ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 274.4 ตอนอวสาน (4)
ถังอู๋โยวไม่พอใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ แขนเสื้อลื่นลง บีบบางอย่างที่อยู่ในกระเป๋าแขนเสื้อไว้ อารมณ์จึงได้ผ่อนคลายและเกิดความหวังขึ้นมาไม่น้อย พอเปิดม่านขึ้น ก็เอ่ยเสียงแหลมว่า “หลีกทาง ให้หวงกุ้ยเฟยเสด็จก่อน!” นางลงจากเกี้ยวโดยมีเสี่ยนชุนพยุงไว้ ค่อยๆ เดินไปบนทางด้านข้าง เพราะก่อนหน้านี้ฝนตกปรอยๆ ยามดึก ถนนจึงลื่น เดินไปไม่กี่ก้าวน้ำก็กระเด็นใส่จนรองเท้าและชายากระโปรงเปื้อน
คิ้วงามขมวดมุ่น ก่นด่าเบาๆ คำหนึ่ง หลังจากยืนมั่นแล้ว ขบวนด้านหลังจึงเคลื่อนมาช้าๆ
ลมโชยมาพัดเลิกม่านหน้าต่างของเกี้ยวขึ้น เผยให้เห็นเงาร่างในเกี้ยว สาวงามเค้าหน้ามงคลและสงบนิ่งนั่งอยู่บนที่นั่งปูรองด้วยไหมอันอ่อนนุ่ม ท้องนูนออกมาเล็กน้อย เคลื่อนผ่านไป องครักษ์หลบออกสองฝั่ง สายตานับร้อยนับพันรวมอยู่บนร่างนางคนเดียว
ถังอู๋โยวไม่เห็นยังพอทำเนา พอได้เห็นแล้วก็ไม่พอใจขึ้นมาอีกระลอก นางนั่งอยู่บนเกี้ยวอย่างสูงส่ง ตนกลับอเนจอนาถอยู่ด้านข้าง จะไม่พูดถึงด้านนอกในยามนี้ หลายปีก่อน นางเป็นแค่คุณหนูคนหนึ่งที่ไม่ได้รับความรักจากตระกูลรองเจ้ากรมเท่านั้น ตนกลับเป็นท่านหญิงผู้สูงส่งที่ได้รับความรักใคร่เอ็นดูอยู่ทุกวี่วัน!
ถังอู๋โยวคิดพลางมือกำเป็นหมัดแน่น แผ่นหลังมีเหงื่อร้อนผุดซึมออกมาเนื่องจากความโกรธแค้น
ทหารรักษาพระองค์วัยแก่ชราที่เชิญตนลงจากเกี้ยวเมื่อครู่เห็นชายกระโปรงและรองเท้าของถังอู๋โยวโดนฝนจนสกปรก ยามนี้สีหน้ายังบูดบึ้ง ท่าทางคล้ายโกรธมาก กลัวว่าจะไปล่วงเกินธิดาบุญธรรมคนใหม่ของไทฮองไทเฮาเข้า จึงเดินเข้าไปหา ล้วงผ้าเช็ดหน้าที่ยังเรียกได้ว่าสะอาดออกมา เอ่ยอย่างเคารพว่า “ขอเช็ดรองเท้าให้องค์หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”
ถังอู๋โยวเดิมทีก็อารมณ์เสียมากอยู่แล้ว พอเงยหน้าไปเห็นทหารเฒ่าหน้าคร้ามแดดแย้มยิ้ม เผยให้เห็นฟันเหลืองเต็มปาก ตีนกาเต็มหน้าขึ้นเป็นริ้วหมดแล้ว แล้วมองไปที่ผ้าในมือเขาที่ไม่รู้ว่าเช็ดอะไรมาบ้างแล้ว สีหน้าก็เขียวคล้ำขึ้น ตวาดว่า “ไสหัวไป! ผ้าของเจ้า นึกไม่ถึงว่าจะกล้าเอาเช็ดรองเท้าข้า”
