ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 274.3 ตอนอวสาน (3)
สรุปแล้วก็คือ ตีก้นไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ เขาไม่ชอบให้เสด็จพ่อทำท่านแม่แบบนี้!
อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องซย่าโหวซื่อถิงด้วยความไม่พอใจ เขากระอักกระอ่วนเล็กน้อย เด็กคนนี้ ยิ่งโตก็ยิ่งไม่มีกฎมีเกณฑ์ขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ขอแค่เขาอยู่ด้วย ตนก็จะไม่อาจทำอะไรมารดาเขาได้ จึงเอ่ยอย่างลวกๆ ว่า “เอาล่ะๆ ไม่ตีแล้ว”
บัวลอยน้อยกลับไม่เชื่อคำพูดของเสด็จพ่อ ตรงกันข้าม ใบหน้ารูปไข่นุ่มนิ่มน้อยๆ โมโหจนแดงก่ำ บังคับให้เสด็จพ่อรับปาก “นอกจากไม่ตีก้นแล้ว เสด็จพ่อก็อย่ากัดปากเสด็จแม่อีกด้วย”
ทั้งสองนิ่งอึ้ง สีหน้าแดงเห่อ กว่าจะหลุดจากความตกใจหันหน้ามาได้ อวิ๋นหว่านชิ่นก็เอ่ยตะกุกตะกักว่า “จะ…เจ้าตาฝาดแล้วกระมัง”
“ไม่เลย มีสองครั้งข้าอ่านหนังสืออยู่ข้างนอกเงียบๆ เสด็จพ่อมาหา ก็เข้าไปในตำหนักกับท่านแม่ ข้าแอบเลิกม่านขึ้นดู เห็นหมดแล้ว! ท่านแม่ร้องออกมาแล้ว เสด็จพ่อยังกัดอยู่นั่นแหละ!” บัวลอยน้อยโมโหโกรธา
แม้บัวลอยน้อยจะมีสำนักลูกยาเธอ แต่ทุกวันยังคงมาที่ตำหนักฝูชิงอยู่ โดยเฉพาะการเริ่มเรียนรู้ อวิ๋นหว่านชิ่นอยากควบคุมดูแลเขาด้วยตัวเอง ให้บัวลอยน้อยยิ่งขยัน บางครั้งให้เขาคัดอักษรอยู่ข้างโต๊ะหนังสือที่ห้องด้านใน ตนก็จะดูอยู่ข้างๆ มีหลายครั้งที่ซย่าโหวซื่อถิงเลิกประชุมเสร็จก็มาหา พูดคุยกับนางด้านใน คุยไปคุยมาก็เลี่ยงความบันเทิงในห้องหอมิได้ โดยเฉพาะหลายเดือนนี้ที่ตั้งครรภ์ ทำอย่างอื่นมิได้ การกระทำใกล้ชิดสนิทสนมเช่นนี้จึงยิ่งมีมากกว่าเดิม…
ไหนเลยจะรู้ว่าโดนลูกชายมาเห็นเข้าแล้ว
บัวลอยน้อยกำลังอยู่ในช่วงวัยวิ่งเล่นไปทั่วพอดี นั่งไม่อยู่นิ่งได้เลยสักวินาทีเดียว อย่าว่าแต่ตำหนักฝูชิงของท่านแม่เขาเลย วิ่งไปทั่วทุกซอกทุกมุมของวังหลวงแล้ว
เด็กน้อยคนหนึ่ง ตัวเตี้ย ฝีเท้าสั้น ห้ามไม่หวาดไม่ไหว เดินไปไหนก็ไม่มีใครกล้าขวาง วิ่งนอกออกใน จะไปพบไปเห็นสิ่งที่ไม่เหมาะสำหรับเด็กก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
