ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 280.1 ตอนพิเศษ มีกับดัก (1)
“ไม่ใช่เด็กสามขวบเสียหน่อย มีแข้งมีขา ออกไปอย่างไรก็รู้ว่าจะกลับมาอย่างไร ยังจะกลัวโดนลักพาตัวไปอีกรึ” อี๋ซื่ออ๋องไม่มีเวลามาสนใจเฉินจื่อหลิง เขากำชับว่า “เตรียมม้า ไปค่ายทหาร”
พื้นที่ว่างด้านหน้าค่ายทหารในเขตชานเมืองเป็นค่ายทหารชั่วคราวของแดนเหนือที่เอาไว้ใช้ฝึกกำลังทหาร
อ้อมผ่านด้านหลังไปมีเรือนหลังคากระเบื้องสีดำรูปทรงตระหง่านหลังหนึ่ง เป็นสถานที่ทำงานส่วนราชการที่อี๋ซื่ออ๋องใช้จัดการกิจการทหารประจำวัน
พออี๋ซื่ออ๋องมาถึงค่าย ขุนพลผู้ช่วยจำนวนหนึ่งก็วิ่งมาต้อนรับ ทหารระดับสูงห้อมล้อมเดินไปด้านในตลอดทาง พลางรายงานสถานการณ์รายละเอียดที่แนวหน้าเหมิงหนูข้ามชายแดนมารุกรานหมู่บ้านไปด้วย
กองทัพทหารเคลื่อนที่ของเหมิงหนูข้ามแดนมาราวกับตั๊กแตน ภายในคืนเดียวก็โจมตีหมู่บ้านชายแดนแห่งหนึ่ง สตรีและเด็ก รวมถึงทรัพย์สินถูกปล้นไป สภาพระเนระนาดเรี่ยราดไปหมด
“ไอ้ลิงเหนือรังแกคนเกินไปแล้ว สงครามใหญ่เพิ่งจะจบลงก็ยังไม่ลดละ ละโมบโลภมากนัก! ซื่ออ๋องกลับมาก็ดีแล้ว ทุกอย่างล้วนฟังซื่ออ๋องจัดการขอรับ!” บรรดาขุนนางทหารต่างเอ่ยกันกังวานก้อง
อี๋ซื่ออ๋องฟังเสียจนสีหน้าค่อยๆ ทะมึนขึ้น ไม่ได้ไปตรวจตราการฝึกซ้อมทหารที่ค่ายก่อนเหมือนดังปกติ เขายกมือไพล่หลังทั้งสองข้าง นำทหารทั้งกลุ่มตรงไปยังโถงใหญ่ในเรือนทำงานเพื่อหารือทันที ฝีเท้ารีบร้อนราวกับลม เย็นเยียบเต็มไปด้วยไอสังหาร
พอนั่งมั่นแล้ว ครู่ต่อมา อี๋ซื่ออ๋องก็มีความคิดเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เขาเงยหน้าหันไปหาขุนนางทหารเปี่ยมพลังและห้าวหาญนายหนึ่ง โยนตราอาญาสิทธิ์ไปให้ “เจ้านำข้าวสารห้าร้อยตัน แป้งสาลีสามร้อยตันและของใช้จำเป็นไปให้หมู่บ้านที่โดนโจมตี ปลอบขวัญชาวบ้าน ช่วยประชาชนสร้างบ้านขึ้นใหม่ แจกจ่ายค่าครองชีพให้”
“สถานที่ที่โดนโจมตีเป็นแค่หมู่บ้านเล็กๆ เท่านั้น รวมๆ แล้วมีประชาชนร้อยกว่าคน” ขุนนางที่ได้รับคำสั่งรีบบอก “สิ่งของปลอบขวัญมากไปหรือไม่ขอรับ”
อี๋ซื่ออ๋องทำหูทวนลม หันหน้าไปหาทหารอีกคน “เจ้า จัดทหารม้านอกเครื่องแบบแบ่งเป็นสามกอง ติดตามไปในระยะสิบลี้ กระจายไปตามเมืองและหมู่บ้านรอบๆ หมู่บ้านที่ถูกโจมตี พอกองทหารบำรุงขวัญจากไปทหารม้านอกเครื่องแบบก็ปักหลักอยู่ที่เดิม หากไม่มีคำสั่ง ไม่อนุญาตให้ออกไปเด็ดขาด”
ทุกคนต่างติดตามข้างกายอี๋ซื่ออ๋องออกรบมาหลายปี ทันใดนั้นก็ต่างกระจ่างแจ้งในจุดมุ่งหมาย ที่ซื่ออ๋องวางแผนก็คือ เหมิงหนู ‘ละโมบโลภมาก’ สี่คำนี้