ทหารรักษาพระองค์ไหนเลยจะรู้ว่าสตรีชั้นสูงที่ดูๆ ไปอ้อนแอ้นบอบบางจะขี้โมโหเพียงนี้ ไม่สนใจจะประจบเอาใจ กำลังจะถอยไปสองก้าว ใครจะไปคิดว่ากำลังตระหนกอยู่ เหยียบน้ำฝนบนพื้นเข้า เท้าจึงลื่นพรืด โซเซอยู่พักหนึ่ง โชคดีที่ยืนได้มั่น ไม่ได้ไปชนถังอู๋โยวเข้า
เดิมทีเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว แต่ถังอู๋โยวเห็นขบวนหวงกุ้ยเฟยผ่านไป คนในเกี้ยวปรายตามามองแวบหนึ่งอย่างเนิบช้า ในแววตาเต็มไปด้วยความเวทนา สีหน้านางจึงแดงก่ำ ฝ่ามือยกขึ้นฟาดใส่ทหารชราคนนั้น ถือโอกาสแสดงอำนาจออกมา “สุนัขรับใช้!”
ทว่าทหารชราคนนั้นร้องโอดโอยขึ้น ที่แท้แล้วแหวนหยกบนนิ้วของสตรีนางนั้นมุมแหลมไปเกี่ยวโดนเนื้อแก้มของเขา ถลอกไปหลายชุ่น[1] ทันใดนั้นเลือดก็ไหลซึมออกมา อนาถจนดูไม่ได้ เสียโฉมไป แต่ทหารชราคนนั้นไหนเลยจะกล้าร้องเจ็บ เขาคุกเข่าลง โขกหัวกับน้ำฝนที่ขังกับพื้นไม่หยุด “องค์หญิงใหญ่ เป็นข้าน้อยไม่ทันระวัง เท้าลื่น ขอองค์หญิงโปรดระงับโทษด้วย ขอองค์หญิงโปรดระงับโทษด้วย…”
ถังอู๋โยวเดือดดาลยากระงับ ไหนเลยจะยอมง่ายๆ ความโกรธที่ได้รับจากอวิ๋นหว่านชิ่น ยามนี้ล้วนระเบิดออกมาทั้งหมด ทำอะไรหวงกุ้ยเฟยไม่ได้ แต่ทหารเฝ้าประตูคนหนึ่ง นางที่เป็นองค์หญิงใหญ่และลูกพี่ลูกน้องหญิงของอี๋ซื่ออ๋องจะทำอะไรเขาไม่ได้หรือไร
ในขณะที่นางกำลังจะให้เสี่ยนชุนเข้าไปเตะสองสามที กลับเห็นเกี้ยวหยุดลง ชูซย่าเลิกม่านขึ้น
ชูซย่าเห็นใบหน้าของทหารคนนั้นเต็มไปด้วยเลือด “เหตุใดจึงสะเพร่าเช่นนี้”
ทหารคนนั้นเห็นกระทั่งหวงกุ้ยเฟยก็โดนรบกวนเข้าแล้ว จึงยิ่งตระหนกกว่าเดิม โขกหัวเหมือนตำกระเทียม แทบจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ “ฝนตกถนนลื่น กระหม่อมจะใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดรองเท้าให้องค์หญิงใหญ่ ไม่ทันระวังทำผิดพลาดไป ขอหวงกุ้ยเฟยโปรดลงโทษด้วย!”
