ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 271.1 น้ำกู่หลงอบผ้า คู่ครองที่ไม่เหมาะสม (1)
ซย่าโหวซื่อถิงมองอี๋ซื่ออ๋องนิ่ง “ต่อให้ยุ่งเพียงใด มีอาเจิ่นเข้าร่วมงานเลี้ยงหาคู่ด้วย เราก็มาได้”
อี๋ซื่ออ๋องชะงัก รอยยิ้มแข็งทื่อ “กระหม่อมไม่เข้าใจพ่ะย่ะค่ะ”
ซย่าโหวซื่อถิงหันหลังเดินกลับไปยังศาลาริมน้ำ นั่งลงหัวเราะเสียงกังวานว่า “เป็นอย่างไรเล่า มีคนที่ถูกตาต้องใจในงานเลี้ยงบ้างหรือไม่ เจ้าก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะรีบเสียหน่อย”
อี๋ซื่ออ๋องจึงได้เข้าใจในความหมายของเขา แอบพรูลมออกมาเบาๆ คิดว่าเขารู้ล่วงหน้าว่าตนท้าทายแม่นางอวิ๋น ตั้งใจจะมาคุมเสียอีก จึงยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ใช่ว่าทุกคนจะโชคดีเหมือนฝ่าบาทเช่นนี้เสียหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ ถ้ายังไม่เจอที่ถูกตาต้องใจ ก็ไม่อาจฝืนเลือกมาได้อยู่แล้ว” แล้วเหลือบมองคนด้านหลังแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “เทียบกับตัวเองแล้ว กระหม่อมกลับรีบร้อนต่อการแต่งงานของน้องสาวมากกว่า”
สุดท้ายก็ยังจะเอ่ยถึงน้องสาวขึ้นมาอยู่ดี ซย่าโหวซื่อถิงหัวเราะเบาๆ “จะไปยากอะไร วันนี้ในงานเลี้ยงมีคุณชายรูปงามมากมาย น้องสาวเจ้าถูกตาต้องใจใคร ก็ทูลขอไทฮองไทเฮาพระราชทานสมรสให้เสีย” แล้วมองไปทางบรรดาคุณชายลูกหลานขุนนาง “น้องสาวอี๋ซื่ออ๋องอยู่ในช่วงวัยที่กำลังรุ่งโรจน์ หากพวกเจ้าถูกใจ ก็อย่าได้สงบเสงี่ยมเจียมตัว หากเกรงใจ เราจะเลือกให้แต่ละคนเอง”
คุณชายบางคนที่สนใจจะเป็นน้องเขยของอี๋ซื่ออ๋องเมื่อครู่ ต่อมาเห็นถังอู๋โยวใช้กลอนเพลงมาแสดงความปรารถนาจะเข้าวังหลังของฮ่องเต้ จึงหมดความสนใจไป ดูท่าแล้วอี๋ซื่ออ๋องจะตัดสินใจถวายตัวน้องสาวให้ฝ่าบาทแน่ ดังนั้นแต่ละคนจึงประสานมือทูลว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมไม่อาจเอื้อมพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท คุณหนูถังคุณสมบัติดีเยี่ยม กระหม่อมคุณสมบัติธรรมดา ไม่เหมาะพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ตระกูลกระหม่อมต่ำต้อย…กระหม่อมยังมีโรคใต้ร่มผ้าด้วย” มีคนหนึ่งกลัวว่าเกิดตัวเองโดนฝ่าบาทเลือกเข้า จะล่วงเกินอี๋ซื่ออ๋อง จึงรีบทูลบอกอย่างเร็วรี่