หากไม่เป็นเพราะเขา ตนไหนเลยจะสามารถขายหน้าต่อหน้าลูกได้! อวิ๋นหว่านชิ่นทนอยู่ไม่ได้แล้ว เดินเข้าไปก่อน
ซย่าโหวซื่อถิงสูดหายใจปิดปากบัวลอยน้อย อุ้มไว้แน่นแล้วจึงได้ตามเข้าไป
ฟากฟ้าราตรีสงัดขึ้น สวนในวังเงียบสงบ
ภายใต้แสงจันทร์ มีเงาร่างสองร่างสะท้อนอยู่บนพื้น เลียบไปตามกำแพงอิฐแดง หลบหลีกองครักษ์และนางกำนัลขันทีที่ลาดตะเวนยามวิกาลอย่างระมัดระวัง เดินไปถึงเรือนเหวินฮุยที่ห่างกับตำหนักฝูชิงแค่กำแพงคั่น
ภายในตำหนักของเรือนเหวินฮุยมีแสงไฟส่องริบหรี่ เห็นได้ชัดว่ามีคนอยู่
ด้านหลังต้นสนเก่าแก่ขนาดสี่ห้าคนโอบต้นหนึ่ง ดวงตาสองข้างของถังอู๋โยวขยับไหว น้ำเสียงสั่นเล็กน้อยจากความตื่นเต้น “เสี่ยนชุน ยามนี้ฝ่าบาททรงพักอยู่ที่เรือนเหวินฮุยข้างตำหนักฝูชิงทุกค่ำคืนจริงๆ รึ”
“ได้ยินมั่นกู่บอกมาแบบนี้เจ้าค่ะ” สตรีข้างกายเอ่ย “หลายวันมานี้ฝ่าบาทมิได้ไปพักที่ตำหนักฝูชิงแล้ว ดูเหมือนว่าไทฮองไทเฮาจะเคยเตือนหวงกุ้ยเฟยไป บอกว่าต้องเอาใจใส่ทายาทให้มากๆ ตัวติดกันทั้งวันทั้งคืนเช่นนี้เกรงว่าจะไม่ดีต่อครรภ์ ฝ่าบาทคงกลัวหวงกุ้ยเฟยจะโดนตำหนิ จึงไม่เสด็จไปชั่วคราวตามประสงค์ของไทฮองไทเฮา จะไปเสวยมื้อค่ำกับหวงกุ้ยเฟยทุกวัน นั่งที่ตำหนักฝูชิงสักพักก็ไปสะสางราชกิจที่เรือนเหวินฮุยด้านข้าง จากนั้นก็เข้าบรรทมเจ้าค่ะ”
唐无忧一疑:“曼容主动说的?你不是说她每次都是问一句答一句,不敢说太多皇上的事儿,怕得罪了云氏么?”
ถังอู๋โยวฉงน “มั่นกู่บอกมาเองเลยหรือ เจ้าบอกว่านางถามคำตอบคำทุกครั้ง ไม่กล้าเล่าเรื่องของฝ่าบาทมาก เพราะกลัวจะล่วงเกินแม่นางอวิ๋นนั่นมิใช่หรือไร”
“เดิมทีมั่นกู่ก็ลังเลอยู่ไม่น้อย ก่อนหน้านี้บ่าวแอบไปพบนาง เห็นนางมือบวมหน้าช้ำ พอเอ่ยปากกับบ่าวก็ร้องห่มร้องไห้เอ่ยฟ้อง จึงได้รู้ว่าวันนั้นนางทำเรื่องผิดเข้า โดนหวงกุ้ยเฟยให้คนตบหน้าและบีบนิ้ว เจ็บจนแทบจะตายไป สุดท้ายยังโดนไล่มาทำงานเบ็ดเตล็ดด้านนอกตำหนัก เรียกได้ว่าหมดอนาคตแล้ว คงจะโกรธแค้นหวงกุ้ยเฟยไม่น้อย จึงได้ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว มาอาศัยพวกเราแก้แค้นหวงกุ้ยเฟยนั่น” เสี่ยนชุนตอบ
ถังอู๋โยวมุมปากแย้มเป็นรอยยิ้ม “เรียกได้ว่าเด็กคนนี้ฉลาด รู้จักเป็นนกที่ดีเลือกกิ่งไม้พักนอน พรุ่งนี้เจ้าไปรายงานไทฮองไทเฮาว่า ข้าพักที่ตำหนักฉือหนิงนานเกินไปแล้ว คิดถึงพี่ชาย ทูลขอออกจากวังไปจวนซื่ออ๋อง เพื่อพบหน้าพี่ชายสักหน่อย”
