ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 272.1 แต่งตั้งธิดาบุญธรรม (1)
“ไม่ต้องหรอก” เจี่ยไทเฮารีบโบกมือ “จะเตือนอันใดเล่า นิสัยของเด็กผู้หญิง ต้องมีสีสันหลากหลายเสียหน่อยจึงจะดูดี หากอ่อนโยนเชื่อฟังออกมาเป็นแม่พิมพ์เดียวกันไปเสียหมดจะมีความหมายอันใด ล่วงเกินอย่างนั้นรึ” นางหัวเราะออกมาอย่างแปลกประหลาด “ข้าว่าอี๋ซื่ออ๋องกลับไม่ได้โกรธ ซ้ำยังพอใจเด็กคนนั้นอีกด้วย”
นั่นไม่ได้เรียกว่าไม่โกรธ แต่อยู่ในรั้วในวังไม่สะดวกจะโกรธมากกว่า คุณหนูรองผู้นี้ ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำนัก เกิดไปทำอี๋ซื่ออ๋องโกรธขึ้นมาจริงๆ จะทำอย่างไร ชูซย่าไม่รู้หัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่ได้ยินไทฮองไทเฮาตรัสขึ้นว่า “อีกสองสามวันก็จะเป็นการแข่งขันขี่ม้าตีคลีของวังหลวงแล้ว คุณหนูรองเฉินเกิดในตระกูลทหาร ก่อนหน้าก็เคยร่วมล่าสัตว์ด้วย ฝีมือการขี่ม้าย่อมไม่เลวแน่ ถึงเวลานั้นเจ้าให้เหนียงเหนียงของเจ้าเรียกตัวคุณหนูรองเฉินเข้าวัง แล้วไปด้วยกันเถิด”
ขี่ม้าตีคลีเป็นความบันเทิงที่วังหลวงแห่งต้าเซวียนจัดขึ้นตลอดทั้งปี ในบรรดาทายาทตระกูลสูงศักดิ์เชี่ยวชาญขี่ม้าตีคลีมีอยู่มากมาย เหมือนเยี่ยนอ๋องก็เป็นหนึ่งในยอดฝีมือเช่นกัน
ฮ่องเต้ในประวัติศาสตร์เพื่อให้บรรดาองค์ชายองค์หญิงไม่ขี้เกียจสันหลังยาวรักแต่สบาย ไม่ลืมบรรพบุรุษที่สร้างบ้านสร้างเมืองบนหลังม้า จึงให้ความสำคัญต่อกีฬารายการนี้ของวังหลวงมาก ในวันนั้นจะไม่เกี่ยงว่าเป็นชายหรือหญิง ผู้มีความสามารถก็สามารถเข้าร่วมได้ เนิ่นนานเข้าก็กลายเป็นประเพณีสืบทอดกันมา ทุกๆ ปีจะเลือกช่วงเวลาที่อากาศดี จัดขึ้นที่อุทยานภายในวังหลวง วันนั้นผู้เล่นส่วนใหญ่จะเป็นองค์ชาย ท่านชายและบรรดาราชนิกุลชาย มีองค์หญิง ท่านหญิงหรือไม่ก็คุณหนูตระกูลขุนนางที่มีฝีมือขี่ม้าไม่เลวได้รับเชิญมาด้วยจำนวนหนึ่งเช่นกัน บรรดาชายาสนมในวังหลัง สตรีบรรดาศักดิ์นอกวังที่ได้รับเชิญ และคุณหนูตระกูลขุนนางจะชมอยู่บนอัฒจันทร์ที่นั่งชมด้านข้างเพื่อดูการแข่งขัน
ชูซย่านำพระประสงค์ของไทฮองไทเฮากลับมาที่ตำหนักฝูชิง
