ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 273.1 รัชทายาทในมารดาเดียวกัน (1)
“ซื่ออ๋อง…”
“คุณหนูรองเฉิน…”
เสียงร้องในสนามดังขึ้น เรียกเสียงฮือฮาบนอัฒจันทร์ให้ดังขึ้น
“เกิดอันใดขึ้น!” เจี่ยไทเฮาตกพระทัย
จูซุ่นไปสืบถามกลับมา ภายใต้สายตาที่จดจ้องของทุกคน อยากจะไว้หน้าให้ทั้งสองคนเสียหน่อย โดยเฉพาะอี๋ซื่ออ๋องที่เป็นขุนนางผู้มีความดีความชอบของฝ่าบาท ทั้งยังเป็นสมาชิกในราชวงศ์อีก ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจบอกว่าทั้งสองคนขัดหูขัดตากันจึงตีกันขึ้นมาได้ นางหน้าแดงเอ่ยอย่างนิ่มนวลรื่นหูว่า “ไม่มีอันใดเพคะ…ตาต่อไปจะเริ่มขึ้นแล้ว คุณหนูรองเฉินกำลังอุ่นเครื่อง ไม่ทันระวังใช้แรงเกินไป จึงได้ตกจากหลังม้า อี๋ซื่ออ๋องคงหมายจะไปรับตัวนางไว้เพื่อไม่ให้นางได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่ทันระวังโดนพาล้มไปกับพื้นด้วย ทั้งสองจึงกอดกัน…ล้มลงมา…”
เจี่ยไทเฮาตะลึง หัวเราะออกมา มองหม่าซื่อแวบหนึ่ง แล้วตรัสว่า “เจ้ายังจะบอกว่าทั้งคู่เข้ากันไม่ได้อีก ยามนี้ เข้ากันไม่ได้ก็ต้องเข้ากันได้แล้ว คุณหนูรองเฉินยังอยากจะหาตระกูลใดอีก ดูท่าแล้ว คงต้องหาฝ่าบาทให้ออกราชโองการให้ด้วยแล้ว”
เจตนาทูลขอราชโองการของเจี่ยไทเฮาลือไปถึงพระที่นั่งเฉียนเต๋อ ซย่าโหวซื่อถิงไม่พูดพร่ำทำเพลง เรียกฉีไหวเอินร่างราชโองการแต่งตั้งองค์หญิงขึ้นทันที
ลูกพี่ลูกน้องหญิงสกุลถังของอี๋ซื่ออ๋องเข้าตำหนักฉือหนิงปรนนิบัติรับใช้นานแล้ว ได้รับความชื่นชอบจากไทฮองไทเฮา ในการแข่งขันตีคลีก็ไม่กลัวอันตราย คุ้มครองอย่างซื่อสัตย์จริงใจ ไทฮองไทเฮารู้สึกขอบคุณและระลึกถึงในพระทัย จึงยินดีรับแม่นางสกุลถังเป็นธิดาบุญธรรม แต่งตั้งองค์หญิงใหญ่เซิ่นอี๋
ฉีไหวเอินร่างเสร็จก็ประทับตราราชลัญจกร ส่งให้ฝ่าบาททอดพระเนตร ซย่าโหวซื่อถิงโบกมือ ดูแล้วไม่ผิดก็พอ ฉีไหวเอินให้คนรับใช้ประกาศราชโองการ แล้วกลับมายิ้มเอ่ยว่า “คราวนี้ ทางด้านอี๋ซื่ออ๋องก็คงจะหยุดแล้ว” แล้วมองราชโองการอีกฉบับที่ร่างเสร็จ “ฝ่าบาท ราชโองการสมรสพระราชทานของอี๋ซื่ออ๋องกับคุณหนูรองจวนแม่ทัพเฉิน…จะประกาศตอนนี้เลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ทั้งสองปฏิเสธอันใดหรือไม่” ซย่าโหวซื่อถิงถาม ก่อนจะออกราชโองการ ทั้งสองคนก็น่าจะได้ยินข่าวลือมาบ้างแล้ว
“อี๋ซื่ออ๋องยังพอทำเนา แม้สีหน้าจะดูไม่ค่อยได้ เหมือนโดนฟ้าผ่าเอา แต่ก็ไม่ได้ต่อต้านพระประสงค์ของไทฮองไทเฮาและฝ่าบาท ส่วนคุณหนูรองเฉิน…ได้ยินว่าพอกลับจวนแม่ทัพไป ในจวนก็มีคนลือกันออกมาว่าคุณหนูรองล้มป่วย เป็นป่วยหนักร้ายแรง กระทั่งเตียงยังลงไม่ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
ซย่าโหวซื่อถิงโบกมือ “ประกาศพร้อมกันไปเลย ให้หมอหลวงในวังไปดูหน่อย ดูว่าคุณหนูรองเฉินจะรักษาหายขึ้นมาได้หรือไม่”
