ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 282.2 ตอนพิเศษ สวนประทุมพังถล่ม (2)
ตงเอ๋อร์มองคุณหนูท่าทางตั้งอกตั้งใจ เหมือนกับตอนที่ยังอยู่ในจวนแม่ทัพยังไม่ได้ออกเรือน ฝีเท้าผ่อนให้ช้าลง แล้วถอนใจออกมาเบาๆ “หนังสือหย่าก็เขียนแล้ว ยังต้องเอาของพวกนี้ไว้ทำไมอีกเจ้าคะ ทิ้งไปก็สิ้นเรื่องแล้ว”
เฉินจื่อหลิงถูกนางทำให้ตกใจ จึงหันหน้าไปหา “นับวันยิ่งไร้กฎไร้ระเบียบแล้ว เข้ามาก็รู้จักส่งเสียง” พูดจบก็เก็บของในมือใส่กล่อง หอบกลับไปไว้ในตู้ คล้องโซ่เอาไว้ แผ่นหลังชะงักงัน
ตงเอ๋อร์ได้ยินเสียงนางลอยมาว่า “…เมื่อครู่ได้ยินแม่บ้านบอกว่า สวนประทุมที่ชำรุดเสียหายซ่อมแซมเสร็จพอสมควรแล้ว ข้าอยากจะจัดระเบียบเสียหน่อยค่อยย้ายเข้าไป ของมากมายเพียงนี้ ต่อให้จะทิ้งก็ต้องหาที่ดีๆ เสียหน่อยกระมัง ตระหนกอะไรไป รอเมืองหลวงตอบกลับมาก่อน ระหว่างทางกลับค่อยโยนทิ้งก็ไม่สาย”
ไหนเลยจะไม่มีที่ให้ทิ้ง เกรงว่ายังคงอาลัยอาวรณ์อยู่เสียมากกว่ากระมัง กล่องนี้ อย่างไรเสียก็บรรจุความฝันและความกระตือรือร้นวัยแรกแย้มของคุณหนูเอาไว้
“คุณหนู…” ตงเอ๋อร์ทนไม่ไหวในที่สุด “ช่างมันเถิดเจ้าค่ะ บ่าวรู้ว่าทำเช่นนี้อาจจะน่าอาย…เอาอย่างนี้ดีกว่า ให้บ่าวไปขอร้องซื่ออ๋อง ให้ตามทหารส่งสารกลับมาดีหรือไม่ บ่าวฟังเจตนาของผู้ดูแลซ่งแล้ว ก่อนหน้านี้เพราะซื่ออ๋องเดือดดาลเกินไป อันที่จริงแล้วยังคงเสียใจที่ทำเช่นนี้อยู่ดี…”
“เจ้าพูดอะไรน่ะ” เสียงเฉินจื่อหลิงชัดเจน หยุดเว้นไปครู่หนึ่งแล้วแน่วแน่ขึ้นมา “เขาจะเสียใจหรือ เขาแทบอยากจะให้เกิดขึ้นต่างหาก หากอยากจะให้ข้าอยู่ต่อจริงๆ ยังต้องให้คนอื่นมาเกลี้ยกล่อมอีกหรือ”
ตงเอ๋อร์พูดอะไรไม่ออก
สามารถแต่งงานกับผู้ที่ตนเคารพบูชาตั้งแต่เด็ก เป็นสิ่งที่สตรีทุกคนปรารถนากันทั้งนั้น คุณหนูกลับทำได้แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าความจริงกับในฝันนั้นจะต่างกันเพียงนี้
หากชั่วชีวิตนี้ไม่ได้พบกับอี๋ซื่ออ๋อง บางทีคุณหนูอาจจะยังเหลือความคิดอันงดงามอยู่ในใจไว้ก็ได้กระทัง
ตงเอ๋อร์รู้ดีว่าหากอี๋ซื่ออ๋องไม่ใช่บุรุษแบบอย่างที่คุณหนูเคารพรักบูชาในวัยเด็ก บางทีคุณหนูก็คงปล่อยผ่านมันไปได้ เป็นเพราะคุณหนูหอบความหวังและจินตนาที่มีต่ออี๋ซื่ออ๋องเอาไว้สูงเกินไป ยามนี้จึงได้ผิดหวังมาก
