ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 277.2 ใจทุกข์ตรมนั้นน่าเศร้ากว่าวายชีวา (2)
เดิมทีคิดว่าสะใภ้ใหญ่คงจะเถียงกลับมาสองสามคำ ที่ไหนได้หวงน้าสี่ฟังจนเงียบไปเนิ่นนาน สีหน้าบูดบึ้งจางหาย แดงเรื่อขึ้นเล็กขึ้น กลับมาเป็นสีหน้าปกติ น้ำเสียงก็นุ่มนวลเป็นพิเศษ “ท่านแม่พูดถูก เป็นข้าที่ใจคับแคบ เช่นนั้นสองสามเดือนนี้ท่านแม่ก็อย่าได้ห่วงเรื่องที่บ้านเลยเจ้าค่ะ มีข้าทั้งคน จู๋เจี่ยร์ก็พอจะช่วยงานได้แล้ว ท่านไปดูแลน้องสะใภ้ให้ดีเถิด ให้คลอดหลานชายอ้วนท้วมให้สกุลอวิ๋นเรา”
ถงฮูหยินเห็นสะใภ้ใหญ่ในที่สุดก็คิดได้ จึงพรูลมออกมา สีหน้าก็ดีขึ้นมากเช่นกัน “เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว เจ้าก็รู้ว่าสกุลอวิ๋นเดิมทีก็ทายาทน้อย หากผู้ชายบ้านเราเยอะ วิญญาณพ่อสามีเจ้าก็จะมีคนช่วยเหลือ ปีนั้นก็คงไม่ถึงขั้นต้องต่อสู้กับความอดอยากเพียงลำพังอยู่ทุกปี ทำงานหนักเกินไปจนจากไปไวเช่นนี้” พูดถึงตรงนี้ก็ล้วงเอาผ้ามาซับหางตา “ก่อนจะจากไป พ่อสามีเจ้าก็กำชับแล้วกำชับอีกว่าจะต้องให้สกุลอวิ๋นลูกเต็มบ้านหลายเต็มเมือง บ้านเรือนคึกคัก เจ้าใจสู้ คลอดลูกชายมาได้คนหนึ่ง เจ้ารองคนเดียวที่ข้าเป็นทุกข์ใจ มีแค่จิ่นจ้งคนเดียว ยามนี้แม่นางไป๋ก็ตั้งครรภ์อีกครั้ง นับว่าดีแล้ว เจ้าคิดเสียว่าทำเพื่อข้า อย่าทะเลาะกับแม่นางไป๋อีกเลย”
หวงน้าสี่พยักหน้ารับคำ
ถงฮูหยินเห็นสะใภ้ใหญ่ไม่ได้มีความเห็นใดอีกก็สั่งงานในบ้านครู่หนึ่ง แล้วหอบข้าวของออกไป
จู๋เจี่ยร์กลับจากช่วยงานที่สวนผลไม้มาที่บ้านพอดี เห็นท่านย่าพูดคุยกันกับมารดาอยู่ ก็ไม่ได้ไปสอด พอเห็นย่าไปแล้วจึงได้เข้าไปหา เห็นมารดามองทางบ้านท่านอารองอยู่นานไม่เอ่ยคำใด ก็ปลอบใจไปว่า “ท่านแม่ ฟังนะ ท่านย่าดีกับบ้านเราไม่น้อย ท่านมีลูกชายให้ตั้งสามคน ท่านย่าก็ไม่ได้ไม่เห็นเสียหน่อย ท่านอย่าคิดไปทั่วเลย”