ฉีไหวเอินปิดปากหัวเราะ ขานรับคำหนึ่ง ส่งราชโองการฉบับนั้นให้คนรับใช้ส่งออกไปพร้อมกัน
เรื่องราวเพิ่งจัดการไป หน้าประตูก็มีขันทีน้อยนายหนึ่งเข้ามารายงานว่า “หวงกุ้ยเฟยไปตำหนักฉือหนิงพ่ะย่ะค่ะ”
แล้วอย่างไรเล่า ท่าทางตื่นตูมเสียขนาดนั้น ฉีไหวเอินขมวดคิ้ว “หวงกุ้ยเฟยไปตำหนักฉือหนิง แล้วต้องตกอกตกใจเช่นนี้รึ”
ขันทีน้อยคนนั้นลังเลครู่หนึ่ง จึงเอ่ยว่า “ไม่ใช่ขอรับ…หวงกุ้ยเฟยไปตำหนักฉือหนิง คุกเข่าอยู่ในลานตำหนักขอให้ไทฮองไทเฮายกโทษให้ต่างหาก”
“ยกโทษให้อย่างนั้นรึ” ฉีไหวเอินตกใจ ในใจก็พอคาดเดาบางอย่างได้แล้ว มองฝ่าบาทแวบหนึ่ง
ซย่าโหวซื่อถิงก็รู้ว่าเหตุการณ์นั้นในการแข่งขันตีคลีเป็นฝีมือนาง แม้ไส้เดือนตัวนั้นจะไม่ได้มีภัยอะไรต่อคน แต่ก็ทำให้ไทฮองไทเฮาได้รับความตกใจ จากความฉลาดเฉลียวของไทฮองไทเฮา ไตร่ตรองหลังจากเกิดเรื่องอย่างละเอียด จะไม่รู้ว่าเป็นฝีมือนางได้อย่างไร นางก็ไม่ได้คิดว่าไทฮองไทเฮาจะหลอกง่ายเพียงนั้นเช่นกัน แต่ก็สะใจอยู่ดี ไม่รอให้ไทฮองไทเฮาเอ่ยขึ้นมาเอง นึกไม่ถึงว่าจะไปขอรับโทษเองแล้ว
จากความรักและเอ็นดูของไทฮองไทเฮาที่มีต่อนาง ผนวกกับนางยอมจำนนอย่างสมัครใจ เขาจึงได้วางใจลง คงจะไม่โดนรับโทษอะไรหรอก แต่เกิดไทฮองไทเฮาอารมณ์ไม่ดีเล่า
เขาลุกขึ้น “ไป ไปตำหนักฉือหนิงเสียหน่อย”
นี่คงจะกลัวว่าหวงกุ้ยเฟยจะโดนไทฮองไทเฮาตำหนิแน่ ฉีไหวเอินรีบตามไป
ทั้งสองมาถึงตำหนักฉือหนิง ภายในลานตำหนักมีร่างอันคุ้นเคยคุกเข่าหันหน้าไปทางตำหนักบรรทมของไทฮองไทเฮาอยู่จริงๆ ชูซย่า เจินจูและฉิงเสวี่ยยืนอยู่ข้างกายนาง
เสียงรายงานดังขึ้น อวิ๋นหว่านชิ่นหันไปมอง ถวายคำนับให้ “ฝ่าบาทมาแล้ว”
ไม่รู้เหมือนกันว่าคุกเข่านานไปหรือไม่ ใบหน้ารูปไข่ขาวซีด หน้าผากก็มีเหงื่อผุดซึมเนื่องจากแดดส่อง คิดถูกที่มาจริงๆ เขายื่นมือไปหา “ลุกขึ้นเถิด เราจะไปพูดกับไทฮองไทเฮา…”
“ไทฮองไทเฮาไม่ตรัสอันใดเลย หม่อมฉันจึงคุกเข่าจนกว่านางจะพอพระทัย” นางปฏิเสธความหวังดีไป ไทฮองไทเฮาเป็นคนที่ยอมให้คนอื่นไม่จงรักภักดีต่อตนไม่ได้เป็นที่สุด เว่ยอ๋องเป็นตัวอย่าง คราวนี้ตั้งใจจะกำจัดอี๋ซื่ออ๋องกับถังอู๋โยวไปจึงหมดหนทาง จำต้องลากไทฮองไทเฮาเข้ามาเกี่ยวด้วย เกรงว่านางคงจะไม่พอพระทัย เพื่อกำจัดปมในใจของนาง คุกเข่าแค่นี้จะเป็นไรไป
ซย่าโหวซื่อถิงมองไปยังตำหนักบรรทม พักใหญ่ทีเดียว จึงถลกชุดคลุมขึ้น คุกเข่าเคียงข้างนางด้วย
“ฝ่าบาท…” ฉีไหวเอินตกใจ ชูซย่าและพวกที่เหลือก็เข้ามาห้าม
“ไม่เป็นไร” เขาเอ่ย “หวงกุ้ยเฟยมีความผิด เราก็หนีความรับผิดชอบไปไม่ได้เช่นกัน” มือใต้แขนเสื้อกำเป็นหมัด กุมมือนางเอาไว้
มีเขาขอรับโทษด้วยกัน ก็จะได้คุกเข่าน้อยลงหน่อย
พวกคนที่เหลือสบตากัน ถอยออกไปด้านข้าง
เป็นดังที่คาดไว้ เพียงไม่นาน ภายในตำหนักก็มีเสียงฝีเท้าดังมา เห็นหม่าซื่อวิ่งเหยาะๆ ออกมาอย่างรีบร้อน “ฝ่าบาทเป็นโอรสสวรรค์ โปรดลุกขึ้นเถิดเพคะ ฝ่าบาทจะต้องรับผิดชอบอันใดเล่า”
