ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 270.2 การระบำเอวอ่อน คู่รักในวังหลัง (2)
อวิ๋นหว่านชิ่นเปลี่ยนใส่ชุดทางการที่สลับซับซ้อน ท่าทางเปลี่ยนไปมาก ทั่วทั้งร่างสวมชุดกระโปรงรำเสื้อด้านหน้าแยกชิ้นสองฝั่งเนื้อผ้าไหมสีมรกต เอวรัดเข็มขัดสีเขียวกลีบบัวขนาดเล็กกว่ากระโปรงรำหนึ่งขนาด กระโปรงตัวใหญ่ ใต้กระโปรงเป็นกางเกงทรงพองโปร่งรัดกับข้อเท้าไว้แน่น ขับให้ทั่วทั้งร่างประณีตงดงาม อกผายเอวคอด แขนเสื้อเป็นผ้าสีขาวต่อยาวออกมาสองชั้นยาวระพื้นพรม เดินไปกลางงานเลี้ยงทีละก้าว ค้อมกายเอ่ยว่า “ขอไทฮองไทเฮาโชคดีหมื่นปี มีวันคืนที่เปี่ยมสุขเช่นนี้ทุกปี ทุกคราที่ครบรอบชันษาให้มีความสุขดั่งวันนี้ตลอดไป”
หากเมื่อครู่หวงกุ้ยเฟยท่าทางสูงส่ง เคร่งขรึมไม่อาจล่วงเกินได้ การแต่งกายยามนี้ก็เหมือนสาวงามเก็บบัวแห่งเจียงหนานที่น่ารักน่าเอ็นดู
เจี่ยไทเฮามองเสียจนเบิกบานพระทัย ตรัสด้วยความยินดีว่า “จะรำอันใดรึ”
ชูซย่าส่งสายตาไปให้ กองสังคีตที่มีทั้งกลอง เซิง[1] พิณในสวนดอกหลีทางด้านหลังก็บรรเลงขึ้นดั่งไข่มุกหลุดจากสาย ยิ้มตอบไปว่า “ทูลไทฮองไทเฮา การร่ายรำชื่อระบำเอวอ่อนเพคะ”
ชื่อการร่ายรำเอ่ยออกไป คนในงานไม่น้อยต่างตกใจ คุณหนูในตระกูลขุนนางที่เมืองหลวงต่อให้ร่ายรำเป็น แต่ก็เรียนพวกรำมาตรฐานวังหลวงที่สง่างาม ท่ารำสง่าเชื่องช้า ถูกหลักถูกเกณฑ์ ค่อนข้างเหมาะสม
ระบำเอวอ่อนกลับเป็นการร่ายรำพื้นบ้านโดยสมบูรณ์ เนื่องจากเป็นการรำแบบอ่อนช้อยและกระฉับกระเฉงว่องไว แรกเริ่มนิยมในหมู่สตรีชาวบ้านทางใต้ ต่อมาเผยแพร่ไปที่อื่นๆ ด้วย และนิยมในหมู่สตรีชาวบ้านธรรมดา
หวงกุ้ยเฟยนางนี้เดิมทีเป็นคุณหนูในตระกูลรองเจ้ากรม แล้วไปร่ำเรียนมาจากที่ใดกัน
ทว่าไม่ทันจะได้ครุ่นคิดมาก คนงามก็เริ่มร่ายรำดึงดูดสายตาอยู่บนพรมแล้ว
หลังจากท่ารำเปิดเชื่องช้าชดช้อยจบลง จังหวะร่ายรำก็ค่อยๆ ไปในทางที่ดี จากช้ากลายเป็นเร็ว แขนเสื้อยาวพลิ้วทั้งสองข้างพลันสะบัดไปเบื้องหน้า โบยบินโบกพลิ้วอยู่กลางอากาศราวกับหิมะโปรยปราย รองเท้ารำกลับจิกอยู่บนพรมแดงไม่ขยับไหว องเอวบิดหมุนจากช้าค่อยๆ เร็วขึ้น คล้ายมังกรแหวกว่าย เครื่องประดับบนเอวส่ายไหวเกิดเสียงใสตามการร่ายรำ งดงามยอดเยี่ยมดั่งนกขมิ้นออกจากหุบเขา ลมหอมกรุ่นม้วนตลบอย่างรวดเร็ว
