ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 283.1 ตอนพิเศษ ความจำเสื่อม (1)
ณ เรือนหลัก
คนบางคนเขาหอบข้าวของย้ายไปแล้ว ด้านในว่างเปล่า สงบเงียบขึ้นไม่น้อย
กระทั่งเตียงภายในห้องยังกว้างขึ้นมาไม่น้อย
ตั้งแต่กลับเจียงเป่ยมา นี่เป็นคราแรกที่เสพสุขห้องตัวเองเพียงผู้เดียว สวรรค์คงจะเห็นใจ
อี๋ซื่ออ๋องเกลือกกลิ้งไปมาบนเตียงอย่างเปรมปรีดิ์ เขาลุกขึ้นมานั่งจึงได้พบว่าภายในห้องเงียบงันเสียจนน่ากลัว กางแขนสองข้างไว้ที่ขอบเตียง เหม่อลอยอย่างน่าประหลาด
ผู้ดูแลซ่งพาบรรดาผู้ดูแลเก่าแก่มาหา รายงายว่า “นายท่านขอรับ ฮูหยินพักอยู่ที่นั่นแล้ว ทุกอย่างสะดวกสบายดี”
ทุกอย่างสะดวกสบายดีอย่างนั้นรึ อี๋ซื่ออ๋องเดือดดาลต่ออาการใจลอยของตนเมื่อครู่นัก คนเขามีความสุขดียิ่งนัก
“แต่ว่า…” ผู้ดูแลซ่งเอ่ยเสริมขึ้น
“ทำไมรึ” อี๋ซื่ออ๋องคลายอาภรณ์ออก ครุ่นคิดว่าวันนี้จะไปพักที่สวนตะวันตกหรือไม่ ห้องกว้างขวางแล้ว อยู่คนเดียวกลับเหมือนเงียบเหงาอ้างว้างอยู่สักหน่อย เมื่อก่อนกลับไม่ได้รู้สึกเช่นนี้
“ได้ยินว่า ฮูหยินปีนบันไดเด็ดลูกเหมยในเรือนที่อยู่ติดกันด้วยตัวเองตะกร้าหนึ่งแหน่ะขอรับ” ผู้ดูแลซ่งสังเกตสีหน้าอี๋ซื่ออ๋อง “ก่อนจะลงมา ตัดแต่งกิ่งเหมยสองต้นให้เรียบร้อย ทั้งยัง…ถือโอกาสกำจัดหนอนแมลงให้ด้วย”
มือของเขาชะงักค้างกลางอากาศ ครู่ต่อมา มุมปากหยักยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว ค่อยๆ วางมือลงช้าๆ
“นี่ก็ค่ำมากแล้ว จะให้หาบน้ำมาให้นายท่านอาบหรือว่าจะไปสวนตะวันตกขอรับ” ผู้ดูแลซ่งเอ่ยถามไปตามปกติ
เนิ่นนานทีเดียว
“วันนี้ไม่ไปแล้ว เหนื่อย” เขาเอ่ยอย่างเกียจคร้านขึ้น
หลายวันเข้า คนในจวนซื่ออ๋องที่เจียงเป่ยรู้สึกว่า ดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างอี๋ซื่ออ๋องกับฮูหยินจะผ่อนคลายลง
อันที่จริง ก่อนหน้านี้ซื่ออ๋องกับฮูหยินก็ไม่ได้มีสถานการณ์ตึงเครียดที่ชัดเจนใดๆ ต่อกัน มักจะเฉยเมย เฉื่อยชาใส่กันเท่านั้น
ส่วนวันนี้กลับต่างออกไป ทั้งสองบางครั้งก็ทานอาหารที่โถงหลักด้วยกันหรือไม่ก็ยามเจอหน้ากันที่จวน นึกไม่ถึงว่าบทสนทนาจะยาวขึ้นอย่างหาได้ยากยิ่ง
วันนั้นอี๋ซื่ออ๋องกลับมาไว กำลังตามฮูหยินไปทานมื้อค่ำที่ห้องโถง ฮูหยินยังให้คนเติมข้าวเติมน้ำแกงอย่างใจกว้างเป็นพิเศษ ส่วนซื่ออ๋องนึกไม่ถึงว่าจะแย้มยิ้มบางให้แก่ฮูหยินอย่างยากจะได้เห็นเอ่ยบอกว่าลำบากเจ้าแล้วอีกด้วย
ยังมีวันหนึ่ง ฮูหยินกำลังหมักสุราเหมยหลายไหอยู่ที่สวนประทุม เห็นผู้ดูแลซ่งมาเยี่ยม นึกไม่ถึงว่าจะมอบสุราให้สองไหอย่างสบายอุรา บอกว่าส่งไปให้ทุกคนที่เรือนหลักได้ชิมกัน
ในสายตาตงเอ๋อร์กับผู้ดูแลซ่ง เดิมทีทั้งตกใจและปรีดาอยู่หรอก แต่พอพินิจอย่างละเอียดแล้ว ก็ส่ายหน้าทอดถอนใจ นี่มันเหมือนกับคนที่ใกล้จะตายกลับมาดูสดใสมีชีวิตชีวาชัดๆ! ทั้งคู่เห็นว่าหนังสือหย่าส่งออกไปแล้ว ยังมีอะไรให้ต้องทะเลาะกันอีกอย่างนั้นรึ
อย่างไรเสียก็ใกล้จะได้หลุดพ้นแล้ว สภาพจิตใจทั้งสองกลับมาสงบลงแล้ว รอเพียงราชโองการจากเมืองหลวงกันกระมัง!
