ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 277.4 ใจทุกข์ตรมนั้นน่าเศร้ากว่าวายชีวา (4)
อวิ๋นเสวียนฉั่งได้ยินเสียงโหวกเหวกของทางนี้ตั้งแต่แรกแล้ว โดนหลานสาวไปเรียกมา ชั่วขณะที่เห็นทารกพิการในห่อผ้าอ้อม สีหน้าก็พลันเปลี่ยน
เขาหันหน้าไปอีกครั้ง นึกไม่ถึงว่าบนเตียงคลอดจะนองไปด้วยเลือด ทั้งในและนอกที่นอนโดนโลหิตอาบชุ่มแดงฉาน
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเย็นยะเยือกไปทั่วร่าง ท่อนร่างชาหนึบไปนานแล้ว เรี่ยวแรงลืมตาก็ไม่มี รู้สึกเพียงจำนวนเลือดที่เสียไปหลั่งไหลดุจสายน้ำ มากขึ้นเรื่อยๆ ควบคุมไว้ไม่อยู่แล้ว ยามนี้เห็นอวิ๋นเสวียนฉั่งเข้ามา นางไร้เรี่ยวแรงและกำลัง ดิ้นรนอย่างขมขื่น “นายท่าน ช่วยข้าด้วย รีบเอาปูนขาวมา…ไปตามหมอมาได้หรือไม่”
อวิ๋นเสวียนฉั่งจ้องสตรีบนเตียงที่เสียเลือดมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างแข็งทื่อ “ฝันหวานนัก”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยสลบไป
ถงฮูหยินได้ยินคำพูดของลูกชายก็ยิ่งรู้ว่าหวงน้าสี่ไม่ได้โกหก นางสูดหายใจลึก
กางครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ลูกชายคนรองผู้นี้เป็นความภาคภูมิใจในสายตาของถงฮูหยิน ปีนั้นเพื่อลูกชายคนรองจะได้แต่งงานใหม่ที่เมืองหลวง ทอดทิ้งและทำร้ายแม้กระทั่งหญิงกำพร้าและลูกสาวในห่อผ้าอ้อมในชนบทที่เพิ่งจะแต่งงานกันได้ไม่นาน และแก้ต่างให้ตัวเองต่อหน้าพระโพธิสัตว์ เขาจนใจด้วยความเสียใจเจ็บปวด อย่างไรเสียบ้านฝ่ายชายมักจะเลือกอย่างทิ้งอย่างเวลาจะทำอะไรอยู่แล้ว
ใครจะไปคิดว่าลูกชายคนนี้วางแผนเพื่อผลประโยชน์ ไม่รู้จักสั่งสอน ปล่อยให้แม่นางไป๋พัวพันกับการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยสูง ผลสุดท้ายทำเองก็ต้องรับเอง เกิดเรื่องเหม็นโฉ่เช่นนี้ขึ้น
ทันใดนั้น ถงฮูหยินก็พึมพำขึ้นว่า “กรรมสนอง กรรมสนองแท้ๆ” ดวงใจทั้งร้อนรนทั้งเดือดดาล ตวาดใส่หน้าโครมๆ ว่า “เหตุใดเจ้าไม่บอกข้าตั้งแต่แรก! ยามนี้ดีนัก คลอดมารหัวขนออกมาเช่นนี้ เจ้าเองไม่อายก็แล้วไปเถิด ข้ากับบรรพบุรุษสกุลอวิ๋นขายขี้หน้ากันหมดแล้ว!”
