ฝีเท้าก็เดินเข้างานมา ใกล้เข้ามา ทุกคนต่างหันไปมอง
————————
[1] เค่อ หน่วยเวลาของจีน 15 นาที