ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 275.1 ชีวิตชนบทอันโกลาหลวุ่นวาย (1)
อี๋ซื่ออ๋องมองสตรีตรงหน้านิ่ง ครึ่งชีวิตในกองทัพ กลับเห็นน้องสาวที่กว่าจะปั้นแต่งออกมาได้ยังไม่ทันได้จับชายผ้าคลุมมังกรก็โดนนางทำลายไปแล้ว หากจิตใจไม่โกรธเกรี้ยวนั้นเป็นไปไม่ได้ เนิ่นนานทีเดียว จึงได้ขานรับเสียงขุ่นว่า “หวงกุ้ยเฟย”
“อี๋ซื่ออ๋องจะเข้าเฝ้าฝ่าบาทหรือ” อวิ๋นหว่านชิ่นยังคงแย้มยิ้มกว้าง ราวกับพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ
อี๋ซื่ออ๋องไม่ได้เอ่ยคำใด
อวิ๋นหว่านชิ่นค่อยๆ เดินผ่านเขาไปช้าๆ คำพูดลอยออกจากเรียวปากงาม เตือนว่า “หากข้าเป็นอี๋ซื่ออ๋องจะหยุดแต่เพียงเท่านี้ ก็แค่แม่นางถังคนเดียว จะไปเทียบกับอันใดได้”
รถม้าเคลื่อนกุบกับเลียบไปตามชนบท ยามมาถึงบ้านบรรพบุรุษในหมู่บ้านซิ่วสุ่ยที่ไท่โจวแล้ว ถงฮูหยินก็เดินตามลูกชายคนโตกับหวงน้าสี่ที่พาบรรดาลูกสาวลูกชายรออยู่หน้าประตู
เนื่องจากต่างรู้ว่าเป็นขุนนางกลับมาจากเมืองหลวง ซ้ำยังเรียกให้บรรดาชาวบ้านที่อยู่ไม่ไกลแอบมองกัน แต่ละคนกลับตื่นตะลึงกันไม่น้อย
บัณฑิตยาจก ไต่เต้าปีนขึ้นสูง สอบเข้าและได้รับผลงานชื่อเสียงนั้นไม่ง่ายเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขุนนางตัวเล็กๆ จากกรมกลาโหมปีนไปยังตำแหน่งหัวหน้า สำหรับลูกครอบครัวชาวนาแล้ว ช่างเหมือนสุสานบรรพบุรุษมีควันลอยฟุ้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้เฒ่ารองอวิ๋นลูกสาวที่เกิดจากภรรยาในเมืองหลวงเข้าวังหลังได้
กว่าจะได้ที่นาผืนนี้มาไม่ง่ายเลย ยามนี้ควรจะเป็นช่วงอายุรุ่งเรืองที่กำลังลงมือลงไม้เก็บเกี่ยวดอกผล ทว่ากลับละทิ้งเกียรติยศความมั่งคั่งในเมืองหลวงไป เดินทางกลับบ้าน จะให้พอใจได้อย่างไร
กลับบ้านเกิดก็แล้วไปเถิด อย่างน้อยก็น่าจะพักที่เมืองในไท่โจว คิดไม่ถึงว่าย้ายกลับไปในชนบท
ได้ยินถงฮูหยินบอกว่า เจ้ารองอวิ๋นนี้เพราะป่วยจึงถวายฎีกาขอลาออกจากขุนนาง ยามนี้ดูท่าทางแล้ว…บรรดาชาวบ้านต่างจิ๊ปาก แอบคาดเดากันไป หากเอ่ยปากขอลาออกเองอย่างจริงจังสัตย์ซื่อ จะกลับมาอย่างตกต่ำเหมือนหนูข้ามถนนเช่นนี้ได้อย่างไร เกรงว่าจะทำเรื่องผิดกฎหมายบางอย่างในราชสำนักเข้า โดนเบื้องบนไล่ออกมากกว่า ถงฮูหยินนั่นอับอายขายหน้าจึงได้บอกว่าลูกชายเอ่ยปากขอลาออกเองกระมัง
