ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 274.2 ตอนอวสาน (2)
มั่นกู่เอ่ยเสียงสั่นว่า “ไม่มีอันใดจริงๆ เพคะ หม่อมฉันสาบานได้ ต่อให้ฟ้าผ่าห้าครั้งก็ไม่กล้าทำเรื่องไม่ดีต่อเหนียงเหนียง เหนียงเหนียงโปรดสอบสวนให้ถี่ถ้วนด้วยเพคะ…”
ฉิงเสวี่ยหัวเราะเสียงเย็น “อย่าไปฟังนางเพคะ หม่อมฉันเพิ่งจะยึดกระเป๋าของนังสารเลวนี่ได้ แล้วก็หานางกำนัลที่พักอยู่กับนางมาถามแล้ว บอกว่าหมู่นี้ เวลานี้ในทุกๆ วัน มั่นกู่จะออกจากตำหนักฝูชิงไป เกรงว่าคงไปพบเสี่ยนชุนแน่ ดูท่าแล้ว จะไปหาเสี่ยนชุนนั่นไม่ต่ำกว่าครั้งเดียว! หากไม่มีแผนการชั่ว นังสารเลวอย่างเจ้าจะไปพบกับสาวใช้ของแม่นางถังทำไมบ่อยๆ”
อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยเสียงเรียบว่า “สำนึกผิดแล้วสามารถปรับปรุงตัวได้ รู้ว่าผิดก็แก้ไข หากเจ้ายอมรับเสียแต่โดยดี รู้ตัวว่าผิดไป ข้าก็ไม่ใช่คนเฆี่ยนตีใครให้ถึงตาย”
ชูซย่าจ้องมั่นกู่เขม็ง “จะไม่ยอมพูดจริงๆ รึ”
คนหนึ่งหน้าแดง คนหนึ่งหน้าดำ มั่นกู่จิตใจว้าวุ่นขึ้น เห็นชูซย่าส่งสายให้ขันทีคนนั้นอย่างโหดเหี้ยม เหงื่อเย็นก็ผุดซึมออกมา นางร้องห่มร้องไห้ในที่สุดก็ยอมรับว่า “หม่อมฉันไปพบเสี่ยนชุ่นมาหลายครั้ง เพราะฝ่าบาทเสด็จมาบรรทมที่ตำหนักฝูชิงทุกวัน เสี่ยนชุนให้หม่อมฉันช่วยจับตาดูการเคลื่อนไหวเข้าออกของฝ่าบาทเอาไว้ มาเมื่อใด กลับเมื่อใด ออกจากตำหนักฝูชิงแล้วไปที่ไหน ให้บอกนางไปให้หมด…บ้านเกิดหม่อมฉันประสบภัยแล้ง คนในครอบครัวรีบร้อนจะเอาเงิน โดนผลประโยชน์ของเสี่ยนชุนทำให้ล่อลวงเข้า เลอะเลือนไป ขอเหนียงเหนียงโปรดยกโทษให้ด้วยเพคะ! นอกจากนี้ หม่อมฉันก็ไม่ได้ปากมากเลย ยิ่งไม่กล้าทำเรื่องที่อันตรายต่อเหนียงเหนียง…”
มีแบบนี้ไหนกัน นึกไม่ถึงว่าจะกล้าจับตาดูฝ่าบาทไว้ โดนแต่งตั้งเป็นองค์หญิงใหญ่แล้วแท้ๆ ยังคิดวางแผนอีก ชูซย่าขบขัน จะต้องรนหาที่ตายให้ได้ นางหันกลับไปหา “เหนียงเหนียง หม่อมฉันจะไปทูลฝ่าบาทในการกระทำอันไม่เหมาะสมของแม่นางหันเดี๋ยวนี้”
อวิ๋นหว่านชิ่นครุ่นคิดไม่พูดไม่จา กระทั่งชูซย่าเอ่ยขึ้นมาแล้ว แม่นางถังผู้นี้ก็แค่การกระทำไม่เหมาะสมเท่านั้น ทูลรายงานไปจะมีโทษอะไรได้ สุดท้ายก็แค่จัดการแต่งงานให้ไวขึ้น ไล่นางออกจากวังหลวงไปเท่านั้น ตราบใดที่อี๋ซื่ออ๋องยังคงกุมอำนาจไว้ได้อยู่ นางก็จะมีพี่ชายคนนี้ให้พึ่งพิงอยู่ข้างกาย
“ใครก็ได้ ลากตัวมั่นกู่ไปตบหน้าห้าสิบครั้ง ทรมานบีบนิ้วไว้ครึ่งเค่อ” เสียงนุ่มลอยรอดไรฟันมา
มั่นกู่ตกใจ “เหตุใดยังจะโบยหม่อมฉันอยู่อีกเล่าเพคะ…เหนียงเหนียงบอกว่าขอแค่บอกมาแต่โดยดีก็จะอภัยให้หม่อมฉันมิใช่หรือ หม่อมฉันไม่ได้ไม่จงรักภักดีต่อเหนียงเหนียงนะเพคะ…หม่อมฉันจะไม่ไปสนใจเสี่ยนชุนอีกแล้ว! หม่อม…” ยังพูดไม่ทันจบก็โดนฉิงเสวี่ยกับขันทีคนนั้นหิ้วตัวขึ้นออกจากห้องไป