ส่วนหมุนตัวในระบำเอวอ่อนเป็นส่วนที่งดงามที่สุด ทุกคน ณ ที่นั้นต่างชมกันจนแทบลืมหายใจ เงียบงันใจลอย
พร้อมกับกลองที่หยุดลง เสียงดนตรีก็ช้าลงเล็กน้อย ฝีเท้าอวิ๋นหว่านชิ่นก็ช้าลงตาม นางเก็บแขนเสื้อยาวพลิ้วกลับมา โบกแขนเสื้อสีมรกตเบาๆ ราวกลับดอกบัวที่อาลัยอาวรณ์ระรื่นน้ำ พอหยุดมั่นแล้ว มวยผมคลายลง เกิดเป็นความสวยงามนุ่มนวลอย่างเห็นได้ชัด ทว่าดวงตางามคู่นั้นเต้นระริกเป็นประกายจับใจคน คอระหงเชิดขึ้น แขนสองข้างชูขึ้นราวกับปีกนกกระเต็น วาดไปทางด้านหลังเพื่อจบท่ารำสุดท้าย การร่ายรำนี้ จึงนับได้ว่าจบลงแล้ว
แม้การร่ายรำจะจบลง แต่สายลมหอมกรุ่นที่ร่ายรำเมื่อครู่นี้คล้ายยังคงลอยอวลอยู่ในสวนหลวง
อวิ๋นหว่านชิ่นยืนให้มั่น แผ่นหลังมีเหงื่อร้อนผุดซึม บอกให้รำก็รำ กระทั่งเตรียมตัวหรืออุ่นเครื่องล่วงหน้ายังไม่มี ยามนี้ขาจึงอ่อนเล็กน้อย จำต้องจับชูซย่าที่เดินมาหาเพื่อพยุงตัวให้มั่นคง เอ่ยเสียงเบาว่า “ชูซย่า เป็นอย่างไรบ้าง ไม่ได้ทำคนหัวเราะเอาหรอกกระมัง”
เป็นครั้งแรกที่ชูซย่าเห็นเหนียงเหนียงร่ายรำสมบูรณ์ เมื่อครู่ก็ดูจนลุ่มหลง ยามนี้จึงเอ่ยด้วยความปรีดาและแปลกใจว่า “เหนียงเหนียงรำสวยยิ่งเจ้าค่ะ วางใจเถิด แม้ท่าเดียวก็ไม่ผิดสักท่า ทุกคนต่างมองกันตาไม่กะพริบ คิดไม่ถึงว่าระบำเอวอ่อนที่แม่นางหงเยียนเคยสอน วันนี้จะได้เอามาใช้”
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อก่อนมักจะไปร้านเซียงหยิงซิ่ว ย่อมไม่ได้แค่ตรวจบัญชีดูบัญชีอย่างเดียว หงเยียนเคยอยู่ที่เรือสำราญว่านชุนมาก่อน ลำบากยากเข็ญมาหลายปี การร่ายรำที่รำเป็นไม่ได้มีแค่เก้าอย่างสิบอย่าง เห็นหงเยียนถนัดร่ายรำ อวิ๋นหว่านชิ่นก็นึกสนุก ให้นางสอนตนสักสองอย่าง หนึ่งในนั้นคือระบำเอวอ่อนของทางใต้ ต่อมามีบัวลอยน้อยแล้ว เพื่อฟื้นฟูแผลผ่าคลอดและลมปราณในร่างกายได้รวดเร็ว หลังคลอดนอกจากเดินเล่นที่หอเหยาไถแล้ว ก็มักจะฝึกรำสองอย่างนี้ เอามันเป็นการออกกำลังกาย ดังนั้นจึงจดจำท่ารำได้แม่นยำมาก