กองทัพเคลื่อนที่ของเหมิงหนูเพิ่งจะกอบโกยไปได้ กำลังคึกคักดีอกดีใจกัน
ข้าวสารห้าร้อยตัน แป้งสาลีสามร้อยกระสอบอีกทั้งเครื่องใช้จำเป็นมากมาย ไม่ใช่น้อยๆ ชาวเหมิงหนูจะต้องคิดว่า กองทัพต้าเซวียนรู้สึกว่าพวกเขาเพิ่งจะปล้นสะดมไปหมาดๆ ไม่มีทางมาลงมืออีก รอให้กองทัพบำรุงขวัญจากไปก่อน พวกเหมิงหนูก็จะอาศัยจังหวะนี้จู่โจมอีกครั้ง ทหารม้านอกเครื่องแบบที่ลอบซุ่มโจมตีอยู่แถวนั้นยามนี้ก็จะสามารถจับพวกมันได้ทั้งหมดในคราวเดียว
ภายใต้แผนการนี้ หลังจากใช้ตราอาญาสิทธิ์แล้ว บรรดาขุนนางทหารต่างแยกย้ายกันไปจัดการ สีฟากฟ้าเข้าใกล้เที่ยงวันแล้ว
“ซื่ออ๋องจะทานที่ค่ายหรือไม่ขอรับ” ทหารในครัวนายหนึ่งที่รับผิดชอบชีวิตประจำวันในค่ายเห็นทหารชั้นสูงต่างแยกย้ายกันไปหมดแล้ว รู้ว่าการประชุมเสร็จสิ้น จึงได้เข้าไปถาม
ไม่เอ่ยเตือนยังพอทำเนา พอเตือนขึ้นมาแล้ว อี๋ซื่ออ๋องจึงได้รู้สึกว่าท้องแฟบไป ลูบท้องอย่างเกียจคร้านไปมา “ตัดเนื้อวัวมาสองสามชั่ง คู่กับสุราอำพัน” เมื่อคืนนอนดึกเกินไป วันนี้จึงตื่นสาย และไม่ได้ทานมื้อเช้า จึงหิวจนไส้กิ่ว
คนๆ นั้นก็ดีนัก นอนเต็มที่กินอิ่มหนำดื่มจนพอแล้วก็พาสาวใช้ไปเดินเล่น พอนึกถึงเรื่องนี้ อี๋ซื่ออ๋องก็หงุดหงิดขึ้นมา
ทหารชั้นผู้น้อยได้รับคำสั่ง กำลังจะหันกลับไปเตรียมอาหารก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยขึ้นเสียงดังว่า “ซื่ออ๋อง เช่นนั้นให้เรียกฮูหยินมาทานด้วยกันหรือไม่ขอรับ”
สีหน้าผ่อนคลายของอี๋ซื่ออ๋องตึงเขม็ง “ฮูหยินที่ไหน”
“พระชายาซื่ออ๋องอย่างไรเล่าขอรับ เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ข้าน้อยจะไปเรียกมาก่อน นางอยู่ที่สนามฝึกนี้เองขอรับ” ทหารชั้นผู้น้อยเกาท้ายทอย เอ่ยอย่างซื่อๆ
อี๋ซื่ออ๋องลุกพรวดพราดขึ้น นางวิ่งมาค่ายทหารแล้ว! เฮอะ
ทหารชั้นผู้น้อยเห็นสีหน้าผู้บังคับบัญชาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว กำลังจะเอ่ยขึ้นก็เห็นชายเสื้อคลุมอี๋ซื่ออ๋องสะบัดพลิ้ว สาวเท้าก้าวยาวๆ ไปทางนอกห้องโถงใหญ่ จึงจำต้องเร่งฝีเท้าตามไป
“มานานหรือยัง” ระหว่างทาง อี๋ซื่ออ๋องเอ่ยอย่างใจร้อน
อี๋ซื่ออ๋องแม้จะใจร้อน แต่ยังค่อนข้างให้ความสนใจต่อภาพลักษณ์ภายนอก ยามปกติในค่ายก็ไม่รีบไม่ร้อนอะไร วันนี้กลับเสียกิริยาไปจนสิ้น ทหารชั้นผู้น้อยรีบรายงานว่า “มาตั้งแต่เช้าตรู่เลยขอรับ เช้ากว่าซื่ออ๋องสองชั่วยามแหน่ะ ยามนี้กำลังดูพวกนายกองหลี่ฝึกซ้อมอยู่ที่สนาม ซื่ออ๋องไม่ได้อนุญาตแล้วหรอกหรือ”
อนุญาตกับมารดาเจ้าน่ะสิ!