อวิ๋นเสวียนฉั่งเดิมทีโดนอำนาจและตัณหาปลอกลอกจนสิ้นเนื้อประดาตัว หลังจากออกราชการมาก็ทุกข์ระทมทุกวัน โรคไตก็ยิ่งหนักขึ้น ร่างกายเริ่มแย่ลงทุกที โดนมารดาตวาดใส่รู้ดีว่าปิดบังต่อไปไม่ได้แล้ว เห็นพี่สะใภ้และหลานสาวก็อยู่ด้วยหน้ายิ่งถอดสี ใจเต้นรัว สีหน้าราวกับตับหมู เขากุมท้องน้อยไว้ กำลังจะเอ่ยขึ้น อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นานก็พูดประโยคครบถ้วนออกมาไม่ได้
ถงฮูหยินเห็นร่างกายเขาเป็นเช่นนี้ กระทั่งคำด่าก็คิดไม่ออก นางนิ่งอึ้งอยู่นาน ใจทุกข์ตรมนั้นน่าเศร้ากว่าวายชีวา นางเอ่ยว่า “ซื่อกู ไปตามหมอมา เอาข้าวของของข้าออกไปให้หมดด้วย ข้าไม่อยากเห็นสองคนนี้อีก”
หวงน้าสี่ปรายตามองน้องสะใภ้ที่หายใจรวยรินบนเตียงอุ่น เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านแม่”
ถงฮูหยินมองไป๋เสวี่ยฮุ่ยที่ขดตัวอยู่บนเตียงอุ่น ดวงใจคล้ายโดนเข็มทิ่มแทง นึกไปถึงว่านางแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไร้ความรู้สึกผิด ทำตัวเหมือนคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องเสพสุขกับการปรนนิบัติดูแลของตนมาหลายเดือน ก็ยิ่งเดือดดาลรังเกียจ ระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่ สะบัดมือตบไปสองหน “นังแพศยา!”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเดิมทีก็หายใจรวยรินอยู่แล้ว โดนตบจนร้องครางออกมา ฟุบตัวลงไป พอท้องกระเทือน ความอุ่นร้อนไหลทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ทุกคนเห็นสตรีที่เพิ่งคลอดเสร็จถีบเท้าอย่างบ้าคลั่ง ลำคอส่งเสียงครวญครางเหมือนตอนสัตว์โดนเชือด ทั่วทั้งร่างกระตุกอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นดวงตากลอกกลิ้ง
จูเจี่ยร์เห็นสะใภ้เล็กคนนั้นถลึงตาเบิกโพลนน่าตกใจ ก็หลบอยู่หลังมารดา
หวงน้าสี่ได้สติคนแรก นางเข้าไปพลิกเบาะและเลิกที่นอนขึ้น แล้วหวีดร้องด้วยความตกใจ จึงได้รู้ว่าเลือดไหลออกมามากมายเพียงนี้ นางตรวจลมหายใจของน้องสะใภ้ดู เสียเลือดมากจนสิ้นใจไปแล้ว
ถงฮูหยินแม้จะตกใจ แต่สีหน้ากลับไร้ความเสียใจ ตรงกันข้ามนางโล่งอกคล้ายปลดภาระลง
หวงน้าสี่ปิดตาคนตายลง สงบสติอารมณ์แล้วเอ่ยว่า “ข้าจะไปหาสามีให้เตรียมโลงเพื่อจัดงานศพ”