“โอรสสวรรค์ก็ยิ่งใหญ่ไม่เท่าความกตัญญู เราคุกเข่าให้เสด็จย่า เป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างไม่ต้องสงสัย ชายาข้าอกตัญญูต่อผู้หลักผู้ใหญ่ สามีก็ยิ่งต้องร่วมรับโทษด้วย” ซย่าโหวซื่อถิงเอ่ย
หม่าซื่อถอนหายใจ เอ่ยไปทางบรรดานางกำนัลในลานตำหนัก “พวกเจ้าเป็นคนโง่รึ ไม่รู้จักพยุงฝ่าบาทกับหวงกุ้ยเฟยให้ลุกขึ้น! อากาศร้อนเช่นนี้ ยังไม่เชิญหวงกุ้ยเฟยเข้าไปอีก ไทฮองไทเฮากำลังกลุ้มจนวิตก จะได้พูดคุยกับหวงกุ้ยเฟยสักเดี๋ยวพอดี”
ประโยคนี้เอ่ยออกมา ชูซย่าและคนอื่นๆ จึงถอนหายใจ รู้ว่าไทฮองไทเฮาหายโกรธนายหญิงแล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นก็ลุกขึ้นตามซย่าโหวซื่อถิง กำลังจะเดินไป กลับไม่รู้ว่าคุกเข่านานไปหรือไม่ เบื้องหน้ามืดมิด ฟ้าพลิกดินตลบ ล้มลงในอ้อมอกของบุรุษข้างกาย
ฝ่าบาทอุ้มนางเข้าไปในตำหนักหลัก ทันใดนั้นตำหนักฉือหนิงก็โกลาหลวุ่นวายทันที มีหน้าที่เรียกหมอหลวงก็ไปเรียก มีหน้าที่ไปตักน้ำก็ไปตัก
เจี่ยไทเฮานึกย้อนไปถึงเรื่องที่อุทยานวันนั้น ในใจก็ยึดเป็นเรื่องเป็นราวอยู่บ้าง แต่วันนี้เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นมายอมรับผิดขอรับโทษด้วยตัวเอง จึงหายโกรธไปพอสมควร ยามนี้ได้ยินหม่าซื่อเข้ามารายงานว่านางเป็นลม ไหนเลยยังจะมีเวลามาถือสาอย่างอื่นอีก “คุกเข่านานเกินไปโดนลมร้อนเข้าใช่หรือไม่ ยังไม่พยุงหวงกุ้ยเฟยเข้ามาอีก…” ยังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นฝ่าบาทอุ้มคนเข้ามาด้วยสีพระพักตร์อึมครึม รีบเอ่ยว่า “เร็วเข้า ยกตั่งนุ่มมา ไปหยิบน้ำมันสะระแหน่ของข้ามาดม”
เข้าๆ ออกๆ ความรู้สึกวิงเวียนของอวิ๋นหว่านชิ่นหายไปกว่าครึ่งแล้ว ได้สติขึ้นมาบ้างแล้ว รู้สึกลางๆ ว่ามีคนพัดวีให้ตน จึงลืมตาขึ้นมา เห็นตนถูกวางลงบนตั่งธรรมดาตัวหนึ่ง หลังเอวมีหมอนอิงนุ่มใบสูงมารองไว้ เบื้องหน้ามีแต่คนรายล้อม เหมือนมาดูสัตว์กันอย่างไรอย่างนั้น สีหน้าจึงกระอักกระอ่วน ยังไม่ทันได้พูด ซย่าโหวซื่อถิงก็ยกแขนโบกไปด้านหลังเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ไปข้างหลัง อย่าบังอากาศสดชื่น”
นางกำนัลรีบถอยไปอีกด้าน มีเพียงชูซย่าที่สาวเท้าเข้ามาหา ส่งแจกันกล้วยไม้ใบเล็กๆ ให้ “บ่าวเช็ดตัวให้เหนียงเหนียงนะเพคะ” อวิ๋นหว่านชิ่นได้กลิ่นสะระแหน่ เอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ไม่ต้องเช็ดหรอก ข้าไม่ได้เป็นไข้แดด”
“จะไม่เป็นไรได้อย่างไรเพคะ คุกเข่าจนเป็นลมไปขนาดนั้น ต้องมีไข้แดดไม่มากก็น้อยแน่” ชูซย่าร้อนรน
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นนางกลัวว่ามาเป็นลมในตำหนักฉือหนิงจะทำไทฮองไทเฮายิ่งไม่พอพระทัย จึงรับสะระแหน่มาจากมือชูซย่า “นี่เป็นสิ่งที่ไทฮองไทเฮาให้คนนำมาให้”