ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 272.2 แต่งตั้งธิดาบุญธรรม (2)
“นี่ท่านกำลังผิดกฎ!” เฉินจื่อหลิงขบเขี้ยว คนต่ำช้าหน้าไม่อายเสียจริง นางกำบังเหียนแน่น ขาหนีบท้องม้าไว้ ปลอบโยนม้าขาวของตน
“ผิดกฎตรงไหนกัน หนึ่ง ข้าไม่ได้ใช้อาวุธลับ สอง ไม่ได้ใช้ดาบหรือธนูเลย” อี๋ซื่ออ๋องขี่ม้าเดินรอบร่างนาง ดวงตาหงส์เลิกขึ้น ทำให้เฉินจื่อหลิงแทบอยากจะชกหน้าเขาสักหมัด “ยิ่งไปกว่านั้น ทหารไม่เบื่อกลลวง ในสนามรบ ไม่มานั่งสนใจวิธีการ ขอแค่มีผลลัพธ์ก็พอ” แล้วขยับไปข้างหูนาง กระซิบยั่วยุว่า “เจ้ามีปัญญา ก็เข้ามาสิ” พูดจบก็ดึงบังเหียน หันหลังควบม้าไปทางประตูฝ่ายแดง รีบตีกลับสักตา
เฉินจื่อหลิงไหนเลยจะยอมง่ายๆ นางยกแส้ขึ้น “มัวนิ่งอึ้งอันใดอยู่! ไปแย่งกลับมา!”
เพื่อนร่วมฝ่ายรีบพากันไสม้าตามไปทันที
อวิ๋นหว่านชิ่นมองแล้วปวดหัวนิดๆ ได้ยินแว่วๆ ว่าไทฮองไทเฮาอยากจะผูกด้ายแดงให้เฉินจื่อหลิงกับอี๋ซื่ออ๋อง ด้ายแดงจะผูกได้อย่างไร
เพิ่งจะเอ่ยจบ ขันทีในอุทยานก็เอ่ยรายงานเสียงยาวตรงหน้าประตูทางเข้า “ไทฮองไทเฮาเสด็จ”
เสียงดังขึ้น เห็นบรรดาคุณหนูที่ได้รับเชิญมาชมการแข่งขันรีบลุกขึ้น หันหน้าไปทางผู้มาใหม่แล้วถวายคำนับ การแข่งขันในสนามก็หยุดลงชั่วคราวเช่นกัน ทั้งฝ่ายแดงและดำต่างลงจากหลังม้าหันหน้าไปทางประตูทางเข้า
เห็นไทฮองไทเฮาเดินเข้ามาในอุทยานท่ามกลางนางกำนัลที่ล้อมหน้าล้อมหลัง ทางซ้ายเป็นนางกำนัลเก่าแก่หม่ามอมอและจูซุ่นแห่งตำหนักฉือหนิง ทางด้านขวาเป็นเด็กสาวที่ดูๆ แล้วอายุยังไม่ถึงยี่สิบนางหนึ่ง อยู่ในชุดสีเหลืองอ่อนของวังหลวง รูปร่างบอบบาง ดวงหน้าขาวเนียนนุ่ม หน้าตางดงาม ศีรษะก้มลงเล็กน้อย ท่าทางเคารพนอบน้อมและน่าเอ็นดูยิ่ง กำลังประคองไทฮองไทเฮาอยู่ ยามเดินเข้ามาทีละก้าวนั้น ดวงตาก็กวาดมองขุนนางและคนในวังที่ถวายคำนับเบื้องหน้าโดยไม่ตั้งใจ ทั้งยังมีท่าทางที่ราวกับเป็นคนในตำหนักฉือหนิงมานานแล้ว จึงบ่มเพาะท่วงท่าเช่นนี้ออกมา
บรรดาสตรีนอกวังหลวงต่อให้ไม่เคยเห็นเด็กสาวคนนี้มาก่อนก็รู้ได้ว่าเป็นใคร หลายวันมานี้ ชื่อเสียงของเด็กสาวเรียกได้ว่าขจรไปทั่ว เป็นลูกพี่ลูกน้องหญิงของอี๋ซื่ออ๋องมิใช่หรือไร พวกนางกระซิบวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นอย่างอดไม่ได้
