ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 280.2 ตอนพิเศษ มีกับดัก (2)
ในแววตานางประดับรอยยิ้ม “ข้าก็แค่ได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินอยู่เป็นประจำตั้งแต่เด็กๆ ได้ฟังท่านปู่กับท่านพี่พูดมาเยอะ ถือโอกาสชี้แนะนิดหน่อยเท่านั้น ใต้เท้านายกองต่างหากที่จิตใจกว้างขวาง ยินดีรับฟังคำแนะนำของข้า ไม่เหมือนชายบางคน มองสตรีเป็นสิ่งของ”
อี๋ซื่ออ๋องสีหน้าทะมึน
“ฮูหยินเป็นพระชายาซื่ออ๋อง เป็นนายหญิงแห่งเมืองเจียงเป่ย ทั้งยังเกิดในตระกูลเฉิน ไม่ใช่สตรีธรรมดา คำพูดของท่านก็เหมือนคำพูดของซื่ออ๋อง ย่อมต้องรับฟังขอรับ” นายกองหลี่รีบเอ่ยบอก
เฉินจื่อหลิงไม่ถ่อมตนเอ่ยชมออกไป ทำเพียงมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยว่า “ข้าได้ยินมาว่า ฮูหยินของแม่ทัพรุ่นก่อนๆ ที่ปักหลักรักษาการณ์อยู่เจียงเป่ยล้วนเก่งกาจสามารถกันทั้งนั้น แม้ว่าแม่ทัพจะเสียชีวิตไปก่อน ก็สามารถเฝ้ารักษาการณ์คูเมืองแทนสามีได้จนรอราชสำนักส่งแม่ทัพมาใหม่”
อี๋ซื่ออ๋องสีหน้าแข็งทื่อ
นายกองหลี่ถูกเฉินจื่อหลิงเอ่ยขึ้นว่าก็เล่าอย่างออกรสว่า “ใช่น่ะสิขอรับ! สภาพแวดล้อมคูเมืองที่ชายแดนของเราแตกต่างจากพื้นที่ด้านใน สตรีบอบบางอยู่ไม่ได้หรอก! ฮูหยินที่ด่านชายแดนจะอ่อนแอได้อย่างไร อย่าว่าแต่เฝ้ารักษาการณ์เลย นึกไปถึงว่าสมัยก่อนแม่ม่ายของจวนตระกูลหยางกับสาวใช้ห้องเครื่องยังสามารถออกรบแทนสามี โจมตีทหารเหลียวให้ถอยทัพไปไกลตั้งร้อยลี้ได้เลย ตอนที่หมิงหย่งเล่อฮ่องเต้เป็นองค์ชายปกครองชายแดนอยู่ เคยออกจากเมืองไปครั้งหนึ่ง ชาวเหมิงกู่อาศัยจังหวะที่เมืองไร้นายเข้าโจมตี ได้พระชายาสวีของพระองค์รำทัพต่อต้านชาวเหมิงกู่ไว้ สาดน้ำไปบนหอสังเกตการณ์ให้แข็ง เพื่อขวางไม่ให้ชาวเหมิงกู่ปีนขึ้นมาตีเมือง…เหมาะสมกับบุรุษที่ทำคุณอันยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ใช่สตรีธรรมดาอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นจะเรียกว่าคู่สร้างคู่สมได้อย่างไร ฮ่าๆ”
เฉินจื่อหลิงแพขนตาขยับไหว กะพริบคราหนึ่ง เหลือบมองคนด้านข้าง
นี่นางอาศัยปากของคนรับใช้เขามาบอกเขาว่า ตำแหน่งของพวกเขาเท่าเทียมกัน อย่าได้มองนางเหมือนสตรีหลังเรือนเหล่านั้นที่อาศัยแค่สีหน้าและความรักความโปรดปรานของบุรุษจึงจะมีชีวิตที่ดีงามได้ อี๋ซื่ออ๋องสีหน้าทะมึน
พูดไปพูมา เสียงนายกองหลี่ก็เบาลงเรื่อยๆ ยามนี้จึงได้สังเกตเห็นสีหน้าของนายตน สัมผัสได้ว่ามัวแต่ตอบฮูหยิน ทำอี๋ซื่ออ๋องตากแดดอยู่นานแล้ว กำลังจะเอ่ยขึ้น อี๋ซื่ออ๋องก็แค่นเสียงเฮอะออกมา “นายกองหลี่ ไปกินข้าวก่อนไป!”
