ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 279.4 ตอนพิเศษ นอนเตียงเล็ก (4)
สถานที่แห่งนี้ ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งแปลกใหม่ ทั้งยังไม่มีญาติและสหายสนิทของนางอยู่ และไม่แปลกไปจากที่คาดเลย เป็นไปได้มากที่นางจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไปชั่วชีวิต
เมื่อครู่เห็นเขากระแทกประตูเดินออกไปด้วยความโมโห เฉินจื่อหลิงคิดว่าเขาจะไปสถานที่อันอ่อนโยนอย่างสวนตะวันตกเสียแล้ว
เห็นเขาพาเด็กรับใช้หอบฎีกาเข้ามากองใหญ่ เฉินจื่อหลิงรู้ว่าเขาถูกผู้ดูแลซ่งจับตัวกลับมา ดูท่าทางเขาแล้ว คงไม่ได้เตรียมจะนอน แต่ถือเทียนทำงานมากกว่า
นางเบื่อหน่ายยิ่ง เท้าคางมองลอดม่านมุ้งอันขมุกขมัวออกไป เห็นเขานั่งอยู่หลังโต๊ะยาวอยู่เลือนราง ดวงตาหลุบลง บางครั้งก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย กำลังอ่านฎีกาทหาร ยกพู่กันขึ้นบ่อยๆ ขีดเขียนเป็นวงสองวงในฎีกา
ที่แท้บุรุษที่ถวายน้องสาวให้ฝ่าบาท ประจบเอาใจเจ้านาย เลี้ยงดูอนุงามๆ ไว้มากมายเต็มบ้านผู้นี้ ยามนี้ตั้งอกตั้งใจกลับไม่ได้ไม่อยู่กับร่องกับรอยเพียงนั้น
ท่าทางเช่นนี้ต่างหาก จึงจะใกล้กับจินตนาการนางยามเด็กที่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเขาเป็นครั้งแรก
เฉินจื่อหลิงหาวออกมา เหลือบมองไปที่หีบหีบนั้นที่คล้องโซ่ไว้ในตู้เสื้อผ้า แล้วรีบดึงสายตากลับมาทันทีโดยสัญชาตญาณ
ยามเงยหน้าขึ้นมาจากฎีการาชกิจ ฟากฟ้าด้านนอกหน้าต่างไม่รู้ว่าดึกดื่นไปมากเพียงใดแล้ว ไร้เสียงร้องของแมลงราตรีไปแล้ว
ด้านนอกม่านมุ้ง เสียงลมหายใจสม่ำเสมอดังลอยมาจากในเตียง
คงจะหลับเป็นตายไปแล้ว
อี๋ซื่ออ๋องตากระตุก วางฎีกาลง เดินเข้าไปหา นิ้วมือสองนิ้วแหวกม่านมุ้งออก อาศัยแสงจันทรามองเข้าไปด้านใน หัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว
ยังคงเป็นท่านอนก่อนขึ้นเตียงท่านั้น นางกอดกริชเอาไว้ในอก หันหน้าเข้ากำแพง งอตัวเหมือนกุ้ง เป็นท่าระมัดระวังเตรียมป้องกัน
เขาโน้มกายสูงลง มือหนึ่งตั้งขึ้นป้องกัน กันนางมีปฏิกิริยาขึ้นมาจริงๆ จะได้ห้ามไว้ได้ทันการ อีกมือหนึ่งยื่นไปหา หมายจะดึงกริชเล่มนั้นออกมา
ระยะห่างใกล้มาก
เขาสามารถได้กลิ่นหอมลอยมาจากร่างนาง ยังคงเป็นกลิ่นหอมน้ำนมธรรมชาติของเด็กสาวที่ธรรมชาติปั้นแต่งนั้น มือที่จะหยิบกริชชะลอช้าลงอย่างไร้สาเหตุ ทั้งยังชะงักเล็กน้อยกลางอากาศอีก
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะลมหายใจของเขาเข้าใกล้มากเกินไปหรือไม่ ทำให้นางที่อยู่ในห้วงฝันมีปฏิกิริยาว่องไว ริมฝีปากผลเชอร์รี่ขยับเล็กน้อย พลิกกายครู่หนึ่ง เผยให้เห็นครึ่งลำคอโล่งๆ
ผิวพรรณสีน้ำผึ้งอมชมพู ไม่เหมือนบรรดาอนุในจวนเหล่านั้นที่ขาวซีดเหมือนคนตายเพราะไม่โดนแดดมาหลายปี ทั้งยังชุ่มชื้นเปล่งปลั่ง ยิ่งเพิ่มความสดใสเอิบอิ่มมีชีวิตชีวาและหอมหวน