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังกระซิบกระซาบกันเบาๆ นั้นเอง จู่ๆ ภายในงานเลี้ยงก็ไม่มีใครเอ่ยปากขึ้นมา สามารถชมการร่ายรำที่มีมาตรฐานเช่นนี้ในวังหลวงได้ก็ยากยิ่งแล้ว อีกทั้งหวงกุ้ยเฟยยังเป็นคนรำเองอีก แต่ละคนต่างยังไม่หลุดจากความตกตะลึง
ทันใดนั้น เสียงปรบมือก็ดังขึ้นจากไกลๆ หนึ่งครั้ง สองครั้งอย่างเชื่องช้า พร้อมกับเสียง “ดี” คำหนึ่ง
ทุกคนในงานมองไปตามเสียง แต่ละคนรีบลุกขึ้นจากที่นั่งคุกเข่าลงคำนับ
เจี่ยไทเฮาเห็นฝ่าบาทเสด็จมาก็ลุกขึ้นเดินออกมาจากศาลาริมน้ำ
ซย่าโหวซื่อถิงสายตามองผ่านคนไปยังสตรีในอาภรณ์มรกตสดใสดั่งประทุม เดินมาหยุดอยู่ตรงกลาง หยุดปรบมือแล้วอมยิ้มให้ “เรากะมาสวนหลวงเพื่อดูว่างานเลี้ยงเล็กๆ ของไทฮองไทเฮาเป็นอย่างไรบ้าง แต่นึกว่าหลงเข้ามาในแดนเซียนเสียแล้ว”
ร่างอ้อนแอ้นในบรรดาฝูงชนที่คุกเข่าอยู่คนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมองบุรุษที่ไม่ได้พบกันนาน ขนตาสั่นระริก แววตากลับไม่ห่างไปไหน มองตามร่างเขาไป
ฉีไหวเอินส่งสัญญาณให้ทุกคนไม่ต้องมากพิธี ทุกคน ณ ที่นั้นจึงลุกขึ้น เห็นฝ่าบาทปรบมือชื่นชมแล้ว ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ปรบมือสุดแรงตามไปด้วย เอ่ยชมว่า “ระบำเอวอ่อนนี้สมคำล่ำลือจริงๆ น่าทึ่งยิ่ง!”
“สมกับที่ฝ่าบาททรงตรัสจริงๆ เรียกได้ว่าท่วงท่าราวกับเทพเซียน!”
เจี่ยไทเฮายิ้มตรัสว่า “ที่แท้ฝ่าบาทก็ยืนดูอยู่ด้านข้างตั้งนานแล้วนี่เอง เมื่อครู่รำเอวอ่อนที่หวงกุ้ยเฟยรำถวายพระพรข้า ฝ่าบาทเห็นเป็นเช่นใด”
ซย่าโหวซื่อถิงเข้าศาลาริมน้ำมา ถลกชุดคลุมนั่งลง ดวงตาอมยิ้ม “ที่เขาว่ากันว่า ไข่มุกประดับเกศาพลิ้วไหวตามการร่ายรำราวกับดวงดาวบนฟากฟ้ากำลังเคลื่อนไหว หมายถึงเจ้าใช่หรือไม่ กุ้ยเฟยของเรา”
คนผู้นี้ไม่เคยชมตนอย่างน้ำเน่าเช่นนี้มาก่อน ทั้งยังต่อหน้าธารกำนัลมากมายอีก อวิ๋นหว่านชิ่นจึงแสร้งค้อมกายคำนับ แสร้งเขินอายเหลือจะเปรียบ “ฝ่าบาทชมเกินไปแล้วเพคะ”
ถังอู๋โยวทนมองทั้งสองคนเกี้ยวพาราสีกันเช่นนี้ไม่ได้จริงๆ จึงก้มหน้าลงกำหมัดแน่น