ชูซย่าถ่มน้ำลาย “สมน้ำหน้า ไม่ตีให้ตายก็นับว่าเหนียงเหนียงใจบุญแล้ว”
อวิ๋นหว่านชิ่นมองแผ่นหลังมั่นกู่คล้ายกำลังคิดบางอย่างอยู่ นางเรียกชูซย่าให้มาหากระซิบสั่งข้างหูไป
สวนในวังหลวง ราตรีดุจผืนม่านปกคลุมลงมา แผ่คลุมฟ้าดินจนมืดมิด
การประชุมในราชสำนักวันนี้เลิกไว ทว่ายังมีฎีกาบางส่วนที่ยังอ่านไม่จบ ซย่าโหวซื่อถิงมาตำหนักฝูชิงแต่เช้าเหมือนดังเก่า แล้วให้คนพาบัวลอยน้อยมาล่วงหน้าด้วย
พูดคุยสัพเพเหระเรื่องราชสำนักกับอวิ๋นหว่านชิ่นสองสามประโยค ฟ้าก็มืดแล้ว ทั้งสามร่วมมื้อค่ำด้วยกัน ซย่าโหวซื่อถิงอุ้มลูกชายไว้มือหนึ่ง เตรียมจะเข้าไปในห้องด้านใน สั่งนางกำนัลให้เอาฎีกาและเอกสารจากห้องหนังสือมาที่นี่เหมือนกับที่แล้วมา ทว่าเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยว่า “ท่านอ๋องเอาตำหนักฝูชิงเป็นสถานที่ทำงานทั้งวี่ทั้งวัน เหน็ดเหนื่อยอยู่เห็นๆ แต่คนที่ไม่รู้จะคิดว่าท่านลุ่มหลงในสตรี ไม่ทำการทำงาน”
เขาไม่สนใจคำนินทาครหาคนรอบข้างอยู่แล้ว ต่อให้กล้าพูด ก็ไม่กล้าให้ลอยมาเข้าหูตนหรอก มุมปากเขายกขึ้น “ทำไมรึ อยากจะไล่ข้ากลับรึ” เขาโอบเอวบางเข้ามาหา เลื่อนมือไปบนท้องนาง ลูบช้าๆ “เจ้าหักใจได้ แต่ลูกหักใจไม่ได้นะ ทุกคืนต้องอยู่ข้างๆ เขา วันนี้พ่อไม่อยู่ เกรงว่าจะไม่ชิน”
อย่าว่าแต่ในวังหลวง ต่อให้ในหมู่ชาวบ้าน หลังจากภรรยาตั้งครรภ์ สามีภรรยาก็จะรักษาระยะห่างกัน โดยเฉพาะสี่เดือนแรก ครรภ์ยังไม่นิ่งดี ส่วนใหญ่จะไม่ร่วมนอนในห้องเดียวกัน ต่อให้อยู่ในห้องเดียวกันก็จะนอนกันคนละเตียง คนอย่างเขากลับไม่สนใจกฎเกณฑ์อะไรพวกนี้ คอยตอแยจะนอนเตียงเดียวกันนางอยู่ทุกคืนวัน แต่ทุกคนยามหลับจะใส่ใจเป็นพิเศษ กลัวว่าไม่ทันระวังจะโดนนางเข้า ไม่กล้าโอบแน่น บางคืนดึกดื่นยังตื่นมาสองครั้งเพื่อห่มผ้าที่ไหลลงให้นาง
ท้องใหญ่ขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะนอนอย่างไรก็ไม่ค่อยสบายนัก จำต้องเปลี่ยนท่านอนตลอดทั้งคืน บางครั้งก็นอนกลับหัวกลับหางไปหมด มีหลายครั้งที่ตื่นเช้าขึ้นมานางพบว่าเตียงกว้างหลังหนึ่งถูกตัวเองยึดไปกว่าครึ่ง เขาที่ตัวสูงใหญ่โดนนางบีบบังคับให้ขดอยู่มุมหนึ่งอย่างน่าสงสาร จะขยับก็ขยับไม่ได้ ขาของนางยังพาดอยู่บนท้องน้อยเขาอีก
อวิ๋นหว่านชิ่นกลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อการนอนของเขา โน้มน้าวเขาว่าหากงานเยอะก็ให้ทำงานที่ห้องหนังสือให้เสร็จแล้วพักที่ตำหนักบรรทมไปเลย ทุกครั้งเขาก็จะพยักหน้ารับคำ พอวันรุ่งขึ้นกลับแอบมาหาเงียบๆ สุดท้าย อวิ๋นหว่านชิ่นจนปัญญา จึงปล่อยตามใจเขา