มีชีวิตชีวาและหอมหวนอย่างนั้นรึ
มารดามันเถิด เขาจะต้องมีปรารถนาแต่ไม่ได้เติมเต็มแน่ ดูท่าแล้วพรุ่งนี้คงต้องไประงับเปลวเพลิงที่สวนตะวันตกเสียหน่อย มิฉะนั้นจะเห็นแม่หมูเป็นเตียวเสี้ยน[1]ไปได้
เขาดึงสติกลับมา ยื่นมือไปเบื้องหน้าต่อ สัมผัสถูกความเย็นแข็งและโค้งงอของกริชเล่มนั้นได้ ค่อยๆ ดึงออกจากฝ่ามือนางเบาๆ เพิ่งจะดึงออกมาได้แค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น กลับเห็นริมฝีปากนางขมุบขมิบ
เขาคิดว่านางจะตกใจตื่นแล้ว จึงหยุดการเคลื่อนไหวในการดึงกริช แต่กลับได้เสียงนางลอยมาแทน
ท่ามกลางราตรี เสียงนั้นสั่นเครือเล็กน้อย แต่ขึ้นจมูกหนักไม่น้อย
“…ท่านปู่ พี่ชาย” ฮึมฮัมไปมา เด็กสาวกอดกริชแน่นราวกับกอดของล้ำค่าหายากไว้
พบกันคราแรกที่เมืองหลวงทำตัวไร้เหตุผล วางอำนาจบาตรใหญ่ไปตลอดทาง เพิกเฉยต่อเกียรติแห่งพระชายาซื่ออ๋อง พอมาถึงบ้านสามีก็ทำม้าดีดจนฟันอนุในจวนหัก ราวกับไร้ปฏิภาณไหวพริบ ที่แท้ก็คิดถึงบ้านเป็นด้วยหรือนี่ และกลัวว่าจะแต่งงานมาอยู่ที่นี่โดยไร้ญาติขาดมิตรด้วยอย่างนั้นรึ
แสงจันทราบางเบากับแสงเทียนนอกห้องที่สาดส่องมา มีบางสิ่งกลอกกลิ้งบนแพขนตา
เขาเห็นนางกอดกริชไว้แน่น หากเพิ่มแรงไปจะต้องทำนางตื่นแน่ จึงไม่สะดวกทำต่อ จำต้องหยุดลง ปล่อยให้นางกอดเหล็กเย็นๆ นอนหลับสนิทไป เขายืดตัวตรงเลิกม่านเดินออกไป
เพิ่งจะเลิกม่านขึ้นกลับเห็นบานประตูนอกห้องแง้มออกเล็กน้อย ใบหน้าครึ่งหนึ่งแนบกับช่องว่างของประตู คล้ายจ้องมานานมากแล้ว
“บังอาจ!” อี๋ซื่ออ๋องตวาด
ตงเอ๋อร์เข้ามาแต่โดยดี อึกอักว่า “ซื่ออ๋อง บ่าวแค่เห็นว่าโต๊ะทำงานของท่านว่างเปล่า คิดว่าท่านเกิดเรื่องใดขึ้นจึงได้มาดูเจ้าค่ะ”
เกรงว่าเด็กคนนี้คงจะกำชับสาวใช้เอาไว้ให้จับตาดูตนไว้ ทำไมรึ หรือยังกลัวเขาจะปีนขึ้นเตียงนางตอนกลางดึก
แต่ยามนี้น่าแปลกนัก นึกไม่ถึงว่าอี๋ซื่ออ๋องจะไม่โกรธเหมือนเมื่อก่อน เขาโบกมือ “ออกไป”
ตงเอ๋อร์หันหลังกลับ กำลังจะออกไปกลับได้ยินเสียงตะโกนลอยมาจากด้านหลังอีกว่า “ช้าก่อน!”
ตงเอ๋อร์ฝีเท้าชะงัก “ซื่ออ๋องมีอะไรจะกำชับหรือ”
ภายใต้แสงเทียนริบหรี่ ดวงตาหงส์ของอี๋ซื่ออ๋องขยับไหว “คุณหนูเจ้ามีกริชเล่มหนึ่ง ฝังทองคำและหยกไว้ พกติดตัวไว้ตั้งแต่เด็กๆ จนโต กระทั่งตอนนอนก็ไม่ห่างกายหรือ”
ตงเอ๋อร์โพล่งไปว่า “อ้อ เล่มนั้นน่ะหรือ ไม่ได้พกติดตัวตลอดหรอกเจ้าค่ะ แต่ตอนวันเกิดครบรอบสิบขวบของคุณหนู ท่านแม่ทัพอาวุโสมอบให้เป็นของป้องกันตัวกับนางชิ้นแรก ทั้งยังเป็นสิ่งที่คุณชายใหญ่ตั้งใจเอาออกไปแกะสลักขอบเอง ดังนั้นคุณหนูจึงให้ความสำคัญมาก”
ดูท่าร้ายกาจไม่น้อย แต่เบื้องหลัง นึกไม่ถึงว่าจะอาศัยกริชที่คนในครอบครัวมอบให้เอามาดูต่างหน้า
นอนหลับยังต้องกอดไว้
คิดว่านางเก่งกาจไม่ธรรมดา ที่แท้ก็แข็งนอกอ่อนใน เป็นเสือกระดาษตัวหนึ่ง!