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นหน้าแดงเรื่อ อาภรณ์มรกตยิ่งขับให้นางงดงามราวกับดอกบัวต้องลม รอยยิ้มที่มุมปากก็ยิ่งเบ่งบ่านขึ้น ดวงตาเบนไปเห็นสายตารุ่มร้อนของบรรดาบุรุษโดยรอบก็ไม่พอใจขึ้นมา คิ้วคมเลิกขึ้นเล็กน้อย เขาลุกขึ้นรับเสื้อกันลมที่เตรียมมาใช้ในศาลาริมน้ำมา เดินลงบันไดไปช้าๆ รอยยิ้มยิ่งเข้มขึ้น เอ่ยเสียงกังวานว่า “หวงกุ้ยเฟยกตัญญูรู้คุณ ทั้งยังยินดีร่วมสำราญใจไปกับบรรดาขุนนาง ในใจไม่ลืมทหารแนวหน้า ยินดีแบ่งเบาภาระกับเรา เป็นตัวอย่างที่ดีแก่คนทั้งปวง ประทานเงินประจำปีเพิ่มให้แก่ทุกคนในตำหนักฝูชิง มอบหมอนเรืองแสงราตรีสามคู่ให้คลังหลวง หยกหรูอี้สี่ด้าม หินปะการังทะเลใต้หนึ่งหีบ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ชูซย่าปรีดา คุกเข่าลงขอบคุณตามนายหญิงด้วย
“หวงกุ้ยเฟยควรค่าที่จะได้รับมัน” ซย่าโหวซื่อถิงเดินมาเบื้องหน้าอวิ๋นหว่านชิ่น พยุงนางขึ้นด้วยตัวเอง สองมือยกขึ้นคลุมเสื้อกันลมบนร่างนาง โอบคลุมไว้แน่น เช็ดเหงื่อบนหน้าผากนางอย่างอ่อนโยน “ชายารักแสดงความกตัญญูต่อไทฮองไทเฮา เสียสละแรงกายแรงใจเพื่อแผ่นดิน ลำบากเจ้าแล้ว”
ทุกคนต่างค้อมกายเอ่ยคำสรรเสริญว่า “หวงกุ้ยเฟยลำบากแล้ว” ต่างว่ากันว่าฝ่าบาททรงรักใคร่หวงกุ้ยเฟยผู้นี้ยิ่ง วันนี้ได้มาเห็น ทั้งสองเหมือนกับคู่สามีภรรยาแห่งวังหลัง
ซย่าโหวซื่อถิงอาศัยจังหวะที่เสียงดังกึกก้อง เอ่ยเสียงขรึมข้างหูนางว่า “แต่อย่านุ่งน้อยห่มน้อยเช่นนี้อีกเลย”
น้อยตรงไหนกัน ที่ควรปกปิดก็ปิดหมดแล้ว ห่มคลุมมิดชิดเสียยิ่งกว่าตอนหน้าร้อนหนักอีก นางก้มหน้าลงมอง ยู่ปาก ต่อให้ใส่ชุดผ้าฝ้ายตัวใหญ่มารำ เกรงว่าเขาก็คงบอกว่านุ่งน้อยห่มน้อยอยู่ดี
ท่ามกลางฝูงชนนั้น ถังอู๋โยวเห็นการกระทำเล็กๆ ของทั้งคู่อย่างชัดเจน หมัดกำแน่นขึ้นกว่าเดิม แม้จะรู้ว่านางได้รับความโปรดในวังหลัง แต่ไหนเลยจะรู้ว่าโดนโปรดปรานจนถึงขั้นนี้แล้ว นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะรักใคร่นางเพียงนี้ ทันใดนั้นกระดูกทั่วทั้งร่างก็คล้ายมีมดนับพันนับหมื่นตัวกัดแทะ
อี๋ซื่ออ๋องมองน้องสาวแวบหนึ่ง ยิ้มโพล่งขึ้นว่า “คิดว่าราชการยามเช้าของฝ่าบาทจะยุ่ง ไม่อาจเสด็จมาร่วมเปรมปรีดิ์กับกระหม่อมได้แล้วเสียอีก”
——————————
[1] เซิง เครื่องเป่าชนิดหนึ่ง ทำจากท่อกกยาวและสั้นจำนวนสิบเจ็ดท่อน