พอนางกลับไป หม่าซื่อก็ทนไม่ไหว เดินเข้าไปหาสองสามก้าว “ไทฮองไทเฮาอยากจะให้อี๋ซื่ออ๋องตกล่องปล่องชิ้นกับคุณหนูรองเฉินจริงๆ หรือเพคะ คงมิได้พูดเล่นหรอกกระมัง วันนั้นไทฮองไทเฮาก็ทรงเห็นท่าทางของทั้งคู่มากับตา ยืนอยู่ไกลๆ ยังได้กลิ่นดินปืนดินระเบิด อี๋ซื่ออ๋องสีหน้าทะมึนเสียจนดูไม่ได้แล้ว เวลาอยู่กับคุณหนูรองเฉิน ไหนเลยจะมีความรู้สึกเบิกบานใจของบุรุษที่มีต่อสตรีแม้เพียงครึ่ง หากมิใช่เพราะต้องรักษาหน้าตาในวังหลวงล่ะก็ เกรงว่าคงได้โยนคุณหนูรองเฉินออกไปเสียตรงนั้นแน่! ทั้งสองคนเข้าใกล้กันไม่ได้เลยสักนิดนะเพคะ หากอยู่ด้วยกันจริงๆ บ้านแตกยังพอทำเนา กลัวว่าจะทะเลาะกันจนตายกันไปข้างนี่สิเพคะ” นี่มิใช่คู่ครองที่ไม่เหมาะสมกันหรอกหรือ แต่นางไม่กล้าพูดออกไปเท่านั้นเอง
เจี่ยไทเฮากลับส่ายหน้า “ข้าเห็นความแข็งแกร่งของเด็กคนนั้น อี๋ซื่ออ๋องเป็นม้าป่าตัวหนึ่ง คุณหนูบอบบางในเมืองหลวงแต่ละคนนั้น มีกี่คนที่สามารถปราบเขาอยู่ หลายปีมานี้อี๋ซื่ออ๋องปฏิบัติต่อสนมเหล่านั้นที่แดนเหนืออย่างไร ข้าก็เคยได้ยินมาอยู่บ้าง สตรีที่เขาเบื่อแล้ว ไม่ส่งไปให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ก็ฆ่าคนที่ไม่โอนอ่อนตามใจทิ้งไป บุรุษเช่นนี้ สตรีธรรมดาทั่วไปจะเอาอยู่ได้อย่างไร เด็กสาวคนนี้แตกต่าง ใจกล้ายิ่ง นิสัยก็หัวแข็งร้ายกาจพอ ลูกวัวที่เกิดใหม่ไม่กลัวเสือ ไม่แน่ว่าจะเป็นคนที่อี๋ซื่ออ๋องแพ้ทางให้ก็ได้! ที่สำคัญก็คือ นางเป็นสหายคนสนิทของหวงกุ้ยเฟย อีกนัยหนึ่งคือ เป็นคนของฝั่งฝ่าบาท หากสามารถแต่งงานกับอี๋ซื่ออ๋องได้จริงๆ กำราบอี๋ซื่ออ๋องอยู่ ก็นับว่าเป็นโชคของแผ่นดินเรา”
ขุนนางที่มีคุณูปการในประวัติศาสตร์ล้วนเป็นดาบสองคม ยามนี้มีคุณแก่ฝ่าบาท ยากจะรับประกันได้ว่าภายหน้าจะไม่ใช้ประโยชน์จากคุณูปการมาบีบบังคับฝ่าบาท ยามนี้ก็เริ่มออกลายแล้วมิใช่หรือ นี่แค่เพียงไม่นานเท่าใดเอง ก็รู้จักถวายตัวน้องสาวมาให้เสียแล้ว ฝ่าบาทปฏิเสธเป็นนัยๆ ไปแล้ว เขากลับทำไม่รู้ไม่ชี้ ไม่รับแม่นางถังกลับไป นี่คิดจะใช้คุณูปการและอำนาจของตัวเองมาบีบบังคับฝ่าบาทให้จำต้องยอมรับมิใช่หรือไร
“หากคุณหนูรองเฉินกำราบไม่อยู่เล่าเพคะ” หม่าซื่อยิ้มขื่น
เจี่ยไทเฮายิ้ม “โบราณว่าไว้ ภรรยาดี สามีจะโชคร้ายน้อยลง ในทางกลับกัน หากในจวนภรรยาเจ้าเล่ห์หยาบคายเหี้ยมโหด โวยวายอยู่ได้ทั้งวี่ทั้งวัน เกรงว่าอี๋ซื่ออ๋องก็ต้องแบ่งความสนใจมาครึ่งหนึ่ง คงจะไม่ค่อยมีกระจิตกระใจไปรบกวนฝ่าบาทเท่าใดแล้ว”