“เด็กอย่างเจ้าจะไปรู้อะไร คำพูดสวยหรูใครบ้างจะพูดไม่เป็น” หวงน้าสี่เหลือบมองลูกสาวแวบหนึ่ง “ย่าเจ้าตอนสาวๆ ก็ลำเอียงรักอารองเจ้า มิฉะนั้นแล้ว ปีนั้นที่บ้านจะส่งให้ไปเรียนคนเดียวหรือ เหตุใดโอกาสนี้ย่าเจ้าจึงไม่ให้พ่อเจ้าแต่ดันไปให้อารองเจ้าเล่า หากมีโอกาสได้เล่าเรียน ไม่แน่ว่าพ่อเจ้าก็อาจจะได้เป็นขุนนางเช่นกัน ข้าก็จะได้เป็นฮูหยินขุนนาง เจ้ากับพี่ๆ น้องๆ เจ้าก็จะเป็นคุณหนูคุณชายในตระกูลขุนนาง! นิ้วทั้งห้ายังมียาวมีสั้น ย่าเจ้าจะไม่ลำเอียงได้อย่างไร อารองเจ้าเคยร่ำเรียน เคยเป็นขุนนาง ลูกที่คลอดออกมา ในใจย่าเจ้าก็เป็นภูเขาสูงตระหง่าน ไม่แน่ว่าอาจจะได้รับการปลูกฝังที่ดี หลังจากนี้สิบแปดปีก็จะมีขุนนางในสกุลอวิ๋นอีก ไหนเลยจะมาเห็นพวกพี่น้องคลุกโคลนอยู่ในสายตา”
จู๋เจี่ยร์เห็นมารดาไม่สบอารมณ์ก็จับมือนางไว้ “เอาล่ะ เอาล่ะ ยังไม่ได้คลอดออกมาเสียหน่อย ใครจะรู้ว่าสะใภ้เล็กจะคลอดอะไรออกมา”
คำพูดนี้ของจู๋เจี่ยร์ความหมายเดิมก็คือไม่แน่ว่าอาจจะเป็นผู้หญิง จากนิสัยท่านย่าที่รักหลานชายมากกว่าหลานสาว จะต้องไม่ชอบสะใภ้เล็กแล้วแน่
หวงซื่อกูได้ยังคำพูดนี้ของลูกสาวหนังตาก็กระตุก แววตาปรากฏเป็นประกายแปลกประหลาด ทว่าก็ไม่ได้เอ่ยคำใด ทำเพียงจูงมือลูกสาวเข้าบ้านไป
วันเวลาผ่านไป อากาศก็เย็นลง
ชนบทอุณหภูมิต่ำกว่าในเมือง อวิ๋นเสวียนฉั่งซ่อมแซมบ้านอีกครั้ง ความนิยมยังไม่พอก็ยิ่งเย็นเยียบมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าไป๋เสวี่ยฮุ่ยไม่ได้รับความเหน็บหนาวเลยสักนิด ถงฮูหยินที่จิตใจจดจ่อรอคอยหลานชายห่มคลุมให้อย่างมิดชิด เห็นเสื้อผ้าที่นางเอามาจากเมืองหลวงไม่หนาเท่าใด ถงฮูหยินก็ไปที่ร้านขายผ้าในเมืองเลือกเอาผ้าฝ้ายผืนหนามาตัดเป็นเสื้อกันหนาว กาน้ำร้อนและเตาอุ่นเท้ายิ่งไม่ให้ขาดตลอดทุกชั่วยาม
ตลอดการตั้งครรภ์ ไป๋เสวี่ยฮุ่ยถูกแม่สามีปรนนิบัติดูแลอย่างอิ่มเอิบ ผิวพรรณขาวใสแดงระเรื่อ ไม่น้อยไปกว่าชีวิตความเป็นอยู่ที่เมืองหลวงเลย หากข้างกายไม่มีสามีที่เอาแต่ทำหน้าบูดบึ้งทั้งวันล่ะก็ คงจะลืมว่าตนเป็นใครไปแล้ว
นานวันเข้านายท่านอาจจะปล่อยผ่านไปแล้วก็ได้กระมัง อย่างไรเสีย เรื่องนี้นายท่านก็ปิดบังมิดชิดเสียยิ่งกว่าตน กลัวว่าจะโดนใครรู้เข้า