“เจ้าค่ะ” เสี่ยนชุนเอ่ย
ถังอู๋โยวหันกลับมาจ้องเรือนเหวินฮุยอยู่พักหนึ่ง ฝ่ามือกำแน่น ตนไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว จำต้องอาศัยวิธีนี้เท่านั้น
ขอแค่สำเร็จ ตำแหน่งท่านอาอะไรนั่น…ล้วนไม่ใช่อุปสรรคใด
เนื่องจากเฉินจื่อหลิงใกล้จะต้องแต่งเข้าจวนซื่ออ๋อง อวิ๋นหว่านชิ่นจึงอยากออกจากวังไปเยี่ยมที่จวนแม่ทัพด้วยตัวเองสักหน ถือโอกาสได้กลับไปเยี่ยมน้องชายที่จวนสกุลอวิ๋นด้วยเลย
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นนางตั้งท้องหกเดือนแล้ว เดิมทีจะเรียกตัวทั้งสองคนให้เข้าวังมาก็สิ้นเรื่อง แต่รู้ดีว่านางนอกจากไปเยี่ยมสองคนนี้แล้ว ยังอยากจะออกจากวังไปกินลมชมทิวทัศน์หน่อย จึงให้เหยากวงเหย้ามาจับชีพจร เห็นร่างกายนางมั่นคงดี จึงให้ฉีไหวเอินเตรียมรถม้า องครักษ์ พัด ร่มให้พร้อม ส่งนางออกจากวังไปจวนสกุลอวิ๋นและจวนแม่ทัพ
แม้จะปล่อยนางออกจากวังไป แต่กลัวว่าร่างกายนางจะรับไม่ไหว ซย่าโหวซื่อถิงสั่งแล้วสั่งอีกว่าให้เวลาแค่ครึ่งวันเท่านั้น เที่ยงตรงยังไม่กลับวังจะส่งคนไปเชิญ
อวิ๋นหว่านชิ่นไปเยี่ยมน้องชายที่บ้านก่อน แล้วค่อยไปพูดคุยกับเฉินจื่อหลิงที่จวนแม่ทัพ เห็นนางคล้ายปลงตก กะว่าจะอยู่เป็นเพื่อนนางให้นานหน่อย คนจากวังเห็นตะวันค่อยๆ สูงขึ้น นึกถึงคำสั่งของฝ่าบาท ก็เร่งอยู่นอกหน้าต่างกันไม่หยุด เฉินจื่อหลิงรู้ดีว่าฝ่าบาทเป็นห่วง ให้นางกลับวัง แล้วเบ้ปากเอ่ยว่า “ก็แค่แต่งงานเท่านั้นเองมิใช่หรือ มีอันใดให้กลัวกัน หรือมันน่าตกใจกว่าความตายรึ เขากล้าทำกับข้าเหมือนก่อนหน้านี้ที่ทำกับสตรีเหล่านั้น ข้ากับครอบครัวใหญ่สกุลเฉินของข้าจะทำให้เขาได้เจอบทเรียนที่น่าดูเลย ข้ายังมีเจ้าคอยหนุนหลังให้ข้าอยู่อีกมิใช่หรือ! ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยววันหลังข้าค่อยเข้าวังไปหาเจ้าเอง”
สิ่งที่อวิ๋นหว่านชิ่นชื่นชมที่สุดของเฉินจื่อหลิงก็คือใจกว้าง ไม่ว่าทหารจะมาขวาง น้ำหลากดินถล่ม ได้ยินนางพูดเองเช่นนี้ก็วางใจลงมากแล้ว