หม่าซื่อนิ่งอึ้ง มุมปากกระตุก ไทฮองไทเฮาที่งดงามเพียบพร้อมมาโดยตลอด เหตุใดยามนี้จึงมีท่าทางของจิ้งจอกเฒ่าขึ้นมาแล้วเล่า
เช้าวันแข่งตีคลี ขันทีมาเชิญที่ตำหนักฝูชิง เอ่ยเสียงนอบน้อมโดยมีผ้าม่านกั้นอยู่ว่า “บรรดาคุณหนูแต่ละจวนนอกวังหลวงมาถึงอุทยานกันพอสมควรแล้ว และพวกองค์หญิงใหญ่ก็มาถึงแล้วเช่นกัน เหนียงเหนียงเสด็จไปได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ได้ยินเพียงเสียงเรียบนิ่งของสตรีดังมาจากภายในม่านไข่มุกอันเลือนรางว่า “ทางด้านตำหนักฉือหนิงเล่า”
ขันทีชะงักไปครู่หนึ่ง รู้ว่าคนหลังม่านอยากจะถามถึงใคร จึงทูลว่า “มีคนไปเชิญแล้ว อีกเดี๋ยวไทฮองไทเฮาก็จะพาหม่ามอมอและแม่นางถังที่ตำหนักด้านข้างไปชมการแข่งขันด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี กลับไปเถิด” เสียงของสตรีดังขึ้น ขันทีก็ค้อมกายจากไป
ภายในม่าน ดวงตาอวิ๋นหว่านชิ่นก็ขยับไหวมองชูซย่าที่อยู่ข้างกาย เห็นนางลูบของที่เตรียมไว้ในแขนเสื้อไม่หยุด สีหน้ายังซีดเผือดอีกด้วย ไม่เป็นธรรมชาติยิ่ง จึงยิ้มเอ่ยว่า “เตรียมของเสร็จหรือยัง เป็นอันใดไปรึ คงไม่ได้กลัวหรอกกระมัง” อย่างไรเสียสตรีส่วนใหญ่ต่างสะอิดสะเอียนของสิ่งนี้กันทั้งนั้น กระทั่งหวาดกลัวเลยด้วยซ้ำ ไม่ใช่ทุกคนจะเหมือนถังอู๋โยว
ภายในอุทยาน ในสนามแข่งแบ่งเป็นสองฝ่ายคือฝ่ายแดงและดำ สวมเกราะอ่อน เท้าสวมรองเท้าขี่ม้า แต่ละคนท่าทางคล่องแคล่วแข็งแกร่ง ทุ่มกำลังทั้งหมดเพื่อตีคลีไปยังประตูฝั่งตรงข้าม ผู้ที่ได้ตีคลีจำนวนมากที่สุดในแต่ละรอบจะเป็นฝ่ายชนะ
เกือกม้าควบขี่ กุบกับแล่นอยู่บนสนามหญ้า ทุกครั้งที่คนบนอานโน้มตัวลงแล้วเหวี่ยงไม้ เรียกความสนใจจากทั้งสนามได้เป็นอย่างดี พร้อมกับเสียงโห่ร้องบนอัฒจันทร์เป็นระลอก บรรยากาศคึกคักไปทั่วบริเวณ
ชูซย่าดูจนอยากจะลงไปเล่นเอง นางชี้ไปในสนามแข่งพลางยิ้มเอ่ยว่า “วันนี้คุณหนูรองเล่นได้เบิกบานใจยิ่ง บุคลิกก็องอาจผึ่งผาย คนก็ดูงดงามขึ้นกว่าเดิมอีกเจ้าค่ะ” เฉินจื่อหลิงหน้าผากคาดผ้าไหมสีแดง สวมเกราะอ่อนเข้ารูป ดวงหน้ามีสง่าราศี ขับให้รูปร่างยิ่งบอบบางผอมเพรียว บนข้อมือกับเข่าสวมสนับกันไว้ ควบขี่ม้าพันธุ์ดีตัวหนึ่งนามว่าอวี้ฮวาชง มือหนึ่งดึงบังเหียน