ภายในรถม้า เสียงนินทาครหานอกหน้าต่างลอยมาเป็นระลอก อวิ๋นเสวียนฉั่งที่เดินทางไกลอย่างยากลำบากและเหนื่อยล้าไม่น้อยฟังเสียจนโทสะสุมทรวง
เดิมทีตนควรจะโดนบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาประจบเอาใจในแวดวงข้าราชการ ถูกเบื้องบนให้ความสำคัญเพราะมีความสามารถ ไหนเลยจะคาดคิดว่าอนาคตที่สดใสจะชวดไปอย่างน่าเสียดาย โดนบีบคั้นให้กลับบ้านเกิด ซ้ำยังถูกบรรดาชาวบ้านโง่เขลาในชนบทกลุ่มนี้ตามวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาอีก
อวิ๋นเสวียนฉั่งโมโหเสียจนปวดท้อง โรคเก่าค่อยๆ กำเริบขึ้น เขาใช้มือกุมไว้ เสียงวิพากษ์วิจารณ์นอกหน้าต่างรถยังคงลอยเข้ามาอย่างไร้ปรานี
“เจ้ารองสกุลอวิ๋นผู้นี้เคยเป็นขุนนางใหญ่ในกรมกลาโหมที่เมืองหลวงมิใช่หรือ ข้ายังนึกว่ากลับบ้านเกิดอย่างเกริกเริกน่าจะมีสง่าราศีเสียอีก เหตุใดกระทั่งคนรับใช้สักคนยังไม่มีเลย ช่างอับจนเกินไปแล้ว พวกที่ไปเป็นขุนนางปีก่อนๆ กลับมาหมู่บ้านเรา โดยปกติแล้วล้วนซื้อคฤหาสน์ที่เมือง รวบรวมคนรับใช้จำนวนหนึ่ง ล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ทุกวี่ทุกวัน ชนไก่แข่งม้า ไม่รู้ว่ามีความสุขเท่าใด”
“ได้ยินว่าคฤหาสน์กับทรัพย์สมบัติกว่าครึ่งทิ้งไว้ให้ลูกชายที่เมืองหลวง เป็นลูกชายที่เกิดจากภรรยาตระกูลพ่อค้าในเมืองหลวงแหน่ะ”
“โอ้ เขายอมรึ” มีคนตกใจขึ้น
“คฤหาสน์และทรัพย์สมบัติในเมืองหลวงของเจ้ารองสกุลอวิ๋นผู้นี้เกรงว่าเกินกว่าครึ่งจะเป็นสินเดิมของเมีย ยิ่งไปกว่านั้นนั่นก็ให้ลูกชายตัวเอง มิได้ให้คนอื่น” มีคนยิ้มเอ่ย
ประโยคสุดท้ายที่ว่า ‘ให้ลูกชายตัวเอง’ ลอยเข้าสู่โสตของอวิ๋นเสวียนฉั่ง สีหน้าเขาม่วงคล้ำขึ้น ดวงใจเจ็บปวดคล้ายถูกคว้าน แต่ก็หยุดการซุบซิบนินทากันต่อของคนด้านนอกไว้ไม่ได้
“อย่าได้เรียกว่าเจ้ารองอันใดนั่นอีกเลย คนเขาเป็นขุนน้ำขุนนางนะ! ได้เอาเจ้าเข้าคุกหลวงแน่!”
“ขุนน้ำขุนนางอันใดกัน ปลดตำแหน่งขุนนางออกไปแล้ว ก็เหมือนพวกเรานี่แหละ เป็นแค่ประชาชนธรรมดาเท่านั้น!”