“ส่งจดหมายไปแล้วกระมัง” เสียงเรียบนิ่งขัดความคิดของตงเอ๋อร์ขึ้น
“ส่งออกไปเมื่อเช้าเจ้าค่ะ”
“อืม” ยามเฉินจื่อหลิงหันกลับมา สีหน้ากลับมาเหมือนเก่าแล้ว ทำเพียงถามเสียงเบาว่า “เขายังอยู่ที่ห้องหนังสือหรือ วันนี้พักที่ห้องหนังสือรึ”
ตงเอ๋อร์เบ้ปาก พึมพำว่า “ทางด้านซื่ออ๋องส่งคนมาถามสถานการณ์ทางด้านท่านเมื่อเช้า ท่านก็ถามถึงสถานการณ์ของเขา…มีอะไรที่ไม่สามารถพูดกันต่อหน้าได้อย่างนั้นหรือ จึงจำต้องส่งต่อกันไปมา เหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ”
เฉินจื่อหลิงสีหน้าเคร่งขรึม “ความหมายของข้าคือ เจ้าส่งคนรับใช้ไปบอกที่ห้องหนังสือว่า ให้เขามาพักผ่อนที่เรือนหลัก สวนประทุมก็ซ่อมแซมเสร็จพอสมควรแล้ว คืนนี้ข้าจะย้ายเข้าไป”
หลังจากที่ตงเอ๋อร์ออกไปแล้ว ผู้ดูแลซ่งก็กำลังรออยู่ด้านนอก ชะเง้อคอยืดยาว พอเห็นตงเอ๋อร์ออกมาก็รีบเข้าไปเอ่ยเสียงเบาว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ทางฮูหยินว่าอย่างไร”
“ว่าอย่างไรอย่างนั้นรึ” ตงเอ๋อร์ยิ้มขื่น “ธนูที่ยิงออกไปแล้วไม่ย้อนคืนมา ต่อให้ทั้งคู่เสียใจในภายหลัง ยามนี้ก็หาทางลงกันไม่ได้แล้ว จำต้องดูว่าชนชั้นสูงในเมืองหลวงจะสามารถเกลี้ยกล่อมให้คืนดีกันได้หรือไม่!”
ผู้ดูแลซ่งกุมมืออย่างเสียดาย
ในวันเดียวกันกับที่โหยวซื่อทรยศนายหญิงนั้น เฉินจื่อหลิงก็พาคนขนสินเดิมที่ติดตัวมาเหล่านั้นเข้าสวนประทุมไป
ภายในห้องหนังสือ อี๋ซื่ออ๋องได้ยินว่านางส่งคนมารายงานว่าสามารถย้ายไปพักผ่อนที่เรือนหลักได้แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ฎีกาที่ถืออยู่ในมือกลับยับยู่ยี่ สุดท้าย จึงได้พ่นออกมาไม่กี่คำอย่างเย็นชาว่า “ไปบอกฮูหยินว่าลำบากคิดแทนแล้ว”
ณ สวนประทุม บรรดาคนรับใช้ที่ช่วยขนย้ายข้าวของต่างแยกย้ายกันแล้ว ราตรีได้มาเยือน
เฉินจื่อหลิงลูบคลำบานหน้าต่างของเรือนระเบียง ออกแรงเพิ่มเล็กน้อย ขอบหน้าต่างก็สั่นสะเทือนครู่หนึ่ง เศษเล็กร่วงกราว นางเงียบงันไปครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “แบบนี้จะพักได้หรือ”
“บอกแล้วว่าท่านอย่าได้รีบร้อนย้ายเข้ามา ต้องให้บรรดาช่างของจวนมาตรวจสอบดูสองสามวันก่อนว่ายังมีจุดบกพร่องตรงไหนอีก คุณหนูก็ดันใจร้อนเสียก่อน” ตงเอ๋อร์ยกเท้าหมายจะเดินออกไป “บ่าวจะไปบอกผู้ดูแลซ่งให้หาพวกช่างฝีมือมาทำให้แข็งแรงกว่านี้ แล้วตรวจดูว่ายังมีตรงไหนไม่เรียบร้อยอีกบ้าง”
