ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 279.3 ตอนพิเศษ นอนเตียงเล็ก (3)
อี๋ซื่ออ๋องเห็นนางจะนอนแล้วจึงได้คลายเสื้อส่วนหน้าออก ดึงชุดนอนให้กว้างขึ้น นั่งลงข้างเตียง เอ่ยไปตามใจว่า “เมื่อครู่เจ้ากำลังเก็บสิ่งใดอยู่ ท่าทางลับๆ ล่อๆ นัก”
เฉินจื่อหลิงสัมผัสได้ถึงน้ำหนักที่เพิ่มลงบนเตียง คิ้วดำขลับพลันกระตุก “ในเมื่อเป็นสิ่งของของกุลสตรี ชายชาตรีก็อย่าได้ถาม” แล้วหยัดกายขึ้น มองเขาอย่างตักเตือน
อี๋ซื่ออ๋องถูกนางย้อนใส่ แต่ก็คร้านจะไปถามให้มากความ อาบน้ำชำระกายเสร็จ ทั้งยังไปเล่นในห้องอนุมาค่อนคืน เขาเหน็ดเหนื่อยจะแย่แล้ว จึงขมวดคิ้วส่งสายตาให้นางขยับไปอีกหน่อย
เฉินจื่อหลิงหอบหมอนกับผ้าห่มส่งให้เขาอย่างรวดเร็ว
อี๋ซื่ออ๋องยังไม่ทันได้สติ “หมายความว่าอย่างไร”
เฉินจื่อหลิงเหลือบมองตั่งไม้ตัวยาวแคบๆ ที่อยู่มุมห้อง ตรงกันข้ามกับเตียงใหญ่พอดี ระยะห่างแค่ฉากบังลมกั้น
อี๋ซื่ออ๋องตกใจ ยังคงไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าจะให้ข้านอนเตียงเล็กอย่างนั้นรึ”
นอนเตียงเล็กนับเป็นอะไรได้ ไม่ใช่ให้ใส่รองเท้าคู่เล็กเสียหน่อย
“ไปสวนตะวันตกก็ได้ เตียงมีให้เลือกมากมาย” เฉินจื่อหลิงน้ำเสียงฟังไม่ออกถึงความเหน็บแนม ตรงกันข้ามยังเสนอให้อย่างจริงใจด้วย
อี๋ซื่ออ๋องเดือดดาลยิ่ง ลุกขึ้นพรวด “ม้าเจ้าก็แย่ง ทหารส่วนตัวเจ้าก็ชิง กระทั่งเตียงเจ้าก็ยังจะไม่ยอมปล่อยให้อีกรึ ชาวเป่ยเหรินไม่มีใครป่าเถื่อนระรานคนอื่นเยี่ยงเจ้ากันสักคน!”
เนื่องจากระยะห่างใกล้กันมาก เฉินจื่อหลิงจึงได้กลิ่นน้ำหอมเข้มข้นของสตรีจากกายเขา ทันใดนั้นไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใด นางไม่อยากพูดคุยกับเขาแล้ว จึงลากม่านมุ้งลง “ท่านละทิ้งกระโจมใหญ่ก่อนเองนี่ แล้วก็ปล่อยให้ข้ายึดครองเอาไว้ หนึ่งไม่กล้าได้กล้าเสีย สองไร้ซึ่งความรู้สึกตื่นตัวหวาดระแวง หากเป็นชาวเหมิงหนูที่แดนเหนือ จะแค่โดนยึดโดนแย่งอย่างเดียวที่ไหน กระทั่งชีวิตก็คงยากจะรักษาเอาไว้ได้แล้ว”