พอออกมาจากห้องนอนของเฉินจื่อหลิง ครอบครัวสกุลเฉินน้อมส่งหวงกุ้ยเฟยออกจากจวนไป อวิ๋นหว่านชิ่นก็ขึ้นเกี้ยวกลับวังหลวง ใกล้จะถึงประตูตะวันตกเฉียงใต้ที่เป็นทางเข้าออกของบรรดาสตรี ขบวนก็หยุดลง
“ทำไมหรือ” ชูซย่าเลิกม่านขึ้น
เจ้าหน้าที่ที่เดินนำอยู่ด้านหน้าวิ่งไปดูพักหนึ่ง แล้วกลับมารายงานว่า “ทูลหวงกุ้ยเฟย คุณหนูถังตำหนักฉือหนิงก็ออกจากวังเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้เพิ่งจะกลับมาจากจวนซื่ออ๋อง อยู่ข้างหน้าเราพอดี กำลังจะเข้าประตูเจิ้งหยางไปเช่นกัน กระหม่อมไปบอกองครักษ์ที่เข้าเวรแล้ว ให้สั่งให้พวกเขาหลบไปด้านข้าง ให้หวงกุ้ยเฟยเข้ามาก่อน”
ชูซย่าส่งเสียงอืมคำหนึ่ง ปล่อยม่านลงแล้วกลับไปในเกี้ยว
ทว่าองครักษ์ประตูตะวันตกเฉียงใต้เห็นขบวนของหวงกุ้ยเฟยก็กลับวังมาเช่นกัน ทหารรักษาพระองค์คนหนึ่งใบหน้าคร้ามแดด อายุราวๆ สี่สิบเดินขึงขังไปเบื้องหน้าเกี้ยวของถังอู๋โยว เอ่ยอย่างเคารพว่า “ขบวนของหวงกุ้ยเฟยกลับวังมาแล้ว ขบวนขององค์หญิงใหญ่เซิ่นอี๋โปรดหลบเกี้ยวให้ก่อน รอหวงกุ้ยเฟยเข้าไปแล้ว องค์หญิงใหญ่ค่อยเข้าไป”
ถังอู๋โยวก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะเจอนางเข้าพอดี ซ้ำยังเจอตอนเข้าประตูพร้อมกันอีก ต้องหลีกทางให้ไม่พอ ยังต้องลงจากเกี้ยวไปถวายคำนับนางด้วย จิตใจก็เย็นเยียบขึ้น
ทว่าใครให้นางเป็นหวงกุ้ยเฟยเล่า หากองค์หญิงใหญ่กับหวงกุ้ยเฟยเจอกัน ตามหลักการแล้ว ควรจะเป็นองค์หญิงใหญ่ที่ตำแหน่งสูงกว่า อย่างไรเสียก็เป็นผู้อาวุโส ต่อให้หลบก็ควรเป็นหวงกุ้ยเฟยที่ต้องหลบ แต่ในความเป็นจริง องค์หญิงใหญ่เป็นอะไรล่ะ เป็นธิดาของฮ่องเต้ที่สวรรคตไปแล้ว หวงกุ้ยเฟยกลับเป็นคนที่คลอดโอรสธิดาให้กับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ทั้งยังดูแลจัดการวังหลังด้วย ในสายตาของคนอื่น ใครสูงกว่า ไม่ต้องบอกก็รู้
ที่สำคัญกว่านั้นคือ องค์หญิงใหญ่อย่างตนยังต่ำต้อย เป็นแค่ธิดาบุญธรรมที่ไทฮองไทเฮารับเลี้ยงเพราะเห็นแก่หน้าขุนนางที่มีคุณูปการเท่านั้น
ธิดาบุญธรรมคืออะไร ก็คือคนเขาเห็นเจ้าเป็นคนๆ หนึ่ง ก็นับว่าเจ้าเป็นลูกสาวนาง คนเขาพลิกกับไม่เห็นหัวเจ้าแล้ว แค่ลมที่ผายออกมาเจ้าก็ยังเป็นไม่ได้ ตำแหน่งนี้ อย่างไรเสียก็ว่างเปล่าจอมปลอม นางที่เป็นหวงกุ้ยเฟยต่างหากที่เป็นของจริง