คาดว่าคงอ้างชื่อตนเข้าค่ายทหารมา มิน่าเล่าตอนเข้ามาจึงไม่มีใครบอกตนสักคำ จะต้องพากันคิดว่าตนรู้อยู่แล้วแน่
อี๋ซื่ออ๋องฝีเท้ารีบร้อนจนแทบจะเหาะ เพียงไม่นาน เบื้องหน้าอันกว้างใหญ่ไพศาลก็สว่างทันใด
ในสนามฝึก นายกองกำลังฝึกทหารกันอยู่ ตะวันกำลังส่องแสงจ้า บรรดาทหารตั้งแถวเป็นกอง ถกแขนเสื้อขึ้น แขนกำยำสีน้ำตาลเข้มถูกแสงแดดแผดเผา ถือหอกถือทวน ปากร้องตะโกนฮู่ฮ่า ทั่วทั่งร่างมีเหงื่อซ่กเหมือนฝนตก
บนอัฒจันทร์เบื้องหน้านั้น อาภรณ์ม่วงตลอดร่าง เอวคอดคาดเข็มขัดหยก ผมเกล้าขึ้นสูง ดวงหน้ารูปไข่แดงอมชมพูระเรื่อ แววตาเป็นประกายตื่นเต้นดีอกดีใจ
แต่งตัวเป็นสตรีออกเรือนแล้วแท้ๆ แต่การกระทำกับเหมือนเด็กหญิงวัยห้าหกขวบ
บุตรสาวคนโตไร้มารดาไม่อาจสู่ขอได้ หญิงสาวตระกูลแม่ทัพถูกบรรดาชายชาตรีในจวนคอยตามใจจนโตก็ยิ่งไม่อาจสู่ขอได้เข้าไปใหญ่
แต่เขาดันสู่ขอไปแล้วนี่สิ
สตรีสองนางขนาบข้างซ้ายขวารวมถึงทหารชั้นผู้น้อยที่คุ้นหน้าคุ้นตาสองนาย เป็นทหารส่วนตัวสองนายที่ถูกนางซื้อไประหว่างทางกลับเจียงเป่ย คนหนึ่งยกน้ำ คนหนึ่งถือพัด ท่าทางเหมือนสุนัขรับใช้ยิ่ง
สายตาทะมึนจับจ้องมา ตงเอ๋อร์กระตุกแขนเสื้อเฉินจื่อหลิง กระซิบบอกสองคำ
ก่อนที่เขาจะก้าวขึ้นมาบนอัฒจันทร์ เฉินจื่อหลิงก็ให้ทหารคนสนิทข้างกายนำคำลงไปบอก
ทหารคนสนิทนายหนึ่งวิ่งเหยาะๆ ลงไป เอ่ยเสียงดังว่า “เที่ยงแล้ว ทางห้องครัวตั้งโต๊ะแล้ว นายกองหลี่กับบรรดาทหารทุกนายไปเติมท้องกันก่อนเถิด”
“ขอรับ!” นายกองหลี่เห็นซื่ออ๋องก็มาด้วย ส่งสัญญาณให้ทหารทิ้งอาวุธและแยกย้ายกันไป
กระทั่งชื่อเสียงเรียงนามของนายกองของเขาก็ยังรู้แล้ว ทั้งยังรวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวแล้ว
อี๋ซื่ออ๋องจมูกกระตุก เห็นนายกองหลี่สาวเท้าเข้าไปหาแล้ว ประสานมือเอ่ยว่า “ซื่ออ๋องเมื่อวานเพิ่งจะเดินทางไกลพันลี้กลับมาจากเยี่ยจิง ไม่พักอยู่ที่จวนสักสองสามวันก่อนหรือ ในกองทัพมีพวกเราดูแลอยู่ ซื่ออ๋องวางใจได้เลยขอรับ!”