อวิ๋นหว่านชิ่นพินิจมองทหารเฝ้าประตูนายนั้นอย่างละเอียด “พิษบนเล็บอานุภาพร้ายกาจที่สุด พอโดนข่วนไป หากไม่จัดการให้ดี ต่อให้ไม่เป็นไร แต่ก็คงเสียโฉม เกรงว่าภรรยาคงได้รังเกียจเจ้าแย่แน่ ช่างเถิด รีบไปทายาเสีย ต่อให้มีความผิด แต่เจ้าบาดเจ็บขนาดนี้แล้ว ก็ลบล้างไปได้”
ประโยคนี้จบลง ก็นับว่าคลายบรรยากาศลง ทำให้บรรดาทหารรักษาพระองค์ที่เฝ้าประตูต่างลดความตระหนกลง รู้แต่แรกแล้วว่าหวงกุ้ยเฟยจะแตกต่างจากตอนเป็นพระชายา แต่ไม่คิดเลยว่าหวงกุ้ยเฟยจะเข้าอกเข้าใจคนเช่นนี้
ทหารชราคนนั้นซาบซึ้งใจอย่างหาที่สุดมิได้ ไม่กล้ามองคนงามในเกี้ยวตรงๆ โขกหัวเอ่ยว่า “ขอบพระทัยหวงกุ้ยเฟยที่ทรงห่วงใยพ่ะย่ะค่ะ ครอบครัวกระหม่อมยากจนข้นแค้น คุณสมบัติไม่ดี จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้แต่งงาน กว่าจะมาเป็นคนเฝ้าประตูเขตพระราชฐานได้ กลับคิดไม่ถึงว่าเกือบจะทำให้ขบวนองค์หญิงใหญ่ไม่พอใจเข้า โชคดีที่หวงกุ้ยเฟยพระทัยกว้างขวาง!”
ขอบพระทัยหวงกุ้ยเฟยที่พระทัยกว้างขวางอะไรกัน ตาเฒ่าอัปลักษณ์นี่ล่วงเกินตนต่างหาก เป็นตนที่เดือดดาลยกใหญ่ นางจิตใจกว้างขวางแล้วอย่างไร นางกลับรู้จักยืมดอกไม้ถวายพระ ใช้ตนมารวบรวมจิตใจผู้คน! ถังอู๋โยวโมโหจนลมออกหู แต่ได้ยินเสียงนางลอยมาว่า “องค์หญิงใหญ่เป็นคนใหญ่คนโตจิตใจกว้างขวาง จะต้องไม่ถือสาหาความแน่” พูดจบก็เอียงคอมองถังอู๋โยว “ใช่หรือไม่ องค์หญิงใหญ่”
ความโกรธเกรี้ยวถังอู๋โยวโดนนางข่มเอาไว้ ในอกมีแต่ความไม่พอใจเคลื่อนวนอยู่ แต่ไม่สะดวกจะพูดอะไรอีก
ม่านเกี้ยวตกลง ขบวนเคลื่อนเข้าวังหลวงไปอย่างเอิกเกริก ฟันนางกัดกระทบกันดังกึดๆ
เข้าสู่ยามราตรี วังหลวงทุกหนแห่งเงียบงันขึ้น
ถังอู๋โยวพาเสี่ยนชุนมายังเรือนเหวินฮุย เหลือบมองห้องด้านในกำแพงอย่างเงียบๆ
“แน่ใจหรือว่าวันนี้ฝ่าบาทก็อยู่ด้านใน” มือนางลูบอยู่ในแขนเสื้อ ดวงใจราวกับจะกระดอนออกมา แม้ว่าจะถามเสี่ยนชุนแต่กลับมั่นใจอยู่แล้ว นอกจากฝ่าบาทแล้วจะยังมีใครอยู่ได้อีก
“เจ้าค่ะ ข้าถามมั่นกู่มาโดยเฉพาะ วันนี้ฝ่าบาทอยู่เจ้าค่ะ” เสี่ยนชุนเอ่ยเสียงเบา “อีกเดี๋ยวมั่นกู่ก็มาด้วยเจ้าค่ะ”