ถงฮูหยินกัดฟัน “สตรีพรรค์นี้ ไหนเลยจะคู่ควรกับสุสานบรรพบุรุษสกุลอวิ๋น ทำบรรพชนสกปรกเปล่าๆ และไม่คู่ควรกับจะนอนอยู่กับแม่ของจิ่นจ้งด้วย ทำโลงศพขึ้นมา ส่วนจะจัดการศพอย่างไร เจ้าให้เจ้าใหญ่จัดการก็แล้วกัน”
อวิ๋นเสวียนฉั่งได้ยินมารดาเอ่ยถึงแม่นางสวี่ขึ้นมาก็ยิ่งเสียใจ แต่ไหนเลยจะพูดออกไปได้ หมวกเขียวของไป๋เสวี่ยฮุ่ยยังพอจะบอกได้ แต่หมวกเขียวของแม่นางสวี่กลับแค่จะเอ่ยขึ้นยังเอ่ยไม่ได้เลย สุดท้ายแล้ว นึกไม่ถึงว่าตนจะตกต่ำจนถึงขั้นโดนสวมหมวกเขียวถึงสองใบ ไร้ทายาทเฝ้าดูใจก่อนตายหรือนี่
หวงน้าสี่เข้าใจความหมายของแม่สามี โลงเปล่าเอาเข้าสุสาน ส่วนศพก็ฝังตรงไหนเอาก็ได้แล้ว หลุมศพไร้ญาติข้างหมู่บ้านซิ่วสุ่ยมีน้อยเสียที่ไหน นางพยักหน้า จูงลูกสาวออกไป
ภายในห้องว่างเปล่า อวิ๋นเสวียนฉั่งโซเซเข้าไปอุ้มห่อผ้าอ้อมขึ้นมา แล้วยกขึ้นสูง
ถงฮูหยินแม้จะรังเกียจมารหัวขนนี่ แต่ก็ไม่อยากเห็นเขาทำเรื่องพรรค์นี้ต่อหน้าตน เห็นเขายกขึ้นสูง ก็จำภาพเหตุการณ์ได้เลือนลางว่าปีนั้นลูกชายคนนี้เพื่อปีนขึ้นสู่อนาคตที่สดใส แอบกลับชนบท ล่อลวงให้สะใภ้ชนบทที่อ่อนแอและสัตย์ซื่อให้ฆ่าตัวตาย ทั้งหมายจะทำร้ายลูกสาวแท้ๆ ของตัวเองอีก ทันใดนั้นนางก็แย่งห่อผ้าอ้อมมา “เดรัจฉาน หากเจ้าฆ่า ก็หาสถานที่แอบจัดการเงียบๆ อย่ามาทำเรื่องพรรค์นี้ต่อหน้าข้า บาปกรรมของตัวเองยังน่ารังเกียจไม่พอ ยังจะลากข้าให้โดนพระโพธิสัตว์แค้นใจด้วยอีก ยามนี้ข้าจึงได้รู้แล้ว จะทำเรื่องใด พระโพธิสัตว์ล้วนมองเห็น ไม่ใช่ว่ากรรมไม่สนอง แต่ยังไม่ถึงเวลาต่างหาก”
อวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นมารหัวขนเดิมทีก็ได้รับการกระทบกระเทือนพออยู่แล้ว ยามนี้เห็นทารกโดนแย่งไป ก็โมโห คิดจะเข้าไปแย่ง ชายชาตรีแข็งแรงคนหนึ่ง กระทั่งเรี่ยวแรงของมารดาก็สู้ไม่ได้ แย่งอยู่นานก็ยังแย่งไม่ได้ ตรงกันข้ามเขาฟุบลงกับพื้นหอบหายใจอย่างอ่อนแอ
ถงฮูหยินเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา ก็คร้านจะสนใจ โยนห่อผ้าอ้อมไปบนเตียงอุ่น แล้วออกจากห้องไป ตรงกลับไปยังบ้านของลูกชายคนโตทันที
อวิ๋นเสวียนฉั่งฝืนลุกขึ้นจากพื้น เห็นศพไป๋เสวี่ยฮุ่ยนอนอยู่บนตั่งอุ่นที่ยังรอพี่ใหญ่มาเก็บศพไป ภายในห้องว่างเปล่า มีเพียงตัวเองกับมารหัวขนอีกคน กำลังจะเข้าไปเอาตัวทารก ฝ่ามือกำได้แล้ว แต่เห็นพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้พาหลานสาวคนโต เม่าเกอร์ และจู๋เจี่ยร์เข้ามาที่บ้านตน เดินเข้ามายังห้องด้านข้างที่มารดาพัก