เขาหมายจะหิ้วตัวนางมา มือเพิ่งจะตกข้างกายนาง กลับสัมผัสโดนของแข็งบางอย่างเข้า
เขาเป็นทหารในสนามรบ ไม่มีทางหวาดกลัวแน่นอน นิ้วมือพอแตะโดนเค้าโครงและเนื้อสัมผัสของสิ่งนั้นเข้าก็แทบจะรู้ทันทีว่ามันคืออะไร เป็นมีดสั้นเล่มหนึ่งเสียบอยู่ในชุดนอนตัวโตของนาง
“นี่เจ้ากำลังทำอะไรน่ะ” อี๋ซื่ออ๋องขนลุกขนพองทั่วร่างราวกับเม่น เขาตั้งตัวตรงโดยพลัน จ้องมองสตรีบนเตียงเขม็ง
เมินตนไป กระทั่งเป็นปรปักษ์กับตนทุกอย่างก็แล้วไปเถิด ยามนี้นึกไม่ถึงว่านางจะพกอาวุธติดตัวไว้ ทั้งยังเอามานอนด้วยอีก เกิดอยากจะฆ่าสามีแท้ๆ อย่างนั้นรึ
“กริชเล่มนี้เป็นของป้องกันตัวของข้า ข้าพกติดตัวไว้ไม่ให้ห่างกายจนชินแล้ว” สตรีในผ้าห่มพลิกตัว
จวนซื่ออ๋องก็ไม่ใช่ที่ที่มีมือสังหารพลุกพล่านเสียหน่อย จะป้องกันตัวไปทำไม ต่อให้ป้องกันตัว ก็ตั้งใจจะกอดไปทั้งๆ ที่นอนหลับอย่างนั้นรึ
อี๋ซื่ออ๋องสีหน้าเขม็งขึ้น ได้ อีกเดี๋ยวรอให้นางหลับก่อนค่อยว่ากันก็ได้
เฉินจื่อหลิงเอ่ยเตือนว่า “จริงสิ อย่าได้ลองหยั่งเชิงเอากริชข้าไปกลางดึกเชียว…ข้าชอบเดินละเมอแล้วก็ชอบพูดละเมอด้วย ได้รับความตกใจตอนกึ่งหลับกึ่งตื่น ก็ไม่รู้ว่าจะทำเรื่องอะไรออกมา ถึงเวลานั้นบังเอิญไปทำร้ายให้บาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจเข้า ก็อย่ามาโทษข้าแล้วกัน”
อี๋ซื่ออ๋องเดินดุ่มๆ ไปยังประตู เสียงประตูเปิดออกดัง ‘แอ๊ด’ “ข้ารับมาพอแล้ว”
ผู้ดูแลซ่งกลัวว่าอี๋ซื่ออ๋องจะกลับไปหาอนุที่สวนตะวันตกอีก จึงตั้งใจรอให้ไฟในห้องดับก่อนค่อยกลับ เห็นผู้เป็นนายออกมาดังคาด ก็รีบเข้าไปรับหน้า
อี๋ซื่ออ๋องรู้ว่าผู้ดูแลเฒ่าจะมาขวางตนไม่ให้ไปนอนห้องอนุ “ไม่ได้กลับมาเสียนาน ฎีการายงานการทหารกองพะเนินมานานแล้วยังไม่ได้อ่านเลย ข้าจะไปห้องหนังสือดูเสียหน่อย!”