รถม้าเคลื่อนไปใกล้ประตูบ้าน ค่อยๆ ห่างจากเสียงชาวบ้านมา อวิ๋นเสวียนฉั่งจิตใจสงบลงเล็กน้อย มองบ้านบรรพบุรุษที่อยู่ตรงหน้าไปไม่ไกล เป็นบ้านที่ตนซ่อมแซมให้ครอบครัวยามเลื่อนตำแหน่งเป็นรองเจ้ากรม ในหมู่บ้านซิ่วสุ่ยเรียกได้ว่าค่อนข้างกว้างขวางโอ่อ่าทีเดียว ยามนี้ด้านข้างมีบ้านที่สร้างใหม่ขึ้นมาหลังหนึ่ง เป็นที่พักของตนในยามนี้
ตอนอยู่ที่เมืองหลวง เขาได้แจ้งพี่ใหญ่กับมารดาเรื่องที่ตนจะกลับบ้านเกิดแล้ว บอกว่าจะกลับไปพักที่บ้านบรรพบุรุษ ให้พี่ใหญ่หาช่างมาสร้างบ้านอีกหลังไว้ข้างบ้านบรรพบุรุษเอาไว้ล่วงหน้า ตรงกลางทุบเป็นประตูเล็กๆ ไว้บานหนึ่ง เรียกได้ว่าครอบครัวได้อยู่ด้วยกัน
เดิมทีหลายปีมานี้นางแพศยานั่นมีความสามารถไม่น้อย ประหยัดเงินทองไปไม่น้อยเพื่อเอามาสร้างกิจการที่ไท่โจวใหม่ก็ไม่เลว ใครจะไปคิดว่าพอถามไป เงินเหล่านั้นก็ชดใช้หนี้ดอกเบี้ยสูงไปหมดแล้ว สุดท้ายกลับบ้านเกิด ตกต่ำจนต้องเช่ารถม้าและคนรับใช้
การไต่เต้าในหลายปีมานี้ล้วนเสียเงินไปเปล่าๆ โดยไม่เกิดผลลัพธ์ใดๆ กลับไปเป็นแบบเดิม
อวิ๋นเสวียนฉั่งคิดพลางแววตาก็เข้มขึ้น สายตาเหลือบมองสตรีตรงมุมรถ ที่ยิ่งน่าโมโหก็คือ ยังพาภาระที่แค่เห็นก็จะอาเจียนเป็นเลือดมาด้วยคนหนึ่ง
แทบอยากจะบีบคอภรรยาแพศยาที่สกปรกนางนี้ให้ตายๆ ไป แต่ก็ไม่อยากเอาเปรียบนางเช่นนั้น อีกทั้งสตรีชั้นสูงทั้งสองนางในวังหลวงก็เกลียดตนเข้ากระดูก ทั้งได้รู้เรื่องงามหน้าของไป๋เสวี่ยฮุ่ย หากจู่ๆ ไป๋เสวี่ยฮุ่ยตายไป เกรงว่าสองนางนั้นจะจับจุดอ่อนตนได้ แล้วให้คนมาตรวจสอบ
หลังจากคิดหน้าคิดหลังแล้ว อวิ๋นเสวียนฉั่งก็พาคนกลับไท่โจว ตลอดทางมากลับข่มความเดือดดาลในใจไว้ไม่อยู่ ทั้งด่าทอทุบตีไป๋เสวี่ยฮุ่ย เดินทางไปได้ครึ่งทางทั่วทั้งร่างของนางก็เต็มไปด้วยบาดแผล
แม้อากาศจะไม่หนาว แต่ไป๋เสวี่ยฮุ่ยกลับสวมใส่เสื้อผ้าหลายชั้น ห่อคลุมจนแน่นหนา ลำคอและใบหน้ากว่าครึ่งล้วนปิดคลุมมิดชิด ถูกสายตาดุดันของสามีมองมาก็ตกใจ ถดตัวไปด้านหลัง เผยรอยฟกช้ำออกมาครึ่งหนึ่งของลำคอ รอยแผลทั้งรอยใหม่รอยเก่าทับถมกัน ราวกับรอยเก่ายังไม่หายดีก็มีรอยใหม่เพิ่มมา
สายตาอวิ๋นเสวียนฉั่งปรายมองบริเวณท้อง ก็ยิ่งกัดฟันกรอด เรี่ยวแรงทั่วร่างคล้ายถูกสูบเกลี้ยง หดหู่หมดกำลัง อย่างอื่นนั้นช่างมันเถิด หรือว่าชั่วชีวิตตนจะไร้บุตรเฝ้าดูใจก่อนตายจริงๆ ลิขิตให้จำต้องเลี้ยงลูกชายให้คนอื่นเท่านั้น ภรรยาชั่วนางนี้สวมหมวกเขียว[1]ให้ตนก็ช่างมันไป แต่กระทั่งจิ่นจ้งก็…
สรุปแล้วก็คือ สตรีทั้งหมดในแผ่นดินล้วนเลวทราม!