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้นางก็หน้าร้อนขึ้น ปล่อยให้เขาลูบท้องที่นูนขึ้นเบาๆ เห็นบัวลอยน้อยสนใจที่อื่นก็กระซิบเสียงเบาว่า “อย่างไรเสียยังมีเวลาอีกกว่าครึ่งเดือนก็นิ่งแล้ว ผ่านช่วงนี้ไป ท่านค่อยมาเถิด คนอื่นไม่กล้าว่าท่าน แต่คงว่าข้ามันปีศาจจิ้งจอกล่อลวงคน ท้องมาหลายเดือนแล้วยังตอแยท่านไม่ปล่อย กระทั่งความปลอดภัยของทายาทยังไม่สนใจ ไม่รู้ความเลยสักนิด ก่อนหน้านี้ไปถวายพระพรที่ตำหนักฉือหนิง ไทฮองไทเฮาก็แอบบอกเป็นนัยๆ กับข้ามาสองสามคำแล้ว”
เขาเห็นดวงตานางขยับไหว ขนตายาวกะพริบ ยิ้มบางปัดแก้มกลมชุ่มชื่นเล็กน้อยแต่ขาวเนียนมีเสน่ห์มากกว่าของนาง “จิ้งจอกล่อลวงคนรึ ดียิ่ง ข้าชอบคำครหานี้”
นางไม่พอใจอยู่ครู่หนึ่ง สะบัดมือแผ่วเบาของเขา เขาหัวเราะขึ้น แต่นางก็พูดถูก ตนนั้นไม่เป็นไรหรอก แต่ไม่อาจให้ใครมาครหานางได้ ยิ่งไปกว่านั้นผ่านช่วงนี้ไป ยังต้องแย่งชิงเรื่องใหญ่ให้แก่นาง ยามนี้ไม่อาจทำลายชื่อเสียงของนางได้ เขาโอบเอวนางไว้ มือลูบไล้ลงด้านล่าง ตีเบาๆ ครั้งหนึ่ง ขยับไปข้างหูนาง “ตามใจเจ้า ระยะนี้จะปล่อยเจ้าไป ไม่พักที่ตำหนักฝูชิงแล้ว จะอยู่เป็นเพื่อนเจ้ากับลูกในทุกๆ คืนครู่หนึ่ง แล้วข้าจะไปพักและทำงานที่เรือนเหวินฮุยด้านข้างตำหนักฝูชิงก็แล้วกัน” แม้จะบอกว่าไม่พักที่ตำหนักฝูชิง แต่ก็ไม่อาจห่างไปไกลได้
ศีรษะน้อยๆ ของบัวลอยน้อยหันมาหา คล้ายเห็นการกระทำเล็กๆ นั้น ใบหน้าเล็กๆ ไม่พอใจมาก เขาเท้าเอว พึมพำเสียงขุ่นว่า “ข้าจะโกรธจริงๆ แล้วนะ!”
เห็นกับตาตัวเองหลายครั้งเข้า บัวลอยน้อยก็รู้สึกได้ลางๆ ว่าเสด็จพ่อตีก้นเสด็จแม่ เหมือนไม่ใช่การลงโทษ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องดีๆ อะไรเหมือนกัน
ครั้งนั้นเห็นแก่เล่น การบ้านที่ท่านอาจารย์เฝิงสั่งก็ไม่ได้ทำ วันรุ่งขึ้นโดนท่านอาจารย์เฝิงลงโทษอย่างเด็ดขาดตีก้นเขาทีหนึ่ง เจ็บไปหลายวัน บัวลอยน้อยบอกเสด็จพ่อ หมายจะให้เสด็จพ่อออกหน้าให้ตน แต่เสด็จพ่อกลับไปบอกกับอาจารย์เฝิงว่าทำถูกแล้ว ยิ่งเข้มงวดก็ยิ่งดี กระทั่งการบ้านก็ยังกล้าลืม ภายหน้าทำอะไรเกรงว่าจะชักช้าโอ้เอ้ บั้นท้ายเนื้อตายไม่เจ็บหรอก ครั้งหน้าตีมือดีกว่า!
บัวลอยน้อยร้องไห้ไปฟ้องท่านแม่ ยามปกติท่านแม่ล้วนปกป้องเขา เสด็จพ่อพูดกับเขาดุขึ้นหน่อย ท่านแม่ก็จะถลึงตาใส่เสด็จพ่อ ทว่าเรื่องนี้กลับยืนอยู่ฝ่ายเดียวกันกับเสด็จพ่อ ซ้ำยังบอกเขาอีกว่าภายหน้าเขาอาจจะต้องทำเรื่องราวมากมาย และเรื่องเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับชีวิตและความผาสุกของคนมากมาย หากยามนี้เกียจคร้านโอ้เอ้ ต่อไปคนเหล่านั้นจะพึ่งพาเขาได้อย่างไร
บัวลอยน้อยเกาหัวอยู่นานก็ไม่รู้ว่าเหตุใดคนพวกนั้นจะต้องมาพึ่งพาเขาด้วย ตัวเองไม่มีพ่อแม่หรือไร เหตุใดต้องมาพึ่งเขาล่ะ แต่ก็ยังฉลาด ไม่กล้าฟ้องอีกเลย