อี๋ซื่ออ๋องส่งเสียงงึมงำขานรับไป ริมฝีปากกลับเย็นยะเยียบ พักผ่อนอย่างนั้นรึ เขากลับคิดว่าใครจะไม่อยากกอดอนุมาซุกอยู่บนเตียงบ้าง จนใจที่ในจวนเห็นหน้าคนๆ หนึ่งแล้วปวดหัว จึงไประบายความรำคาญกับงานการ แต่กลับมาเจอกันในที่ทำงานอีก!
นายกองหลี่ไม่ได้สังเกตสีหน้าผู้บังคับบัญชา ขยับศีรษะและหันใบหน้าหยาบกร้านโดนแดดเผาจนแดงเหมือนชาวที่ราบสูงไปทางเฉินจื่อหลิง “คำแนะนำของฮูหยินเมื่อครู่ เปลี่ยนขบวนทัพใหม่ พอฝึกอีกครั้ง ราบรื่นกว่าก่อนหน้านี้จริงๆ ก่อนหน้านี้ฝึกกันดุเดือดอยู่ไม่น้อย มักจะมีอาวุธปะทะโดนกัน แสดงความสามารถออกมาไม่ได้ ตอนตั้งขบวนก็ล่าช้า ได้ยินมาว่าตระกูลเฉินศาสตร์การต่อสู้ไม่ธรรมดามาตั้งนานแล้ว จากคนธรรมดาร่ำเรียนศิลปะการต่อสู้เข้ารับราชการ เพียงแค่ไม่กี่รุ่นก็สามารถมีจอหงวนทางด้านการทหารและทั่นฮวา[1]ด้านการทหารออกมาไม่น้อยแล้ว กระโจนเข้าสู่ราชสำนักไปในคราวเดียว สมกับชื่อเสียงจริงๆ แม่ทัพอาวุโสเฉินสมกับเป็นผู้อาวุโสในตระกูลแม่ทัพอย่างจริงๆ ประสบการณ์มากมาย สมแล้วที่บรรดาทหารหาญเจียงเป่ยอย่างพวกเราเคารพนับถือ มองท่านแม่ทัพอาวุโสเฉินเป็นต้นแบบ ขอบคุณฮูหยินมากนักที่สั่งสอนอย่างใจกว้าง! ฮูหยินเข้าสู่ดินแดนแห่งนี้ ช่างเป็นโชคดีของเจียงเป่ยเรา!”
นางยังชี้แนะการฝึกของบรรดาทหารอีกด้วยรึ อี๋ซื่ออ๋องจ้องเฉินจื่อหลิงเขม็ง
เฉินจื่อหลิงสะทกสะท้อนอยู่ในใจ เพิ่งจะเข้าสำนักงานทหารมา ยังกลัวว่าขุนนางทหารจะขวางไว้อยู่เลย ต่อมาจึงได้รู้ว่าที่แท้ทหารรักษาชายแดนเจียงเป่ยกว่าครึ่งนึกไม่ถึงว่าจะสนับสนุนท่านปู่ นึกๆ ดูแล้วก็น่าขันไม่น้อย บรรดาทหารเจียงเป่ยเลื่อมใสศรัทธาท่านปู่ ส่วนหลานสาวสกุลเฉินกลับนำเอาผู้บัญชาการสูงสุดแห่งทหารเจียงเป่ยมาเป็นแบบอย่างเสียอย่างนั้น
————————————
[1] ทั่นฮวา การสอบหน้าพระที่นั่งหรือ “เตี้ยนซื่อ”(殿试)ผู้ที่สามารถสอบผ่านได้เลื่อนเป็นจิ้นซื่อ(进士)และผู้ที่สอบได้ที่ 1, 2 และ 3 จะได้ตำแหน่งจอหงวน(状元), ปั่งเหยี่ยน(榜眼)และทั่นฮวา(探花)ตามลำดับ