เขากำหมัดแน่น เห็นไป๋เสวี่ยฮุ่ยหลบอยู่มุมหนึ่งก็หงุดหงิดอารมณ์เสีย ตบลงไปหนึ่งฝ่ามือ แล้วตวาดเสียงต่ำว่า “ถึงบ้านแล้ว ดูซิว่าข้าจะจัดการมารหัวขนของเจ้าอย่างไร!”
ระหว่างทางกลับบ้าน เขาซื้อยาทำแท้งมาด้วยตัวเอง ป้อนนางไป ไม่คิดเลยว่ามารหัวขนนี่จะดื้อรั้นนัก ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเจ็บปวดพลิกตัวไปมาตั้งหลายคืนก็ยังไม่ออกมา
ดูท่าแล้วหลังจากสงบลง เรื่องแรกที่จะทำก็คือไปหายาทำแท้งอีกครั้ง
ยามนี้ ไป๋เสวี่ยฮุ่ยโดนตบไปฉาดหนึ่ง เกรงว่าอีกฝ่ายจะลงมือต่อ จึงปกป้องตัวเอง ร้องไห้ขึ้นมา “นายท่านอย่าตีเลย…”
รถม้าหยุดลง อวิ๋นเสวียนฉั่งก็ไม่อยากให้คนเห็นเรื่องน่าขันของตัวเองเช่นกัน เขาตะคอกเสียงขรึมว่า “อย่าร้อง! หากแม่กับพี่ใหญ่ข้ารู้ว่าเจ้าทำเรื่องเหม็นโฉ่พรรค์นี้ ซ้ำยังท้องมารหัวขนอยู่ ข้าจะให้เจ้าได้เห็นดีแน่!” ไป๋เสวี่ยฮุ่ยรีบกลั้นน้ำตา เช็ดหน้า แล้วสวมหมวกคลุมหน้าเอาไว้
หน้าประตูบ้านบรรพบุรุษ ถงฮูหยินเห็นลูกชายคนรองเข้าประตูมา พาลูกชายคนโตกับหวงน้าสี่ไปต้อนรับ เห็นลูกชายคนรองผอมลงจากครั้งก่อนที่เจอที่เมืองหลวงไม่น้อย แก้มทั้งสองข้างซูบตอบลง แค่มองก็รู้ว่าสุขภาพไม่ดี นางจับมือเขาไว้ ทอดถอนใจออกมา ถามไถสารทุกข์สุกดิบสองสามคำ แล้วเอ่ยปลอบว่า “ช่างเถอะ ช่างเถอะ ผลงาน ตำแหน่งชื่อเสียง ฐานะร่ำรวยและยศศักดิ์สำคัญ แต่ก็สู้การที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้ามิได้หรอก กลับมาแล้วก็ดี ฝ่าบาทให้เจ้ากลับมารักษาเนื้อรักษาตัว เห็นได้ชัดว่ายังทรงเห็นอกเห็นใจเจ้าอยู่”
การปลอบโยนนี้ทำเอาอวิ๋นเสวียนฉั่งยิ่งรู้สึกเศร้ารันทดคับข้องใจมากขึ้นกว่าเดิม
หวงน้าสี่สายตาเหลือบไปยังร่างสตรีข้างกายเจ้ารอง ใบหน้าเล็กแหลมซีดขาว ไม่ได้พบกันนาน ผอมลงไม่น้อย ยังคงมีลักษณะสุภาพเรียบร้อยของฮูหยินในเมืองหลวงอยู่ เป็นสิ่งที่สตรีในชนบทเทียบไม่ได้ พอลงรถมาสกุลอวิ๋นคนโตก็มองตาไม่กะพริบ ในใจเย้ยหยันขึ้น
———————–
[1] สวมหมวกเขียว สามีที่ภรรยามีชู้