“นี่คือแม่นางถังรึ หน้าตาไม่เลวจริงๆ อ้อนแอ้นอรชร บอบบางไม่น้อย มิน่าเล่าจึงได้กล้าเสนอตัวกับฝ่าบาท” ฮูหยินตระกูลขุนนางคนหนึ่งเอ่ยอย่างสนใจใคร่รู้
“ดวงหน้าสะสวย แต่หนังหนาเสียจริง แสดงท่าทีเช่นนั้นในงานเลี้ยง แต่จนกระทั่งตอนนี้ฝ่าบาทก็ยังไม่ได้มีปฏิกิริยาใดเลย หากเป็นข้าล่ะก็ ได้อับอายทูลขอออกจากวังไปนานแล้ว” สตรีออกเรือนสูงศักดิ์วัยกลางคนคนหนึ่งเบ้ปาก
“ดังนั้นเจ้าจึงเป็นได้แค่ฮูหยินของเซ่าชิง[1]แห่งไท่ฉังซื่อ[2]อย่างไรเล่า” เอ่ยอย่างออกรสกับฮูหยินวัยกลางคนชนชั้นสูงของบัณฑิตเน่ยเก๋อ[3]ว่า “เจ้าดูนางสิ หักใจทุ่มสุดตัวได้ หนังหน้าจะนับว่าเป็นอะไรได้ แม้ฝ่าบาทจะยังไม่พระราชทานฐานันดรให้ แต่ก็เป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็วอยู่ดี”
“ก็จริง พี่ชายของคนเขาเป็นขุนนางที่มีคุณูปการของฝ่าบาท ก่อนหน้านี้ยังเพิ่งจะพระราชทานป้ายละตายอาญาสิทธิ์ให้ อำนาจบารมีในทัพหน้าและในราชสำนักก็มีไม่น้อย ฝ่าบาทไว้หน้าอี๋ซื่ออ๋องพระราชทานรางวัลเช่นนี้ให้ ดึงน้องสาวเขามาเป็นพวกด้วยจะนับว่าเป็นอันใดได้”
“ก็จริง ยามนี้แม่นางถังผู้นี้ยังพักอยู่ในตำหนักฉือหนิง ไทฮองไทเฮาทั้งคนล้อมหน้าล้อมหลังล้วนพานางมาด้วย ต้อนรับอย่างสมเกียรติอีกด้วย ในเมื่อให้เกียรติเช่นนี้ ก็คงตัดสินใจกันภายในไปนานแล้วกระมัง” คนที่กำลังพูดกระซิบเสียงเบาว่า “พูดไม่น่าฟังก็คือ หากไม่มีอี๋ซื่ออ๋อง ปีนั้นฝ่าบาทขึ้นครองราชย์เกรงว่าคงจะไม่ได้ราบรื่นเช่นนี้ รับตัวน้องสาวคนนี้ของอี๋ซื่ออ๋องเข้าวังหลังก็สมเหตุสมผลอยู่”
ท่ามกลางการแอบวิพากษ์วิจารณ์ สายตาที่บรรดาสตรีมองถังอู๋โยวก็ยิ่งเกรงอกเกรงใจและเคารพมากขึ้น แม้อีกฝ่ายจะไร้ฐานันดร แต่ในสายตาของผู้คนกลับมีสง่าราศีอยู่ทั่วร่าง แอบยอมรับกันเงียบๆ ว่าเป็นชายาสนมในวังหลังไปแล้ว
ฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ได้เกือบสองปีแล้ว หวงกุ้ยเฟยได้รับความโปรดปรานอยู่คนเดียวในวังหลัง เกรงว่าก็คงใกล้จะสิ้นสุดลงแล้วกระมัง
คำพูดของบรรดาสตรีลอยเข้าโสตของสตรีอาภรณ์เหลืองเป็นระลอกๆ
นางกำนัลเดินนำไทฮองไทเฮาเข้าประทับในที่นั่ง แขนยื่นออกไป “เชิญไทฮองไทเฮานั่งประดับเพคะ” ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นึกดูแล้วแม่นางถังก็เป็นคนที่บรรดาชนชั้นสูงในวังให้ความสำคัญ จึงมองถังอู๋โยวอย่างอดทน “คุณหนูถัง เชิญ”