ผู้ดูแลซ่งเตรียมการเอาไว้สารพัดที่จะรับมือกับข้ออ้างไร้เหตุผลทั้งหมดของผู้เป็นนายได้ จึงกระแอมคำหนึ่ง
เด็กรับใช้ถือกล่องไม้มะฮอกกานีไว้กล่องหนึ่ง บนนั้นมีฎีการายงานการทหารที่มัดรวมกันไว้เรียบร้อยแล้ว
ผู้ดูแลซ่งเอ่ยอย่างนอบน้อยว่า “ให้คนเตรียมไว้พร้อมแต่แรกแล้ว ค่ำมืดดึกดื่น เหตุใดต้องให้นายท่านไปห้องหนังสือด้วยตัวเองเล่า อ่านในห้องนอนนั่นเถิด อ่านจบแล้วจะได้เข้านอนกับพระชายาซื่ออ๋องพอดี ไม่ต้องเดินไปเดินมา” กล่าวจบก็กระแอมเบาๆ
เด็กรับใช้ถือฎีกาเข้าไปในห้อง วางไว้บนโต๊ะหนังสือของห้องด้านนอก
อี๋ซื่ออ๋องขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สุดท้ายท่ามกลางสายตากำกับดูแลอย่างเข้มงวดและรอคอยของผู้ดูแลซ่ง เขาก็สะบัดแขนเสื้อเข้าห้องไป
ฎีกาการทหารเจียงหนานที่กองพะเนิน ทำให้โทสะของอี๋ซื่ออ๋องที่โดนเฉียนตั่วตั่วยั่วยุมลายหายไปไม่น้อยแล้ว
หลายวันมานี้ที่ไม่ได้กลับมา แม้เจียงเป่ยจะมีขุนนางที่ไว้ใจได้เพียงพอมาจัดการแทน เขาก็บงการทางไกลจากเยี่ยจิงอยู่ดี อย่างไรเสียก็ไม่ได้ไปถามด้วยตัวเอง จึงมีงานที่สะสมเอาไว้ไม่น้อย
เดิมทีบอกว่าเพิ่งจะกลับมา ใช้ชีวิตผ่อนคลายสบายๆ สักสองวันก่อน จากนั้นค่อยจัดการ เพราะโดนเฉินจื่อหลิงใช้อำนาจยึดเตียงไป ทั้งยังไม่อยากไปนอนตั่งไม้ตัวยาว อี๋ซื่ออ๋องจึงจัดการล่วงหน้าจำนวนหนึ่ง จึงได้รู้สึกว่างานนี้ยุ่งยากซับซ้อนมาก
เจียงเป่ยไม่มีงานอื่นใด ที่ใหญ่ที่สุดคือภารกิจของการทหาร แต่เฝ้ารักษาการณ์ที่ชิงหนิงในพรมแดนเหนือ เพื่อไม่ให้ชาวเป่ยเหรินรุกราน จนใจที่เหมิงหนูเหมือนตั๊กแตน ใจทะเยอทะยานและเคลื่อนไหวไม่หยุดหย่อนตลอดทั้งปี
ก่อนหน้านี้สงครามที่ติดพันมาสองปีกว่า เนื่องจากหลงชังฮ่องเต้ถูกจับจึงได้ยุติลง ยามนี้สงครามใหญ่แม้จะชะงักไปกลางคัน แต่ความวุ่นวายเล็กๆ ก็ยังไม่หยุดหย่อน
หลังจากฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ จัดการแผ่นดินหลังสงครามแล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนแดนเหนือเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีและมีสง่าราศี ชาวเหมิงหนูพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่องในช่วงหลังของสงคราม พลังของประเทศสูญเสียไปมากเกิน จึงเงียบไปนาน
ทว่าครึ่งปีมานี้ เหมิงหนูฟื้นฟูได้พอสมควรแล้ว ชายแดนเริ่มไม่สงบขึ้นอีกครั้ง
ก่อนที่เมืองหลวงนำทัพกลับเจียงเป่ยจึงได้รับฎีการายงานการทหารว่า หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเจียงเป่ยที่ติดกับเหมิงหนูถูกกองทัพเคลื่อนที่ของเหมิงหนูปล้นไปจนหมด