เสียงปฏิเสธอ้อมๆ แต่ละถ้อยแต่ละคำดังขึ้นอย่างหนักแน่น ถังอู๋โยวฟังจนหน้าแดงเห่อ ไม่ต้องการอย่างนั้นรึ ใครจะอยากแต่งให้พวกเจ้ากัน นับว่าพวกเจ้าอ่านสถานการณ์ออก รู้จักหลบเลี่ยง ใครกล้าไปขอข้ากับฝ่าบาทและไทฮองไทเฮา ข้าจะให้มันไม่ได้ตายดี
ชูซย่าเห็นฝ่าบาทตรัสประโยคนี้ออกไป ทำให้ถังอู๋โยวได้รับความอับอายขายหน้าอีกครั้ง โดยบรรดาคุณชายในตระกูลดัง ณ ที่นั้นปฏิเสธกันทั่ว ก็แอบหัวเราะจนปวดท้องไปหมด
อี๋ซื่ออ๋องเห็นทุกคนปฏิเสธ ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เอ่ยไปทันทีว่า “เหตุใดฝ่าบาทไม่ทรงถามความเห็นน้องสาวกระหม่อมดูเล่า” แล้วส่งสายตาไปให้ถังอู๋โยว
ถังอู๋โยวยกชายกระโปรงขึ้น ก้มหน้าเดินไปใกล้ข้างกายฝ่าบาท คุกเข่าลง เอ่ยเสียงนุ่มว่า “ถวายบังคมฝ่าบาท”
ซย่าโหวซื่อถิงปล่อยให้นางคุกเข่าลงตรงหน้า “อี๋ซื่ออ๋องบอกว่าเจ้ามีความเห็น ความเห็นใดรึ”
ดวงใจของถังอู๋โยวแทบจะกระดอนออกมา ลำบากลำบนมามากมายเพียงนี้ เพื่อรอวันนี้มิใช่หรือไร ปลายจมูกมีกลิ่นอำพันทะเลจากชุดคลุมของเขาโชยมาจางๆ แทบจะข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่ เขาขึ้นครองราชย์แล้วจริงๆ เป็นกษัตริย์อยู่เหนือคนทั้งปวง เหมือนกับในประวัติศาสตร์ ใจนางผ่อนคลายลง วันคืนที่ดีของตนใกล้มาถึงแล้ว นางข่มความตื่นเต้นเอาไว้ หน้าแดงก่ำ เอ่ยเสียงเบาว่า “เมื่อครู่กลอนฮั่นฮ่องเต้ต้อนรับวสันต์ที่ร้องถวายไทฮองไทเฮาไป คือความเห็นของหม่อมฉันเพคะ”
“อ๋อ” คล้ายเขากำลังคิดบางอย่างอยู่ รอยยิ้มในดวงตาเป็นประกายวาบ “กลอนบทนั้นที่คุณหนูคัดลอกมาน่ะหรือ”
บรรยากาศพลันหยุดชะงัก ไม่รู้เหมือนกันว่าใครทนไม่ได้เป็นคนแรก ส่งเสียงหัวเราะออกมา คนอื่นๆ จึงเหมือนโดนติดต่อไปด้วย ปิดปากหัวเราะกันขึ้นมา
ดวงใจอันเตรียมพร้อมเต็มเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนของสตรีที่อยู่ตรงเบื้องพระบาทของฮ่องเต้ ราวกับฟองสบู่ที่สัมผัสโดนก็แตกโดยพลัน
หลังจากงานเลี้ยงจบลง เมืองหลวงก็มีข่าวลือแพร่กำจายไปทั่ว
อี๋ซื่ออ๋องเดิมทีหมายจะแนะนำน้องสาวของตนให้ฝ่าบาทในงานเลี้ยง วันนั้นฝ่าบาทก็เสด็จมาพอดี แม่นางถังเตรียมคำเสนอตัวไว้เสร็จสรรพ ไม่คิดเลยว่าคำพูดเย้าแหย่เพียงคำเดียวของฮ่องเต้ จะเรียกเสียงหัวเราะของคนทั้งงานขึ้น แม่นางถังคนนั้นเหมือนโดนฟ้าผ่า ไหนเลยจะยังกล้าพูดต่อ ฝ่าบาทใช้ข้ออ้างว่าราชกิจยังไม่เสร็จสิ้น พาหวงกุ้ยเฟยออกจากงานเลี้ยงไปอย่างเชื่องช้า
