ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 274.1 ตอนอวสาน (1)
ด้านนอกหน้าต่าง สตรีที่ห่อเหี่ยวไม่น้อยได้ยินรายงานจากสาวใช้ ทันใดนั้นร่างกายก็โงนเงน
เสี่ยนชุนเห็นร่างนายหญิงสั่นเทาเล็กน้อย
ตั้งแต่กลับมาจากงานแข่งขันขี่ม้าตีคลี นายหญิงก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย และไม่พูดอะไรสักคำ ทั่วทั้งร่างเหมือนศพเดินได้อย่างไรอย่างนั้น รอราชโองการแต่งตั้งเป็นองค์หญิงใหญ่เซิ่นอี๋อย่างเป็นทางการมายังตำหนักฉือหนิง นายหญิงก็ยิ่งไม่กินไม่ดื่มอะไรเลย
คนๆ นั้น ตั้งครรภ์อีกแล้ว
ราวกับว่าธนูปักทะลุดวงใจ ปลายนิ้วถังอู๋โยวจิกเข้าฝ่ามือ เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ ทั้งหึง ทั้งอิจฉา และยิ่งรู้สึกไม่ยุติธรรมต่อตัวเองอย่างบอกไม่ถูก
หรือตนจะพ่ายแพ้ให้กับยุคสมัยนี้จริงๆ คนสมัยหลายร้อยกว่าปีก่อน เหตุใดจึงจัดการด้วยไม่ได้ง่ายๆ เหมือนอย่างที่คิดเอาไว้…ในนิยาย ซีรีส์ของยุคสมัยของตนล้วนหลอกลวงคนอย่างนั้นหรือ เหตุใดคนอื่นๆ ต่างสามารถเรียกลมเรียกฝนได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกตาต้องใจ สวรรค์ก็ส่งมาให้ตรงหน้าราวกับมีมือทองคำ แต่พอเป็นตน เหตุใดดันไม่อาจสมปรารถนาได้สักอย่าง!
ยามนี้จึงได้รู้ตัว คนในทุกยุคสมัยล้วนมีสติปัญญาของการอยู่รอดเป็นของตัวเอง ไม่ว่าใครก็เก่งกาจเท่ากันหมด
สิ่งที่นางทำได้ คนสมัยก่อนไม่เคยพบเห็น แต่สิ่งที่นางไม่เชี่ยวชาญ คนสมัยก่อนกลับรอบรู้
นางประเมินศัตรูต่ำไป! แค่ทำตามหลักการขั้นตอนไปทีละขั้น อาศัยประสบการณ์ของบรรดารุ่นก่อนๆ ใช้ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ของยุคปัจจุบันก็สามารถทำผู้คนตื่นตะลึงได้
เหตุใดสวรรค์จึงลำเอียง! ต่างย้อนอดีตมาเหมือนกัน เหตุใดตนดันไม่ได้ย้อนมายังยุคสมัยที่สตรีที่ย้อนเวลามาแค่กะพริบตา แค่ก้าวขาก็สามารถเอาทุกคนมาเล่นในฝ่ามือได้!
น้ำตาแวววาวที่ทั้งสงสารทั้งโศกเศร้าแก่ตัวเองไหลอาบดวงหน้าเนียน นางร้องไห้ออกมา แล้วพยายามสงบจิตสงบใจให้มั่น
นางไม่พอใจ! ไม่พอใจ
วังหลังของพระเจ้าจ้าวจงในสมัยหลัง นางไม่เคยได้ยินว่ามีหวงกุ้ยเฟยสกุลอวิ๋นอะไรนั่นอยู่สักนิด แต่ยามนี้ แม่นางอวิ๋นนั่นกลายเป็นคนลำพองอันดับหนึ่งของวังหลังอย่างเห็นได้ชัด นั่นก็แสดงว่าประวัติศาสตร์ในช่วงนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
ถังอูโยวไม่รู้เพราะเหตุใดประวัติศาสตร์จึงเปลี่ยนแปลงไป ไม่รู้เพราะเหตุใดแม่นางอวิ๋นจึงสามารถเข้าวังหลังของพระเจ้าจ้าวจงได้ แต่ในเมื่อนางสามารถเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้ แล้วเหตุใดตนจะเปลี่ยนไม่ได้
หากแต่ ตนได้กลายเป็นเสด็จอาไปแล้ว จะสามารถทำอันใดได้
ทางด้านอี๋ซื่ออ๋อง เกรงว่าจะไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว พี่ชายคนนี้ ตั้งแต่รับปากส่งตนเข้าวังมา ก็เห็นแค่ตนเป็นหมากตัวหนึ่งเท่านั้น อยากให้ตนโน้มน้าวฝ่าบาทให้ทำศึกกับเหมิงหนูไม่สิ้นสุด