นายกองหลี่รีบออกไปทันที
ในขณะเดียวกัน เสียงอี๋ซื่ออ๋องก็คล้ายคำรามต่ำออกมาจากลำคอ “ไสหัวกลับไป”
“ไหนๆ ก็มาแล้ว ดูอีกสักหน่อยดีกว่า ได้ยินว่าตอนบ่ายจะเป็นการฝึกยิงธนูขี่ม้า ท่านไปกินข้าวก่อนเถิด ข้าไม่หิว” นางเอ่ยโดยไม่ละอายใจสักนิด
“อื้ม คุณหนูถนัดขี่ม้ายิงธนูที่สุด” ตงเอ๋อร์พยักหน้าหงึกหงักเหมือนตำกระเทียม
อี๋ซื่ออ๋องยังไม่เคยเห็นสตรีคนไหนที่หน้าด้านไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน ซ้ำยังทำตนตกใจได้ทุกวี่วัน จึงเอ่ยเสียงเน้นหนักว่า “เจ้าไม่ได้ไหนๆ ก็มาแล้ว แต่เจ้ามาอยู่ทั้งเช้าแล้วต่างหาก”
“อย่างไรเสียก็มาอยู่ทั้งเช้าแล้ว อยู่ต่ออีกหน่อยก็คงไม่เลว” เฉินจื่อหลิงทำตัวไร้เหตุผล
นี่นางเห็นว่าอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ เขาไม่มีทางทะเลาะกับนางได้ใช่หรือไม่
เขาไม่ยอมแพ้
อี๋ซื่ออ๋องก้มหน้าลง ขยับไปข้างหูนาง “ไม่กลับใช่หรือไม่”
เฉินจื่อหลิงลูบติ่งหูไปมา ถูกลมหายใจหนักๆ ของเขาเป่าแล้วจั๊กจี้นิดๆ
อี๋ซื่ออ๋องกวาดสายตามองไปตกลงบนร่างทหารคนสนิทสองนายที่อยู่ด้านข้าง ตะโกนขึ้นว่า “ใครก็ได้ ทหารสองนายไม่คำนึงถึงกฎวินัย ขัดขืนผู้บัญชาการ ลากตัวทั้งสองคนออกไปที่กว้างของค่าย ถอดกางเกงออก โบยห้าสิบที!”
ทหารส่วนตัวสองนายตกใจจนหน้าถอดสี
เฉินจื่อหลิงไม่เชื่อว่าเขาจะไประบายโทสะใส่ทหารที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ นางหันหน้าไป
ทหารสองนายได้รับคำสั่งก็ไปหามทหารคนสนิทสองนายไปยังที่ว่าง กางเกงปลดลง หยิบกระบองทหารขึ้นมาฟาดลงไปทันที!
เสียงร้องของทหารส่วนตัวลอยมา เฉินจื่อหลิงจึงได้สติขึ้น เขาเอาจริง นางรีบเอ่ยว่า “ท่านเอาจริง!”
“ไม่เช่นนั้นเล่า” อี๋ซื่ออ๋องโบกมือ ส่งสัญญาณให้ทำต่อ
ภายในค่ายทหาร ผู้บัญชาการอยากจะหาเรื่องเอาผิดผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ว่าอย่างไรก็สามารถกุเรื่องหาโทษมาได้อยู่ดี เฉินจื่อหลิงไม่ใช้ไม้แข็งชนแข็งกับเขาแล้ว “พอแล้ว ไปจูงต้าไกวมา”
ตั้งแต่วันนี้ที่ไม่ทันระวังถูกนางเข้ามาเดินเล่นวุ่นวาย อี๋ซื่ออ๋องก็เก็บเอามาใส่ใจ ออกคำสั่งที่สำนักงานทหารในวันนั้นว่าหากไม่มีป้ายคำสั่งผ่านทางจากเขา แต่นี้ไปไม่ว่าใครก็ไม่อนุญาตให้เข้ามา
เฉินจื่อหลิงรู้แต่แรกว่าเขาจะไม่ให้ตนได้มีโอกาสเข้าไปอีก แม้ว่าไปแล้วเกรงว่าก็คงโดนปฏิเสธอยู่หน้าประตู ไม่ได้เข้าไปอีก
แต่พระชายาซื่ออ๋องไปสถานที่สำคัญอย่างสำนักงานทหารด้วยตัวเอง หลังจากเยี่ยมชมการฝึกแล้ว ทำให้เกิดกระแสขึ้นมาไม่น้อย
เพียงแต่ขุนนางทหารที่เคยพบฮูหยินในวันนั้น ลือกันไปอย่างบ้าคลั่ง เดิมคิดว่าฮูหยินของซื่ออ๋องแม้จะเป็นสตรีจากตระกูลแม่ทัพ แต่อย่างไรเสียก็เติบโตมาในเมืองหลวง จะต้องหยิ่งยโสลำพองตน อีกทั้งอายุก็ยังน้อยอยู่สักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจเป็นบุปผาในเรือนกระจก คิดไม่ถึงว่าพอได้พบแล้วจึงได้รู้ว่ามองผิดไป ผนวกกับแต่ไหนแต่ไรมาเคารพนับถือตระกูลเฉินมาโดยตลอด จึงรับตำแหน่งฮูหยินแห่งชายแดนไปได้โดยสมบูรณ์