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยปลอบใจตัวเองเช่นนี้ อารมณ์จึงได้แจ่มใสขึ้นมาก
ใกล้วันคลอดของแม่นางไป๋ ครอบครัวทั้งสองของสกุลอวิ๋นแต่ละคนก็อารมณ์แตกต่างกัน
อวิ๋นเสวียนฉั่งสีหน้ายิ่งอึมครึมขึ้น แต่พอเขากลับหมู่บ้านซิ่วสุ่ย สีหน้าก็ไร้ซึ่งความบูดบึ้ง ทุกคนในสกุลอวิ๋นคิดว่าเขาออกจากข้าราชการมาอารมณ์จึงไม่ดี จึงไม่ได้คิดมากอะไร
ทางด้านถงฮูหยินกลับดีอกดีใจอย่างยิ่ง ทั้งยังเลือกวันวิ่งไปทางประตูตะวันตกของหมู่บ้านเพื่อทักทายบอกกล่าวกับหมอตำแยหลิว ยัดไข่ไก่สองตะกร้ากับเศษเงินจำนวนหนึ่งให้ กำชับนางว่าสองสามวันนี้อย่าออกบ้านไปไกล ให้เตรียมตัวเอาไว้
ถงฮูหยินกลับมาที่บ้าน ก็จัดการเตรียมห้องคลอดอย่างปรีดา เตรียมหม้อใบใหญ่เพื่อต้มน้ำคลอด เอาเสื้อผ้าตัวเล็กๆ เสื้อกันหนาวผ้าฝ้าย หมวกกันหนาวทรงเสือ ผ้าอ้อมของทารกที่ตัดเย็บไว้ก่อนหน้านี้ออกมา กระทั่งอาหารที่เร่งน้ำนมก็เตรียมเอาไว้ล่วงหน้าเรียบร้อย วุ่นอยู่คนเดียวทำไม่ทัน จึงเรียกจู๋เจี่ยร์ให้มาช่วยแรง
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเอนกายอยู่บนเตียงตามสถานการณ์ที่เป็นไป เห็นหลานสาวมาช่วยเหลือก็ไม่เกรงใจ ใช้โน่นใช้นี่ทั้งวัน เรียกใช้แทบจะเหมือนคนรับใช้
อวิ๋นเหล่าต้าเห็นลูกสาวไปช่วยทางบ้านน้องชาย กลัวว่าภรรยาจะไม่พอใจอีก คิดไม่ถึงว่าครานี้หวงน้าสี่จะไม่แย้งแม้แต่คำเดียว กลับใจเย็นไม่ทุกข์ร้อน
อวิ๋นเหล่าต้าคิดว่านางโดนถงฮูหยินสั่งสอนจนคิดได้แล้ว จึงได้ถอนหายใจออกมา
หวงน้าสี่แม้จะไม่ได้โวยวาย วันนี้บอกแค่ว่าใช้จังหวะช่วงนี้ที่งานไร่งานสวนไม่ยุ่ง กลับไปบ้านเดิมที่หมู่บ้านใกล้ๆ พักอยู่สักสองสามวัน เยี่ยมเยือนพ่อแม่เสียหน่อย ตอนงานไร่งานสวนว่างๆ กลับไปบ้านเดิมก็ไม่แปลกอะไร ถงฮูหยินยามนี้จิตใจจดจู่แต่กับสะใภ้รอง ไม่มีเวลามาสนใจนาง ฟังแล้วจึงแค่พยักหน้าให้
หวงน้าสี่กลับบ้านเดิมวันที่ห้า วันนี้ตะวันยังไม่ทันลับทิวเขาไป ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเพิ่งจะเอนกายลงบนเตียงอุ่นที่อังไฟจนอุ่นร้อน กินส้มหวานสองกลีบที่หลานสาวปอกให้ด้วยท่าทางงดงาม ถูกดูแลรับใช้จนอิ่มหมีพีมัน ไม่ทันไรก็ร้องปวดท้องขึ้น ครู่ต่อมาก็เจ็บปวดจนพลิกตัวไปมา