จำต้องพึ่งตัวเองเสียแล้ว
เสี่ยนชุนติดตามข้างกายถังอู๋โยวมาตั้งแต่จวนซื่ออ๋องที่เมืองเจียงเป่ย ถังอู๋โยวรู้สึกว่านางเหมือนเฉี่ยวเย่ว์ในตอนนั้นทุกประกาย ฉลาดเฉลียวจงรักภักดี เลือกมาจากบรรดาสาวใช้ให้เป็นสาวใช้คนสนิทข้างกาย ตั้งแต่เรื่องในสวนหลวงใช้หลี่ว์ชีเอ๋อร์ปล่อยงูครานั้น เสี่ยนชุนก็รู้ว่านายหญิงคิดจะเข้าวังหลัง ไหนเลยจะอยากเป็นธิดาบุญธรรมของไทฮองไทเฮา ยามนี้เห็นนายหญิงน้ำตาไม่ขาดสาย จึงเอ่ยปลอบว่า “ช่างเถิดนายหญิง ตั้งครรภ์ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถคลอดออกมาได้ คลอดออกมาได้ก็ไม่แน่ว่าจะแข็งแรงสมบูรณ์ ต่อให้แข็งแรงก็ไม่แน่ว่าจะเลี้ยงให้โตได้ อีกอย่าง ท่านอย่าดูแค่ตอนนี้นางลำพอง ในประวัติศาสตร์ชายารักตั้งครรภ์ ก็เป็นโอกาสของสตรีคนอื่นๆ ค่อนปีกว่า บุรุษที่ไหนจะทนอยู่ได้ ไม่แน่ว่าฝ่าบาทอาจจะโปรดปรานสตรีอื่นในช่วงนั้นก็ได้ ถึงเวลานั้นต่อให้นางคลอดไข่ทองคำออกมาก็รับไม่ได้แล้ว ถึงเวลานั้นท่านก็จะสบายแล้ว…”
คำสาปแช่งโหดเหี้ยมลอยเข้าโสต ถังอู๋โยวฟังเสียจนสบายอุราขึ้นมาก ตั้งครรภ์แล้วก็ไม่แน่ว่าจะสามารถคลอดออกมาได้ หากเป็นตัวเองในสมัยก่อน คงคอยแต่จะหาโอกาสวางยาใส่ลงไป มองพวกนางสองแม่ลูกตกตายกันไป แต่ยามนี้นังนั่นเป็นถึงหวงกุ้ยเฟย เดิมทีคนก็ล้อมหน้าล้อมหลังมากมาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยามนี้ที่ตั้งครรภ์เลย เกรงว่าฝ่าบาทจะยิ่งส่งคนไปปกป้องคุ้มครองอย่างแน่นหนาเป็นแน่
ยิ่งไปกว่านั้นมีอี๋ซื่ออ๋องข่มเอาไว้ ไหนเลยจะกล้า คราก่อนที่ตนระบายโกรธให้ตัวเองในสวนหลวง ใช้งูไม่มีพิษไปทำให้สู่อ๋องตกใจ ก็ทำให้อี๋ซื่ออ๋องเดือดดาลยกใหญ่ กลัวว่าจะเกี่ยวโยงไปถึงจวนซื่ออ๋อง ยามนี้หากนางกล้าทำ เกรงว่าอี๋ซื่ออ๋องคงได้จับตนออกมาเป็นคนแรกแน่ ตนจะได้ไม่นำความหายนะไปให้เขา
ใช้ไข่ตีหิน ไม่คุ้ม
ทันใดนั้นนางก็เลิกคิ้วขึ้น มองเสี่ยนชุนนิ่ง “เมื่อครู่เจ้าว่าอันใดนะ”
เสี่ยนชุนนิ่งอึ่ง “บ่าวว่าต่อให้นางตั้งครรภ์ก็ไม่แน่ว่าจะคลอดออกมาได้…”
“ไม่ ประโยคสุดท้ายน่ะ”
“บุรุษที่ไหนจะทนอยู่ได้ ไม่แน่ว่าฝ่าบาทอาจจะโปรดปรานสตรีอื่นในช่วงนั้นก็ได้…” เสี่ยนชุนเอ่ยตะกุกตะกักทวนซ้ำอีกรอบ
“แต่นี้ไปเจ้าจับตาดูการเข้าออกทางด้านฝ่าบาทเอาไว้” ถังอู๋โยวเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ
หลังจากเวลาว่างยามบ่าย อากาศกำลังดี ลมอ่อนพัดโชยมาเบาๆ
หลังจากงีบหลับ อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นชูซย่ายกเก้าอี้หวายนุ่มตัวหนึ่งมาไว้ข้างหน้าต่าง นั่งอ่านหนังสือพลางพูดคุยกับชูซย่าไปด้วย
อ่านไปได้สักพัก ชูซย่าก็ยิ้มพลางยื่นมือไปดึงหนังสือในมือนางมา “ท่านอ๋องบอกว่าทุกคราที่อ่านหนังสืออย่าอ่านนานเกินไป จะทำลายสายตานะเจ้าคะ”