ครานี้ถูกฝ่าบาทั้งขู่ทั้งเกลี้ยกล่อมให้เอาเจียงเป่ยกลับมา ทั้งยังเพิ่มเฉินจ้าวไปควบคุมดูแลกิจการทางทหารของแดนเหนือ อี๋ซื่ออ๋องรู้แจ้งแก่ใจดีว่า หนึ่ง ฝ่าบาททรงกริ้วที่ตนประจันหน้ากับหวงกุ้ยเฟย กลัวว่าตนอยู่ที่เมืองหลวงต่อไปจะกลายเป็นความกังวลของหวงกุ้ยเฟย สอง เพื่อก่อนที่ชาวเหมิงหนูจะก่อความวุ่นวาย ให้ตนกับเฉินจ้าวปักหลักเฝ้ารักษาการณ์กองกำลังข้าศึกบุกประชิดพรมแดน ทำให้ชาวเหมิงหนูตกใจกลัว ให้ชาวเหมิงหนูไม่แผลงฤทธิ์
แม้ว่าก่อนจะออกจากเมืองหลวงมาได้เกิดความไม่พอใจกับฝ่าบาท แต่อี๋ซื่ออ๋องก็ยังคงต้องยอมรับอยู่ดีว่า การช่วยหงจยาฮ่องเต้ในตอนนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผิด
ดำรงตำแหน่งเพียงไม่กี่ปี หอบเอาปณิธานและความสำเร็จที่สร้างขึ้น กระทั่งกษัตริย์ที่ขึ้นครองราชย์ในประวัติศาสตร์ต้าเซวียนหลายสิบปีก็ยังไม่แน่ว่าจะสามารถทำได้สำเร็จ ไม่รู้ว่าตอนเป็นองค์ชายนั้นเก็บซ่อนความสามารถเอาไว้นานเพียงใด
ต่อให้ความร้าวฉานที่มีต่อฝ่าบาทสะสมเพิ่มขึ้น เขากลับไม่เสียดายที่เข้าสมัครพรรคพวกกับฝ่าบาท เพราะเขาเข้าใจดี ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงยามนี้ตนมีเป้าหมายเดียวกันกับฝ่าบาท นั่นก็คือเหมิงหนูที่แดนเหนือ
เรื่องอื่นๆ ล้วนสามารถอดทนได้ สามารถพูดคุยหัวเราะให้มันผ่านไปได้ มีเพียงเรื่องเดียวที่ไม่อาจทนได้ นั่นก็คือชาวเหมิงหนูที่ทำร้ายบิดามารดาของตนแล้วรุกรานชายแดนทางเหนือหลบหนีไป
ส่วนฝ่าบาทตั้งแต่เป็นองค์ชายจนถึงยามนี้ ทุกๆ ครั้งที่เอ่ยถึงเหมิงหนูอี๋ซื่ออ๋องสามารถมองเห็นความกระหายเลือดและความรุนแรงที่จะบ่อนทำลายแดนเหนือในสักวันหนึ่งในแววตานั้น
นี่ไม่ใช่แค่ความเกลียดชังและเอือมระอาของฮ่องเต้แห่งต้าเซวียนที่มีต่อศัตรูเก่า แต่ยังรวมถึงความไม่ชอบส่วนตัวด้วย
ฝ่าบาทมีความเด็ดขาดที่ไม่อยากจะอยู่ร่วมโลกเดียวกันกับเหมิงหนูและไม่มีวันเจรจาเพื่อสันติได้
ได้ยินมาว่ายามที่ฝ่าบาทยังเป็นองค์ชายอยู่ เคยถูกไท่จื่อกล่าวหาว่าเป็นมารหัวขนชาวเหมิงหนูที่พระสนมเอกเฮ่อเหลียนหอบครรภ์มายังต้าเซวียน ต่อมานึ่งกระดูกดูจึงได้ล้างมลทินนั้นไป
บางทีเป็นเพราะเรื่องนี้ ฝ่าบาทจึงไม่อาจทนให้ชาวเหมิงหนูมีอยู่ได้ อย่างไรเสีย แต่แรกจนตอนนี้ก็เป็นแผลเป็นของเขาอยู่แล้ว
ไม่ว่าอย่างไร อี๋ซื่ออ๋องก็กำลังต้องการกษัตริย์ผู้นำทัพเช่นนี้ที่เหมือนกับตน ที่จะต้องโค่นล้มเหมิงหนูลง
ไม่ไกลจากโต๊ะหนังสือนัก เฉินจื่อหลิงแม้จะยึดครองเตียงไว้ก่อน แต่ยามนี้กลับนอนไม่หลับ ห้องนอนก็ใหม่ ผ้าปูก็ใหม่ ผ้าห่มก็ใหม่