หลังจากวันนั้นที่เฉินจื่อหลิงพาตงเอ๋อร์กลับไป อี๋ซื่ออ๋องก็ทานมื้อเที่ยงที่สำนักงานทหาร เพิ่งจะออกมาเดินที่ลานบ้านหมายจะย่อยอาหาร ขายังไม่ทันจะก้าวก็เห็นเงาคนลับๆ ล่อๆ เดินวนไปมาอยู่หน้าประตู แอบเมียงๆ มองๆ มาด้านใน
อี๋ซื่ออ๋องตวาดใส่คำหนึ่ง นายกองหลี่ก็เดินพรวดๆ เข้ามาทันที
เดิมทีการฝึกขี่ม้ายิงธนูยามบ่ายเริ่มขึ้น นายกองหลี่กระทั่งม้าก็เตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ไม่เห็นฮูหยินจึงได้มามองหา
ก่อนจะไปนายกองหลี่ยังเสียดายอย่างยิ่ง บ่นพึมพำว่าเหตุใดฮูหยินนึกจะกลับก็กลับ กลับไปเร็วเพียงนี้ได้อย่างไร…ทำเอาอี๋ซื่ออ๋องฟังแล้วหน้าเขียวคล้ำ
เพิ่งจะมาเจียงเป่ยได้ไม่กี่วัน ก็สร้างชื่อเสียงในหมู่ทหารส่วนตัวของเขาได้อย่างรวดเร็ว นี่เป็นสิ่งที่อี๋ซื่ออ๋องไม่เคยคาดคิดมาก่อน และขุ่นเคืองอย่างยิ่ง
นางป่าเถื่อนกว่านี้ใช้อำนาจบาตรใหญ่กว่านี้ ก็แสดงความน่าเกรงขามแค่ในเรือนก็พอ
เหตุใดจึงต้องมาแย่งคนของตนในค่ายทหารด้วยเล่า
สตรีนางหนึ่งเท่านั้น ทนไม่ได้
โชคดีที่สวนประทุมซ่อมได้ไวพอสมควร อีกไม่กี่วันก็น่าจะเข้าไปพักได้แล้ว
วันนี้ อี๋ซื่ออ๋องกลับมาไว อารมณ์ก็ไม่เลว
เมื่อคืนก่อนทหารม้านอกเครื่องแบบปลดอาวุธพวกกองทัพทหารเคลื่อนที่ของเหมิงหนูที่ลอบโจมตีปล้นสะดม ทั้งยังสังหารตาย ณ ที่นั้น จับแม่ทัพเหมิงหนูแลกเปลี่ยนกับชาวบ้านต้าเซวียนและทรัพย์สินที่โดนริบไปเมื่อไม่กี่วันก่อน มีแค้นก็ชำระแค้น มีโทษก็ชำระโทษ
อี๋ซื่ออ๋องคิดว่าพอตกค่ำต้องไปเรือนหลัก หอบเอาจิตใจที่ไม่อยากเสียเวลาฟึดฟัดไปสวนตะวันตกทันที
เลือกห้องมาห้องหนึ่ง ยังอยู่ได้ไม่ทันไร นอกหน้าต่างนั้น ผู้ดูแลซ่งก็พาคนรับใช้กลุ่มหนึ่งมาเชิญว่า “ได้ยินว่าทางค่ายทหารมีข่าวดี ทั้งนายท่านก็ได้ฆ่ากองทัพชาวเป่ยเหรินทั้งกอง บ่าวเตรียมสุราอาหารไว้ที่ห้องโถงกลาง ไปตอนนี้ได้เลยขอรับ” เว้นหยุดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยอีกว่า “เรียกฮูหยินมาร่วมฉลองยินดีกับซื่ออ๋องด้วยดีหรือไม่”
จวนซื่ออ๋องในเจียงเป่ยกลายเป็นความเคยชินเสียแล้ว ขอแค่รบชนะคว้าชัยมา ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ผู้ดูแลซ่งก็จะให้คนรับใช้ตั้งที่ห้องโถง เซ่นไหว้บิดามารดาบรรพบุรุษ เรียกได้ว่าเป็นการฉลองข่าวดี
อี๋ซื่ออ๋องเงยหน้าขึ้นจากหน้าอกทรงโตของอนุ บ่นด้วยความไม่พอใจว่า “รบชนะได้เป็นความสามารถของข้า เกี่ยวอะไรกับนางด้วย แค่นี้ก็ยังอยากจะแบ่งคุณงามความดีด้วยรึ”
อนุที่ปรนนิบัติอยู่มีสกุลบ้านบิดาว่าโหยว ต่อให้โง่กว่านี้ หลายวันมานี้ก็รู้ว่าซื่ออ๋องไม่ค่อยพอใจกับฮูหยินที่เพิ่งจะแต่งงานด้วยใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหลายวันก่อนที่ฮูหยินไปสำนักงานทหาร แต่นั้นมาซื่ออ๋องก็ยิ่งไม่พอใจกว่าเดิม
ตั้งแต่หมิงเหนียงสุดที่รักถูกม้าดีดฟันหัก ซื่ออ๋องก็หมดความสนใจไป ไม่กี่วัน เห็นแก่ความสัมพันธ์จึงส่งนางไปให้ปัญญาชนที่ปรึกษาคนหนึ่งที่อยากจะหมิงเหนียงมานาน