ถังอู๋โยวได้รับการเชิญ สีหน้าก็ยิ่งสบายอารมณ์ นางปิดบังรอยยิ้มมุมปากไว้ ฝีเท้าใต้กระโปรงก็ยิ่งแผ่วเบากว่าเดิม มองไปยังตำแหน่งตรงกลางอัฒจันทร์ สายตาตกลงบนร่างสตรีที่มีคนห้อมล้อม คิ้วงามขมวดมุ่น ทว่าก็คลายลงอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งเบ่งบาน
หลังจากนั้นไม่นาน ตำแหน่งที่นางนั่งอยู่ยามนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นของตนแล้ว ให้นางได้ดีอกดีใจสักหน่อยจะเป็นไรไป
ก็เหมือนกับที่พวกฮูหยินของขุนนางว่ากัน พึ่งพิงอี๋ซื่ออ๋องผู้เป็นพี่ชายไว้ ตนจะมีอะไรให้ต้องกังวลอีก ขอแค่ฝ่าบาทไม่อยากล่วงเกินขุนนางที่สร้างคุณูปการใหญ่หลวง และทรงคิดอยากทำสถานการณ์การเมืองให้มั่นคง ยอมรับตน พระราชทานฐานันดรแก่ตน ก็เป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็วต้องเกิดขึ้นแน่นอน
ขอแค่ฐานันดรของตนได้แต่งตั้งแล้ว ทุกอย่างก็จะเป็นไปได้หมด วังหลังในอนาคตก็ยังไม่แน่ว่าใครจะใหญ่กว่ากัน
นางยังจะเหลืออะไร เดิมทีบิดาก็เป็นขุนนางฝ่ายอักษรที่ไร้อำนาจในมือคนหนึ่ง ยามนี้ก็หอบอาการป่วยกลับบ้านเกิดไปแล้ว ในจวนเหลือแค่น้องชายคนเดียว ต่อให้จะมีความสามารถกว่านี้ ฝ่าบาททรงอยากจะสนับสนุนส่งเสริมกว่านี้ ก็ยังเป็นแค่เด็กอยู่ดี จะสามารถเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกับอี๋ซื่ออ๋องได้อย่างไร
เด็กที่ยังไม่โตนั่นกลับเป็นลูกตุ้มถ่วงนาง ได้ยินว่าฝ่าบาทรักใคร่ยิ่ง เด็กตัวแค่นี้ก็แต่งตั้งให้เป็นอ๋องแล้ว ว่ากันว่ายังทรงหมายจะแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทด้วย
ถังอู๋โยวริมฝีปากแย้มยิ้มเผยให้เห็นความเย็นชา นึกย้อนไปถึงเรื่องในสวนหลวงครานั้น น่าเสียดายที่เด็กนั่นใจกล้านัก ทำองค์หญิงน้อยตกใจจนร้องไห้ อกสั่นขวัญหายแทน นึกไม่ถึงว่าเด็กนั่นจะเล่นกับงู
หากตกใจจนล้มป่วยล้มตาย จะดีเพียงใดกัน
ถังอู๋โยวคิดไปมาถึงตอนนี้ก็ยังเสียดายอยู่ แต่ว่า แล้วอย่างไรเล่า นางก็เป็นสตรีเหมือนกัน คลอดเองก็ได้