พวกเขามากันทั้งครอบครัว เก็บกวาดข้าวของ เอาของใช้ส่วนตัวที่ขนมาก่อนหน้านี้ของถงฮูหยิน รวมถึงวัตถุดิบอาหาร เครื่องใช้ทุกอย่างขนกลับไปหมด
เพียงไม่นาน ลานบ้านอันคับแคบก็รกร้างว่างเปล่า ยิ่งเย็นเยียบมากกว่าเดิม
อวิ๋นเหล่าต้ามองน้องชายภายในหน้าต่างแวบหนึ่ง สีหน้ารู้สึกผิดไม่น้อย มือเท้ากลับไม่ได้ช้าลงเลยแม้แต่นิด ทว่ากำลังจะเข้าไปปลอบสักสองสามคำ แต่กลับถูกภรรยาดึงไว้ ห้ามอย่างคลุมเครือว่า “พอได้แล้วกระมัง เจ้าทุกข์ใจกับตัวเองไม่พอ ยังจะไปห่วงเจ้ารองอีกรึ อย่าเพิ่งพูดถึงชิ่นเจี่ยร์ที่อยู่ในวังเลย คนเขายังมีลูกชายคนหนึ่งที่เพิ่งจะสอบผ่านมีผลงานชื่อเสียงที่เมืองหลวง เจ้าล่ะมีหรือไม่”
อวิ๋นเหล่าต้าไม่ได้พูดอะไร
เม่าเกอร์รู้ครึ่งๆ กลางๆ แย่งพูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ ต่อไปข้าจะพยายามตั้งใจเรียนให้ดี สอบผ่านมีชื่อเสียงให้ได้ ให้ท่านพ่อได้เป็นบิดาของขุนนางใหญ่ มีวันคืนที่ดี!”
สองสามีภรรยาสีหน้าปลาบปลื้มยากจะหาใดเปรียบ เก็บข้าวของเรียบร้อยก็ออกจากลานบ้านไป
อวิ๋นเสวียนฉั่งสะเทือนใจจนหอบหายใจไม่สะดวกอยู่นาน รอยแผลถลอกปอกเปิกออกมา
ลูกชายลูกสาวคู่นั้น ไม่ใช่ของตนอีกต่อไปแล้ว
ทว่าชั่วชีวิตนี้ของตนเคยใช้จิตใจของพ่อแท้ๆ ปฏิบัติต่อพวกเขาพี่น้องที่ไหน
เหลือเพียงความเดียวดาย คล้ายอสรพิษสัตว์ร้ายจู่โจมใส่ทั่วร่าง
ชั่วชีวิตนี้ เขาถือเพียงความสำเร็จชื่อเสียงและโชคลาภเป็นแก่นของชีวิต ลาออกจากราชการกลับบ้านเกิด กลับมาเป็นประชาชนคนธรรมดา ก็เป็นความเจ็บปวดที่เขารับไม่ไหวแล้ว ไม่เคยจะคิดเลยว่า ที่น่ากลัวกว่านั้นคือต่อไปจะโดดเดี่ยวตัวคนเดียว มองดูครอบครัวข้างๆ คึกคักอบอุ่น ใช้ชีวิตมากโรคที่เหลืออย่างอ้างว้าง
พี่ใหญ่เป็นคนธรรมดามาทั้งชีวิต ไม่เคยได้เสพสุขในอำนาจขุนนางเลยสักครั้ง ทว่ามีบุตรไว้เฝ้าดูใจก่อนตาย มีภรรยาเป็นเพื่อน ใช้ชีวิตในชาตินี้อย่างมีความสุข แล้วเขาเล่า วัยหนุ่มแน่นกระฉับกระเฉง ภายหน้ากลับอยู่ที่บ้านหลังเล็กๆ แห่งนี้ ทรมานกับโรคที่ตายไม่ได้รักษาก็ไม่หาย กระทั่งคนคอยพูดคุยและเฝ้าดูใจก่อนตายก็ยังไม่มี