ถงฮูหยินรู้ว่าจะคลอดแล้วจึงรีบให้หลานสาวไปเรียกหมอตำแยหลิวที่ประตูตะวันตกของหมู่บ้าน
จู๋เจี่ยร์วิ่งไปเรียกหมอตำแย หมอตำแยหลิวนำเครื่องมือทำคลอดมาบ้านรองของบ้านบรรพบุรุษสกุลอวิ๋น
เพิ่งจะเหยียบลานบ้านสกุลอวิ๋น หมอตำแยก็มองลอดหน้าต่างไปเห็นสตรีท้องภายในห้องกรีดร้องเหมือนหมูถูกเชือด มีเพียงถงฮูหยินอยู่เป็นเพื่อนข้างเตียง ทว่าไม่เห็นคนของบ้านรองสกุลอวิ๋นเลยสักคน เดินไปพลางโพล่งขึ้นว่า “ท่านอาเจ้าเล่า ออกไปข้างนอกหรือ รีบเรียกให้กลับมาดีหรือไม่”
จู๋เจี่ยร์ดึงหมอตำแยให้เดินไปด้านใน “ไม่ได้ออกไปไหนเจ้าค่ะ คงปิดห้องอ่านตำรานอนหลับอยู่ห้องข้างๆ นี่กระมัง ไม่ต้องพูดแล้ว รีบเข้าไปทำคลอดเถิด”
หมอตำแยหลิวฉงนไม่น้อย มองไปทางห้องของอวิ๋นเสวียนฉั่ง ภรรยาตัวเองคลอดลูก คนเป็นสามีในเมื่ออยู่บ้าน ต่อให้ไม่เดินกระวนกระวายใจไปมา ก็ควรจะออกมาดูหน่อย ลูกชายรองบ้านนี้ไม่สนใจเหมือนไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ปิดประตูอยู่แต่ในห้องคนเดียวไม่ถามไม่ไถ่สักคำ
ไม่มีเวลามาถามมาก หมอตำแยหลิวเข้าห้องไป ให้ถงฮูหยินอยู่เป็นคนช่วยตรงหน้าประตู ส่วนตัวเองเดินเข้าไปใกล้เตียงคลอด
เนิ่นนานผ่านไป ยังไม่เห็นความเคลื่อนไหว มีเพียงเสียงร้องของแม่นางไป๋ที่ดังขึ้นเรื่อยๆ
ถงฮูหยินห่วงหลานชาย ยืนอยู่หน้าประตูถามว่า “คงไม่เกิดเรื่องใดขึ้นหรอกกระมัง สตรีออกเรือนหมู่บ้านเราคลอดลูกเร็วเสียยิ่งกว่าแม่ไก่ออกไข่อีก นางไม่ใช่ท้องแรกแล้ว เหตุใดยามนี้จึงยังไม่คลอดอีก”
เจ้ารองพอเจอกับอุปสรรคก็หมดแรงใจลุกขึ้นต่อ เอาแต่ขลุกอยู่ในห้องทั้งวัน ไม่สนใจภรรยา เจ้าใหญ่ที่เป็นพี่สามีไม่สะดวกมา ขนาดสะใภ้ใหญ่ยังไม่อยู่ข้างกาย ข้างกายถงฮูหยินกระทั่งคนช่วยแบ่งเบายังไม่มี จึงทนไม่ไหวตำหนิหลานสาวว่า “แม่เจ้าก็เหลือเกิน ตกลงกันแล้วว่าให้กลับมาภายในสองวันมิใช่หรือ จนถึงตอนนี้ไม่เห็นแม้แต่เงา มีสะใภ้ที่ไหนกลับบ้านเดิมจนไม่รู้จักกลับมาบ้านสามี! มันน่าให้ข้าสั่งสอนนัก!…”