ถังอู๋โยวจินตนาการไปไกล เจี่ยไทเฮาเห็นสีหน้านางเดี๋ยวแจ่มใสเดี๋ยวมืดมน เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวเครียด คล้ายเหลิงไปกับสายตาและคำวิพากษ์วิจารณ์ที่เคารพและชื่นชมของผู้คน ก็ขมวดคิ้วมุ่นอย่างอดไม่ได้ เห็นอี๋ซื่ออ๋องที่จดจ้องมาทางนี้ สีพระพักตร์ยังคงอ่อนโยน ตรัสอย่างอบอุ่นว่า “อู๋โยวไปนั่งด้วยกันกับข้าเถิด”
สุรเสียงเมตตานี้ ทำให้บรรดาฮูหยินและคุณหนูบนอัฒจันทร์ยิ่งฮือฮากันขึ้นมา
อี๋ซื่ออ๋องยิ้มเอ่ยว่า “ได้ยินน้องสาวเล่าให้ฟังนานแล้วว่า ยามอยู่ตำหนักฉือหนิงไทฮองไทเฮารักเอ็นดูนางยิ่ง วันนี้ได้มาเห็น เป็นดังนั้นจริงๆ ช่างเป็นเกียรติของกระหม่อมและน้องสาวยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
ถังอู๋โยวปรีดาเช่นกัน นางค้อมกายอย่างนุ่มนวล เอ่ยอ่อนโยนว่า “ขอบพระทัยไทฮองไทเฮาเพคะ” แล้วก็กวาดตามองอวิ๋นหว่านชิ่นอย่างเนิบช้าโดยไม่ได้ตั้งใจอีกครั้ง
เจี่ยไทเฮายิ้มบาง “อี๋ซื่ออ๋องเหน็ดเหนื่อยเพื่อแผ่นดินมากมาย ทุ่มแรงกายช่วยเหลือฝ่าบาท ต่อให้ข้าดีต่ออู๋โยวมากมายเพียงใด ก็เป็นสิ่งที่สมควร” ตรัสจบก็จับมือเด็กสาวไว้ นั่งลงบนที่นั่งแถวแรกด้วยกัน
อวิ๋นหว่านชิ่นกลับไม่มีปฏิกิริยาใด ฉิงเสวี่ยและเจินจูยามนี้เห็นภายในแววตาแม่นางถังนั่นเต็มไปด้วยความลำพอง ในใจก็เดือดดาลขึ้น เจินจูพึมพำอย่างอดไม่ได้ว่า “นี่ยังไม่ได้แต่งตั้งฐานันดรก็กระโดดขึ้นวอเสียแล้ว อีกหน่อยพอได้…”
ฉิงเสวี่ยกลัวอวิ๋นหว่านชิ่นจะไม่พอใจจึงขัดขึ้นว่า “หากฝ่าบาทพอพระทัย คงได้แต่งตั้งให้ที่งานเลี้ยงไปแล้ว”
“แต่เจ้าดูสิ ไทฮองไทเฮาดีต่อนางเช่นนี้…”
หากเจี่ยไทเฮาดีต่อนางอย่างจริงใจ ก็คงไม่ปล่อยให้เด็กสาวที่ไร้ฐานันดรทั้งยังไม่ออกเรือนนางหนึ่งพักอยู่ที่ตำหนักฉือหนิงหรอก อย่างน้อยๆ ก็ควรจะเข้าไปพูดโน้มน้าวฝ่าบาทสักสองสามคำ ให้ฝ่าบาทได้ตัดสินพระทัยแต่เนิ่นๆ ก็แค่มองนางเป็นเผือกร้อนที่สะบัดทิ้งไม่ได้เท่านั้น อวิ๋นหว่านชิ่นสบตาชูซย่าแวบหนึ่ง
ชูซย่าแย้มยิ้มบาง ค้อมกายยกถาดผลไม้เดินไปแถวหน้า ส่งถาดผลไม้ให้หม่าซื่อ คำนับแล้วยิ้มทูลว่า “เหนียงเหนียงเห็นว่าแดดแรง จึงตั้งใจให้หม่อมฉันเตรียมแตงโมและแคนตาลูปของแดนตะวันตกมาถวายไทฮองไทเฮาเพื่อคลายร้อนเพคะ”
———————————-
[1] เซ่าชิง ขุนนางระดับ 3 ชั้นเอก
[2] ไท่ฉังซื่อ เป็นหน่วยงานดูแลการเซ่นไหว้เทพเจ้าและศาลบรรพชน ทั้งยังกำกับเรื่องจารีตและดนตรีในพิธีการด้วย
[3] เน่ยเก๋อ หน่วยงานสูงสุดในการบริหารราชการแผ่นดิน