เวลาที่เหลือวันนั้น ทุกคนเห็นสีหน้าแม่นางถังดำทะมึนตลอดงาน หากไม่ใช่เพราะยังต้องอยู่ที่ตำหนักฉือหนิงต่อ เกรงว่าคงได้กลับจวนไปเสียเดี๋ยวนั้นแล้ว
ยามนี้เจตนาของฝ่าบาทชัดเจนยิ่ง วังหลังไม่ใช่ตลาดสด ที่อยากจะเอาไก่ เอาเป็ด เอาวัว เอาแกะยัดเข้าไปได้ตามอำเภอใจ
มาถึงจุดนี้ สตรีที่หนังหน้าบาง ต่อให้ฝ่าบาทกับไทฮองไทเฮาไม่พูด ก็น่าจะเอ่ยปากขอตัวออกจากวังกลับจวนขึ้นมาเองได้แล้ว พักอยู่ที่ตำหนักฉือหนิงก็เพื่อเอาอกเอาใจฝ่าบาท ในเมื่อฝ่าบาทฉีกหน้าเพียงนั้น ยังมีความจำเป็นใดต้องพักอยู่อีกหรือ
ทว่าแม่นางถังนั่น เหมือนกับรากงอกอย่างไรอย่างนั้น แม้ว่าจะไร้ชื่อไร้สถานะ ฐานันดรน่ากระอักกระอ่วน ก็ยังนิ่งเฉยฟ้าผ่าไม่ขยับ พักอยู่ในตำหนักฉือหนิงต่อ
บรรดาข้าหลวงในวังนินทาเยาะหยันลับหลัง กลับเลื่อมใสในความเหนียวเกาะหนึบของแม่นางถังผู้นี้ เอ่ยปากขอออกจากวังเอง นั่นเป็นการคว้าน้ำเหลว อยู่ต่ออย่างน้อยก็ยังพอจะมีหวังอยู่ หน้าด้านสักหน่อยจะเป็นไรไป
เจตนาของทางอี๋ซื่ออ๋องก็ชัดเจนยิ่ง อย่างไรเสียฝ่าบาทก็ไม่ได้ตรัสไล่น้องสาว เขาก็ไม่รับตัวน้องสาวกลับ แสดงเป็นนัยว่าน้องสาวใช้กลอนเปิดเผยความปรารถนาที่จะปรนนิบัติรับใช้ฝ่าบาทในงานเลี้ยงแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่มีตระกูลใดในเมืองหลวงกล้าสู่ขอ พูดตรงๆ ก็คือ ชั่วชีวิตนี้ของน้องสาวเป็นคนของราชวงศ์ ตายเป็นวิญญาณของราชวงศ์ หากฝ่าบาทยังเห็นแก่คุณูปการของอี๋ซื่ออ๋องอยู่ ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะให้ฐานันดรแก่น้องสาวสักหน่อย
ท่าทีของหลายฝ่ายล้วนชัดเจน แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจยืนกรานความคิดของตัวเอง ต้องรอดูว่าฝ่ายไหนจะยอมแพ้ก่อนกัน
ณ ตำหนักฝูชิง เวลาว่างยามบ่าย อวิ๋นหว่านชิ่นก็ยังคงเหมือนที่แล้วมา นางวางหลอดแก้วไว้ในหม้อน้ำเพื่ออบน้ำหอมอยู่ในลานตำหนัก พลางพูดคุยกับฉิงเสวี่ยและเจินจูที่อยู่ข้างกายไปด้วย
ชาวฮั่นก็มีน้ำหอมเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่เด็ดกลีบดอกไม้มาคั้นน้ำ จากนั้นผสมเป็นน้ำที่กลั่นจากดอกไม้ กลิ่นหอมอยู่ได้ไม่นาน เพื่อเก็บรักษาไว้ได้นาน จึงใส่น้ำมันอัลมอนด์และของอื่นๆ เพิ่มเข้าไป กลิ่นหอมก็จะเข้มข้นขึ้นมา