“ช่างเถอะ ไม่เป็นไรหรอก แค่หน้าต่างเอง” เฉินจื่อหลิงเรียกนางไว้ “ไหนๆ ก็มาแล้ว หรือจะต้องย้ายกลับไปคืนหรือ” พูดจบก็หันหลังเดินดูสภาพแวดล้อมใหม่
แม้ว่าจะไม่ได้กว้างขวางฟุ้งเฟ้อเหมือนเรือนหลักที่นายท่านพักอยู่ แต่ก็ไม่ด้อยไปกว่ากันเลย สวยแบบมีระดับโดดเด่นไม่เหมือนใคร มีทุกอย่างครบครัน อย่างไรเสียก็เป็นที่พักของนายหญิงของจวน เรือนติดกับทางตะวันตกเฉียงเหนือ ห่างจากเรือนหลักที่ตั้งอยู่ทิศเหนือโดยมีประตูวงพระจันทร์จำนวนหนึ่งและระเบียงทางเดินหลายสาย ไปกลับก็เรียกว่าไม่ไกลนัก ระยะเวลาหนึ่งถ้วยชา[1]เท่านั้น
ในโพรงจมูกมีกลิ่นแปลกประหลาดโชยมา เจือหวานปนเปรี้ยว ดมแล้วเพลิดเพลินทั้งยังทำให้สดชื่นด้วย เฉินจื่อหลิงมองไปตามกลิ่นนั้น
นอกกำแพงทางด้านซ้ายมือมีกิ่งไม้สีเขียวที่ตัดแต่งเรียบร้อยยื่นเข้ามาในกำแพง กิ่งก้านประดับด้วยผลเหมยสีเขียวชอุ่ม ถูกสีแดงอ่อนและสีขาวของกลีบดอกห่อหุ้มไว้ ราวกับดรุณีน้อยผู้เหนียมอาย
มีบางแห่งที่เติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์จนกิ่งก้านส่ายไหวคล้ายจะร่วงหล่น ห้อยย้อยต่องแต่ง ส่ายไปส่ายมา ภายใต้แสงจันทราที่เพิ่งจะขึ้นสู่ฟ้า ให้อารมณ์ของแดนใต้เป็นพิเศษ ด้วยภูมิประเทศอันกว้างใหญ่นี้ ค่อนข้างไม่เข้ากับดินแดนเจียงเป่ยที่กว้างขวางสุดลูกหูลูกตา
เฉินจื่อหลิงอารมณ์ดีขึ้นทันใด บนใบหน้าปรากฏริ้วแดงเรื่อขึ้นอย่างตื่นเต้น นางสาวเท้าเล็กๆ วิ่งเหยาะๆ ไปข้างกำแพงนั้น แล้วเงยหน้าขึ้น “โอ๊ะ นึกไม่ถึงว่าเจียงเป่ยจะมีต้นเหมยด้วย”
ต้นเหมยส่วนใหญ่เติบโตที่แดนใต้ ลานบ้านลานเรือนแต่ละหลังในเยี่ยจิงก็มีปลูกกันไว้ไม่น้อย นึกไม่ถึงว่าเจียงเป่ยที่อยู่เหนือสุดของแผ่นดินก็มีด้วยเช่นกัน
ตงเอ๋อร์เห็นคุณหนูเผยรอยยิ้มออกมาได้อย่างยากยิ่ง อารมณ์จึงผ่อนคลายลงไม่น้อยเช่นกัน นางเหลือบมองบรรดาแม่บ้านที่ยืนอยู่บนระเบียง
หนึ่งในนั้นอายุอานามมากแล้วจึงกระจ่างแจ้ง ยิ้มพลางอธิบายว่า “พระชายาอี้หยางเป็นชาวใต้ หลังจากแต่งงานกับอี้หยางอ๋องแล้วคะนึงถึงบ้านเกิด ลงมือปลูกไว้ที่จวนอี้หยางในเมืองหลวงก็ไม่น้อย หลังจากที่ซื่ออ๋องย้ายจวนมาที่เจียงเป่ยแล้ว จึงย้ายต้นเหมยของพระชายามาปลูกไว้ด้วย นั่น ในเรือนข้างๆ สวนประทุมล้วนมีแต่ของที่เหลือทิ้งไว้จากพระชายาและท่านอ๋องทั้งสิ้นเจ้าค่ะ”