อีกมือกำไม้ตีคลียาวครึ่งจั้ง[1]กว่าๆ เอาไว้ อยู่ท่ามกลางบุรุษแล้วรูปร่างยิ่งปราดเปรียว แฉลบหลบ รับคลี เหวี่ยงไม้ ตีคลี ธรรมชาติไร้ขอบเขต ทำรวดเดียวไม่ได้หยุดจนสำเร็จ ทว่าก็ไม่ใช่ดอกไม้ประดับสนาม ในสนามแข่งยามนี้นางเป็นผู้มีความสามารถที่แย่งคลีได้มากที่สุด แต่ละการเคลื่อนไหวที่ออกมา เรียกเสียงกู่ร้องจากเพื่อนร่วมฝ่ายและผู้ชมได้เป็นอย่างดี ดูเหมือนว่าจะเป็นบุคคลน่าสนใจของทุกคนในวันนี้
อวิ๋นหว่านชิ่นแย้มยิ้ม หันหน้าไป สายตาตกอยู่บนร่างบุรุษที่ห่างจากเฉินจื่อหลิงไปประมาณหนึ่งลูกธนู
อี๋ซื่ออ๋องคาดผ้าสีดำบนศีรษะนั่งอยู่บนม้าพันธุ์ดีตัวสูงใหญ่ ดวงตาที่อ่อนโยนสง่าในยามปกติเพราะอยู่ในการแข่งขัน ราวกับเป็นสัตว์ร้ายที่ออกมาจากกรง เพิ่มความพากเพียรและความแน่วแน่ในการล่าเหยื่อมากยิ่งขึ้น สัมผัสได้ว่าเฉินจื่อหลิงเป็นเสาหลักของฝ่ายแดง กุมบังเหียนควบไปข้างหน้าเพื่อสกัดกั้นระหว่างทาง
เฉินจื่อหลิงกลับไม่ยอมแพ้ ทุ่มสุดตัวลงกับพื้น เรี่ยวแรงสู้บุรุษไม่ได้ สิ่งที่พึ่งพิงบนอานม้าคือความว่องไวและปฏิกิริยาตอบสนอง นางกลับได้รับชัยชนะไป ตระกูลเฉินมาจากค่ายหทารและสนามรบ ยักซ้ายหลบขวา การเคลื่อนไหวหลอกล่อหลายท่า กลับคิดไม่ถึงว่าจะไม่ไว้หน้าให้อี๋ซื่ออ๋องเลยสักนิด นางพาลูกคลีหลบหลีกไปได้อย่างปลอดภัย ซ้ำยังหันกลับมาหัวเราะเยาะอีก ขับให้ดวงหน้ายิ่งงดงามสดใส
ในสนามแข่ง ไม่มีแบ่งแยกชนชั้น การหัวเราะนี้ ชินอ๋อง จวิ้นอ๋องรวมถึงบรรดาบุตรชายขุนนางของฝ่ายแดงก็หัวเราะเสียงดังตามเสาหลักไปด้วย
อี๋ซื่ออ๋องสีหน้ายิ่งทะมึนกว่าเดิม หนีบขากับท้องม้า ควบขี่ไปเบื้องหน้าพร้อมกับไอสังหาร อาศัยจังหวะที่นางไม่ทันตั้งตัว ยกบังเหียนในมือขึ้น สะบัดไปยังท้องม้าใต้ร่างเฉินจื่อหลิงอย่างแรง ม้าอวี้ฮวาชงตกใจ ยกขาหน้าทั้งสองข้างขึ้น ร้องขึ้นเสียงยาว เฉินจื่อหลิงตัวลอยขึ้นมาเกือบจะตกลงไป นางสนใจแต่การจับบังเหียนไว้ให้มั่น ปล่อยคลีบนไม้ไป ขอทองในมืออี๋ซื่ออ๋องที่อยู่บนหลังม้า ไม้ยาวเกี่ยวมา แย่งลูกคลีบนไม้ของนางไปด้วยความรวดเร็ว
ยามนี้สถานการณ์พลิกผันอย่างสนุกยิ่ง บรรดาผู้ชมบนอัฒจันทร์ต่างเปลี่ยนฝ่ายเดียวกัน เอนเอียงไปทางอี๋ซื่ออ๋อง ปรบมือกู่ร้อง “ดี!” “อี๋ซื่ออ๋องเก่งกาจยิ่ง!”
————————
[1] จั้ง หน่วยวัดของจีน 1 จั้ง เท่ากับ 10 ฟุต