ราตรีค่อยๆ ดึกสงัดขึ้น ไม่รู้เหมือนกันว่าถึงยามใดเวลาไหนแล้ว เสี่ยนชุนง่วงงุน ทว่าสตรีข้างกายกลับมีชีวิตชีวาขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาสองข้างเป็นประกายระยับ ในที่สุด แสงไฟในเรือนเหวินฮุยก็กระพริบไหว ค่อยๆ หรี่แสงลงมามาก
คนด้านในน่าจะดับไฟนอนแล้ว
เพียงไม่นาน เงาร่างเล็กอ้อนแอ้นสาวเท้ามาท่ามกลางราตรี สบตากับเสี่ยนชุนแวบหนึ่ง แล้วก้มหน้าพูดกับถังอู๋โยวว่า “บ่าวมั่นกู่เป็นสาวใช้ตำหนักฝูชิง ถวายคำนับองค์หญิงใหญ่ ฝ่าบาทกำลังทรงงานที่เรือนเหวินฮุย สงบเงียบยิ่ง ยามปกติลานตำหนักมีนางกำนัลแค่สองสามคนอยู่ ยามนี้เป็นตอนเปลี่ยนกะกันพอดี คงมีอยู่แค่คนเดียว หละหลวมแล้ว โปรดรีบตามบ่าวเข้าไปเถิดเพคะ”
อาศัยแสงจันทร์ ถังอู๋โยวเห็นใบหน้าของมั่นกู่นั่นบาดแผลที่โดนตบยังไม่หายไปหมด ในใจก็สบาย ให้เสี่ยนชุนปล่อยข่าวอยู่ด้านนอก ส่วนตนเข้าไปในประตูมุมเล็กๆ ของเรือนเหวินฮุยกับนาง
ภายในลานตำหนัก มีอยู่แค่คนเดียวดังคาด มั่นกู่เดินไปพูดคุยสัพเพเหระสองสามคำก็ล่อนางกำนัลคนนั้นไปอีกด้าน จากนั้นก็นำถังอู๋โยวมายังเรือนหลัก ผลักประตูเปิดออก ส่งสัญญาณให้เข้าไปได้
ถังอู๋โยวกำลังจะก้าวเข้าไป แต่เห็นมั่นกู่ดึงตนไว้ กระซิบเตือนว่า “ในเมื่อฝ่าบาทบรรทมไปแล้ว หลังจากองค์หญิงใหญ่เข้าไปก็อย่าได้จุดไฟ มิฉะนั้นอีกเดี๋ยวนางกำนัลเห็นเข้าต้องสงสัยแล้วเข้ามาแน่”
ต่อให้มั่นกู่ไม่บอก ถังอู๋โยวก็รู้ แต่เห็นนางลังเลครู่หนึ่ง เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “วันนี้บ่าวช่วยองค์หญิงใหญ่แล้ว หากโดนหวงกุ้ยเฟยรู้เข้า เกรงว่ากระทั่งชีวิตก็คงจะรักษาไว้ไม่ได้ ถึงเวลานั้นองค์หญิงใหญ่ต้องช่วยบ่าวนะเพคะ”
ถังอู๋โยวได้ยินเอ่ยเช่นนี้ก็รู้ว่ามั่นกู่ได้แตกหักกันกับหวงกุ้ยเฟยไปแล้ว หากเรื่องนี้สำเร็จ คาดว่าก็คงต้องพึ่งนางเป็นพยาน จึงตบมือนางเบาๆ “เจ้าวางใจ เจ้าช่วยข้าเช่นนี้ ข้าจะไม่ช่วยเจ้าได้อย่างไร”
มั่นกู่พรูลมออกมา “หากครั้งนี้สำเร็จ ก็นับว่าบ่าวสร้างคุณงามความดีอันใหญ่หลวงให้แก่องค์หญิงใหญ่ทีเดียว…” พูดพลางดวงตากลอกกลิ้งไปมา เหลือบมองหยกพกที่ผูกเอวเป็นพู่ห้อยสีแดงของถังอู๋โยว
——————————
[1] ชุ่น (หน่วยวัดของจีน) นิ้ว