อี๋ซื่ออ๋องลูบหน้าอกที่อึดอัดอยู่ค่อนคืน อารมณ์แห้งเหี่ยวที่ปีนขึ้นเตียงไม่ได้กลับคืนสู่ปกติสุข ปลอดโปร่งโล่งสบายขึ้นมาไม่น้อย
พออรุณเบิกฟ้า อี๋ซื่ออ๋องก็ลืมตาขึ้น
เมื่อคืนทำงานจนดึกดื่น ครึ่งคืนหลังฝืนไม่ไหว จึงมางีบบนเตียงไม้ตัวยาวด้านข้าง
พอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็มาอยู่บนเตียงใหญ่แล้ว ซ้ำบนเตียงยังมีเพียงตนคนเดียว นางคงตื่นก่อนแล้วหามตนมาบนนี้กับตงเอ๋อร์ พวกคนรับใช้เข้ามาปรนนิบัติรับใช้จะได้ไม่มาเห็นเอา เพิ่มเรื่องนินทาเข้าไปอีก
คนรับใช้สองคนได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของซื่ออ๋อง จึงรีบถือน้ำล้างหน้าเข้ามา “นายท่านตื่นแล้ว”
อี๋ซื่ออ๋องลุกขึ้นนั่ง บิดขี้เกียจไปมา
เรียกได้ว่านางยังไม่ขาดไหวพริบไปถึงขั้นนั้น ปิดประตูอยู่ในห้องหับไม่สนใจว่าจะอวดดีอย่างไร อย่างน้อยต่อหน้าคนอื่นก็ไม่ได้ทำเกินไป
อันที่จริงเฉินจื่อหลิงนึกย้อนไปถึงคำพูดโหดเหี้ยมเมื่อวานของเขา คิดๆ ดูแล้วก็จริง เพิ่งจะแต่งงานได้ไม่กี่วันก็แยกเตียงนอนกับสามีแล้ว เรื่องลือไปถึงเมืองหลวง ตนน่ะไม่เป็นไร แต่ทำชิ่นเอ๋อร์ขายหน้าอย่างยากจะเลี่ยงแน่ ดังนั้นพอตื่นแล้ว จึงแบกบุรุษที่หลับเหมือนหมูตายอยู่บนตั่งไม้ตัวยาวมาไว้บนเตียงกับตงเอ๋อร์
“ฮูหยินเล่า” ปล่อยให้คนรับใช้ช่วยคลุมชุดคลุมตัวสุดท้าย อี๋ซื่ออ๋องส่องกระจก มองเงาหล่อเหล่ามีชีวิตชีวา ลักษณะสง่างาม หน้าตาหล่อเหลา กระฉับกระเฉงในกระจก ยังเรียกได้ว่าไม่เลว เขากลัดกระดุมส่วนหน้า เอ่ยถามอย่างเกียจคร้าน
คนรับใช้ทั้งสองสบตากัน รายงานไปตามตรงว่า “ไปป้อนหญ้าเชียนหลี่จวิ้นของซื่ออ๋องตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ จากนั้นก็จูงม้าพาตงเอ๋อร์ออกจากจวนไป บอกว่าจะกลับมาก่อนเที่ยง”
คงจะไปทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมและชาวบ้านในเจียงเป่ยกระมัง
ประเพณีท้องถิ่นในชายแดนป่าเถื่อน สตรีที่นี่ไม่เหมือนสตรีในเมืองหลวงที่ออกจากบ้านยังต้องมีคนล้อมหน้าล้อมหลัง พาคนทั้งกลุ่มกรูกันติดตามไป และยิ่งไม่มีกฎธรรมเนียมอะไรมากมายที่ต้องนั่งเกี้ยวสวมหมวกคลุมหน้า พันเสียมิดชิดกลัวเจอคนอย่างเมืองหลวง
เดิมทีก็ไม่มีอะไรมากมายหรอก ก็แค่เหตุใดจึงเอาเชียนหลี่จวิ้นอ๋องตนออกไปอีกแล้วเล่า
อี๋ซื่ออ๋องสีหน้าอึมครึม
“นายท่านเจ้าคะ ต้องส่งคนไปตามฮูหยินกลับมาหรือไม่ อย่างไรเสียก็เพิ่งมาเจียงเป่ย ไม่คุ้นเคยกับคนและสภาพแวดล้อม ทั้งยังไม่ได้พาคนรับใช้ออกไปด้วย เกิดหลงทางหรือเจอเรื่องใดเข้าจะทำเช่นไร” คนรับใช้คนหนึ่งเห็นอี๋ซื่ออ๋องตื่นขึ้นมาดูเหมือนจะโกรธหนัก จึงลองหยั่งเชิงเสียงเบา
———————————–
[1] เตียวเสี้ยน หนึ่งในสี่ยอดพธูของจีนโบราณ