เมื่อก่อนเปิดดูตำราน้ำหอมโบราณ นางลองใช้กรรมวิธีต้มกลั่นเผาสุราของเปอร์เซีย ทำตามวิธีอยู่หลายครั้ง น้ำหอมที่ได้คงทนกว่าน้ำกลั่นจากดอกไม้ตามแบบดั้งเดิมจริงๆ กลิ่นหอมก็เบาๆ ไม่ฉุน ยามนี้ฝึกในวังหลวงมามากมาย วิธีการอบน้ำหอมของนางจึงยิ่งชำนาญ เพราะฝีมือการแพทย์ก้าวหน้าเชี่ยวชาญกว่าแต่ก่อน บางครั้งก็ผสมน้ำสมุนไพรที่มีฤทธิ์รักษาสุขภาพเข้าไปด้วย
อาภรณ์ของชนชั้นสูงภายในวังจะใช้น้ำหอมมาอบรมควัน โดยปกติแล้วจะเป็นกลิ่นอำพันทะเล กลิ่นไม้กฤษณา กลิ่นซูเหอ[1] กลิ่นตู้เหิง[2]และอื่นๆ ส่วนใหญ่กลิ่นฉุนเข้มข้น วันนั้นนางทำตามใบยา ลดเครื่องหอมลงครึ่งหนึ่ง เพิ่มส้มและดอกส้มเข้าไป อบเป็นน้ำหอมกลิ่นสดชื่น ทำให้ความกลัดกลุ้มใจพลันจางหาย ความคิดนางโลดแล่น เคยใช้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่เข้มข้นต่ำเช่นนี้มาอบผ้าของท่านอ๋องที่ใช้สวมใส่เป็นประจำครั้งหนึ่ง เขาบอกว่าสดชื่นกว่ากลิ่นหอมก่อนๆ พวกนั้น เวลาทำงานอารมณ์ก็ดีขึ้น ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาก็กลายเป็นกลิ่นอบผ้าที่ใช้โดยเฉพาะ นางสั่งการให้คนในกองพระภูษามาตำหนักฝูชิงในทุกๆ เดือนโดยเฉพาะ เพื่อรับน้ำหอมอบผ้าจากหวงกุ้ยเฟย
อบน้ำหอมครั้งหนึ่ง สามารถใช้ได้ค่อนเดือน หลอดนี้ของวันนี้ก็ล้วนเป็นน้ำหอมอบผ้าของฝ่าบาททั้งหมด ฉิงเสวี่ยกับเจินจูคนหนึ่งพัดวี อีกคนดูฟืนไฟด้านล่างหม้อ
ชูซย่าที่กลับมาจากด้านนอก พอเข้าลานตำหนักมาก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่เล็ดลอดมาจากรูก้นหลอด นางยิ้มเดินเข้าไปหาเอ่ยว่า “เมื่อครู่เจอหม่ามอมอเข้า บอกว่าคราก่อนนายหญิงถวายน้ำค้างใบหม่อนให้ไทฮองไทเฮารสชาติดียิ่ง กลิ่นหวานแต่ไม่เอียน หลังจากเสวยไปจำนวนหนึ่งเพื่อรักษาบำบัดแล้ว สมองปลอดโปร่ง ดวงตาก็ไม่บวมง่ายเหมือนเมื่อก่อนอีก ดูเหมือนว่าจะได้ผล ให้นายหญิงหากมีเวลาว่าง ส่งถวายไปเพิ่มอีกเจ้าค่ะ”
เจี่ยไทเฮาบำรุงรักษาสุขภาพแต่ละอย่างเป็นอย่างดี ผิวพรรณ รูปร่างล้วนพอๆ กันกับสตรีออกเรือนเยาว์วัยเลยทีเดียว สุขภาพก็แข็งแรง แต่อายุมากขึ้นแล้ว เลี่ยงตาฝ้าฟางไปไม่พ้น โดยเฉพาะสองปีมานี้ สายตายิ่งแย่ขึ้นอย่างหนัก บางครั้งถึงขั้นเบื้องหน้าเลือนลางไปหมด ทั้งดวงตายังปวดและบวมได้ง่ายด้วย ดวงตาฝ้าฟางนั้นเป็นกฎของธรรมชาติ มนุษย์เมื่อถึงเวลาของมันก็จะหนีไปไม่พ้น และไม่มียาใดมารักษาได้
———————————–
[1] ซูเหอ ดอกไม้ชนิดหนึ่ง กลีบดอกสีขาว เกสรสีเหลือง
[2] ตู้เหิง พืชชนิดหนึ่ง ใบมีลักษณะเป็นรูปเกือกม้า สีเขียวเข้ม มีรากฝอย