ที่แท้เรือนข้างๆ สวนประทุมนั้นเป็นที่จัดเก็บสิ่งของของอี้หยางอ๋องและพระชายานี่เอง
เฉินจื่อหลิงเขย่งเท้าทอดมองไป ทางกำแพงด้านนั้น หลังคาสวยงามไร้ความเสียหายแม้แต่น้อย ประตูหน้าต่างสะท้อนแสงระยิบระยับ แค่มองก็รู้ว่าเช็ดถูอยู่ทุกวัน เสาคานล้วนไร้ร่องรอยของการกัดกร่อน ราวกับว่ายังมีคนพักอยู่ที่นั่น
อี๋ซื่ออ๋องเป็นคนกตัญญูกตเวที เฉินจื่อหลิงจึงไม่แปลกใจ
พ่อสามีอย่างอี้หยางอ๋องที่ยังไม่เคยพบพักตร์สิ้นพระชนม์ในเงื้อมมือชาวเหมิงหนู ส่วนแม่สามีอย่างพระชายาอี้หยางก็สิ้นพระชนม์ตามไปเพราะระทมทุกข์ใจ หากไม่ใช่เพราะในใจยังอาลัยต่ออี้หยางอ๋องและพระชายาที่สิ้นพระชนม์ไป เขาไม่มีทางยินยอมมาที่แดนเหนืออันรกร้างว่างเปล่าและปฏิญาณว่าจะทำลายล้างชาวเป่ยเหรินหรอก
ทว่า นางคิดไม่ถึงเลยว่าในใจของเขานั้นบิดามารดาจะสำคัญเพียงนี้ ทั้งสองต่างจากโลกนี้ไปแล้ว เขายังขนย้ายข้าวของที่เหลือทิ้งไว้รอนแรมแสนไกลมายังเจียงเป่ย กระทั่งยังไม่ปล่อยต้นเหมยที่บ้านเกิดของมารดาไป
บุรุษผู้นี้ มีหัวใจหรือไร้หัวใจกันแน่ มีความรู้สึกหรือไร้ความรู้สึกกันแน่
เหตุใดทุกครั้งที่นางคิดว่าเห็นด้านที่แท้จริงของเขาแล้ว กลับพบว่าด้านหลังใบหน้าของเขายังมีอีกโฉมหน้าหนึ่งซ่อนอยู่
“คุณหนู…” ตงเอ๋อร์เห็นเฉินจื่อหลิงจ้องต้นเหมยนิ่งด้วยสีหน้าอ่อนไหว จึงเอ่ยเรียกเบาๆ
เฉินจื่อหลิงหลุดจากภวังค์ ชี้ไปบนต้นเหมยนั้น “ดูสิ ลูกเหมยออกผลมากมายดีเสียจริง ตงเอ๋อร์ ยังจำได้หรือไม่ตอนเข้าวังไปก่อนหน้านี้ หวงกุ้ยเฟยมักจะหมักสุราเหมยให้เรา”
ตงเอ๋อร์เลียริมฝีปาก “แน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ หาใช่สุราหยางเหมย แต่เป็นสุราชิงเหมย ใส่นมผึ้งกับเกสรดอกไม้เพิ่มเข้าไป ทั้งเปรี้ยวทั้งหวาน ทั้งเจริญอาหารและสร่างเมา ยามอากาศร้อนก็ดื่มคู่กับกุ้งนึ่งสักจาน ยามอากาศหนาวก็ดื่มคู่กับขนมดอกกุ้ยฮวาที่ทำด้วยมือ ยอดเยี่ยมนัก…บ่าวน้ำลายจะไหลแล้วเจ้าค่ะ”
“ไปหาคนสวนให้เอาบันไดปีนมาเด็ดสักหน่อย จะได้แช่กับสุราดื่ม” เฉินจื่อหลิงยิ้มพลางเอ่ย ทักษะการแช่สุรานั้นไม่ยาก ฟังชิ่นเอ๋อร์พูดจนคล่องแล้ว
———————————-
[1]หนึ่งถ้วยชา เท่ากับเวลา 15 นาที