อายุครรภ์มากขึ้น ร่างกายก็ค่อยๆ หนักขึ้นมา ซย่าโหวซื่อถิงยังคงเห็นตำหนักฝูชิงเป็นตำหนักบรรทมเหมือนดังเก่าก่อน ตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ในตำหนักเฉียนเต๋อเป็นแค่ในนามเท่านั้น
ยามนี้เขาเข้าประชุมราชสำนักยามเช้า เลิกประชุมมาตำหนักอี้เจิ้งหรือไม่ก็ห้องหนังสือทุกวันจนกลายเป็นกิจวัตร พอถึงเวลาค่ำ หากราชกิจยังไม่แล้วเสร็จก็จะให้คนเอาฎีกาไปตำหนักฝูชิง ใช้ชีวิตสามีภรรยาเหมือนกับชาวบ้านธรรมดา
โถงหน้าจัดการได้ไร้ที่ติ ผนวกกับฝ่าบาทเองก็มุ่งมั่น เสียงโน้มน้าวให้เพิ่มสตรีเข้าวังหลังโดยมีอี๋ซื่ออ๋องเป็นแกนนำในราชสำนักจึงเบาลงเรื่อยๆ
นึกไปถึงอี๋ซื่ออ๋อง อวิ๋นหว่านชิ่นก็อดพูดไม่ได้ว่า “จื่อหลิงเป็นอย่างไรบ้าง” เรื่องสมรสพระราชทาน เฉินจื่อหลิงใช้การป่วยอยู่ในจวนมาบ่ายเบี่ยง ท่านอ๋องส่งหมอหลวงไปหาคนหนึ่ง เฉินจื่อหลิงดีร้ายอย่างไรก็ปิดบังเอาไว้ไม่ได้ แม่ทัพผู้เฒ่าเฉินเป็นคนจงรักภักดีกับกษัตริย์ที่สุด ไม่ยอมฝ่าฝืนราชโองการ รับการสมรสพระราชทาน ใช้ความอาวุโสมาโน้มน้าวเกลี้ยกล่อมไม่ยอมหยุด
“แม้คุณหนูรองจะพูดจาโผงผาง ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาก็กตัญญูต่อแม่ทัพผู้เฒ่าเฉินที่สุด ได้ยินว่าโดนแม่ทัพผู้เฒ่าโน้มน้าวสำเร็จแล้ว ยอมตกลงแต่งงาน” ชูซย่ายิ้มขื่น “หวังแต่ว่าคุณหนูรองจะโชคดี การแต่งงานครานี้จะไม่จับผิดฝาผิดตัว”
การแต่งงานนี้หากท่านอ๋องเป็นคนเสนอขึ้น อวิ๋นหว่านชิ่นกลับยังพอจะโน้วน้าวได้ แต่ยามนี้ไทฮองไทเฮาเป็นคนผูกด้ายแดงนี้เอง นางจึงไม่สะดวกจะพูดอะไร เห็นเฉินจื่อหลิงเจออี๋ซื่ออ๋องสองสามครั้ง ก็ไม่ได้เสียเปรียบอะไร จึงเชื่อมั่นในตัวนาง ได้ยินเสียงทอดถอนใจของชูซย่า ก็กำลังจะพูดขึ้น แต่เสียงฝีเท้าและเสียงตำหนิติเตียน ทั้งยังมีเสียงร้องไห้ของนางกำนัลดังขึ้นจากด้านนอกเสียก่อน
ชูซย่าเดินไปเอ่ยว่า “เกิดอันใดขึ้น”
ฉิงเสวี่ยกับขันทีตำหนักฝูชิงหิ้วนางกำนัลคนหนึ่งเข้ามา นางกำนัลคนนั้นอายุแค่สิบห้าสิบหกปี รูปร่างหน้าตาเล็ก เดิมทีท่าทางขลาดกลัว ยามนี้โดนดึงเข้ามาเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นมองมาก็ยิ่งเหมือนหนูเห็นแมว ตัวสั่นงันงก คุกเข่าลงทันที
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกว่านางกำนัลคนนั้นหน้าคุ้นๆ แต่นึกชื่อไม่ออก จึงถามว่า “เกิดอันใดขึ้น”
เป็นดังที่คาดไว้ ฉิงเสวี่ยถลึงตาใส่นางกำนัลคนนั้น “นางกำนัลคนนี้ชื่อมั่นกู่ เป็นนางกำนัลระดับสี่ทำงานทั่วไปที่ประตูตำหนักที่สองในตำหนักฝูชิง วันนี้บ่าวบังเอิญเห็นนางทำท่าทางลับๆ ล่อๆ อยู่ด้านนอก แอบพูดคุยกับคนๆ หนึ่งอยู่ บ่าวจึงแปลกใจแอบเดินไปดู เหนียงเหนียงเดาสิเพคะว่าคนๆ นั้นเป็นใคร”
“ใครรึ” ชูซย่ารีบถาม
“เสี่ยนชุนในตำหนักด้านข้างของตำหนักฉือหนิง เป็นสาวใช้ข้างกายที่แม่นางหันพาเข้าวังมาเพคะ!” ฉิงเสวี่ยเท้าเอว จิกตาใส่มั่นกู่
ชูซย่าขมวดคิ้วมองมั่นกู่ “เสี่ยนชุนมาถามอันใดเจ้ารึ”