มาถึงวันที่ลมพายุในเจียงเป่ยกระโชกแรงอีกครั้ง หลายวันมานี้ ทรายปลิวหินเขยื้อน โหมพัดจนทั่วทั้งจวนซื่ออ๋องถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่น
ยามราตรี เศษฝุ่นเศษทรายยิ่งแรง ผู้ดูแลซ่งเห็นว่าอีกเดี๋ยวอาจจะมีพายุทราย จึงให้ทุกคนในจวนปิดประตูหน้าต่างทุกบาน แล้วส่งคนไปดับไฟในเรือน ป้องกันยามลมกระโชกยามวิกาลแล้วจะก่อเกิดไฟไหม้ได้
นอกหน้าต่างเสียงหวีดหวิวปกฟ้าคลุมดิน ดังก้องอยู่ข้างหูราวกับเสียงสายฟ้า ลมหอบพัดทรายราวกับปากใหญ่ๆ ของสัตว์ร้ายที่หมายจะกลืนกินเจียงเป่ยทั้งหมดไว้
ใกล้เข้ายามสอง[1]แล้ว อี๋ซื่ออ๋องกลับไม่รู้เพราะอะไรจึงพลิกตัวไปมา นอนไม่หลับ
เนิ่นนานทีเดียวจึงได้ยันตัวลุกขึ้น ตบเตียงอย่างรำคาญว่า “เหตุใดจึงเสียงดังนัก! เสียงลมดังเพียงนี้ ข้าจะหลับได้อย่างไร! นอนพักไม่พอพรุ่งนี้จะทำงานอย่างไร!”
คนรับใช้เฝ้าประตูด้านนอกตัวสั่นงันงก “ประตูหน้าต่างปิดสนิทหมดแล้ว…ข้าน้อยไม่ได้ยินเสียงลมเลยนะขอรับ”
“ไฟในจวนก็ดับหมดแล้วรึ เหตุใดข้าจึงรู้สึกแยงตานัก! แต่ละคนทำงานทำการเอาใจใส่กันบ้างหรือไม่! ลมพัดตะเกียงล้มแล้ว ไฟไหม้ขึ้นมา ได้เผาข้าตายแน่!”
คนรับใช้ยามนี้คุกเข่าลง “ดับไฟไปแต่แรกแล้วนี่ขอรับ” นายท่านผู้นี้ คืนนี้เอาแต่เจ้ากี้เจ้าการเหมือนกลัวว่าที่ใดสักแห่งในจวนจะจัดการได้ไม่เรียบร้อย! พายุทรายสภาพอากาศเลวร้ายเช่นนี้ ปกติทั่วไปในเจียงเป่ยยิ่ง ที่จวนก็ต่างชินกันหมดแล้ว นายท่านเมื่อก่อนก็ไม่ได้เอามาใส่ใจเลย หลับสนิทเสียด้วยซ้ำ! เหตุใดวันนี้จึงเอาแต่พลุ่งพล่านนัก
อี๋ซื่ออ๋องหาที่ระบายไม่ได้ จมูกแดงเรื่อขึ้นมา
บานประตูส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดขึ้น มีคนพุ่งเข้ามา พร้อมกับประตูที่แง้มเปิดนั้น มีลมรุนแรงพัดเข้ามาด้วย!
อี๋ซื่ออ๋องหาที่ระบายอารมณ์ได้ จึงตวาดไปว่า “ดียิ่ง ยังมีหน้ามาบอกว่าปิดประตูสนิทแล้วอีก เจ้า…”
“นายท่าน! แย่แล้วขอรับ” เป็นเสียงตื่นตระหนกผู้ดูแลซ่งนอกหน้าต่าง “ห้องนอนหลักกับห้องด้านข้างที่สวนประทุมพังถล่มลงมาหมดแล้ว!”
อี๋ซื่ออ๋องเงยหน้าขึ้นทันที
คนรับใช้เฝ้ายามวิตกขึ้นมา “ห้องพะ…พังถล่มลงมาได้อย่างไร ฮูหยินเป็นอย่างไรบ้าง” ดึกดื่นค่อนคืนเป็นเวลานอนหลับพอดี นางคงไม่โดนฝังอยู่ในนั้นด้วยหรอกกระมัง
ผู้ดูแลซ่งร้อนใจดั่งไฟเผาทรวง “ก่อนหน้านี้ซ่อมแซมเสร็จสิ้นยังไม่ทันได้ตรวจสอบ ฮูหยินก็ย้ายเข้าไปแล้ว เกรงว่ามีบางแห่งที่ชำรุดบกพร่อง วันนี้พายุทรายรุนแรง เกรงว่าจะต้านไม่อยู่! บ่าวกำลังให้คนฝ่าพายุไปหาตัวฮูหยินอยู่ขอรับ!”
……
ภายในม่านมุ้ง เฉินจื่อหลิงกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียง มองบุรุษหน้าม่านด้วยสีหน้าเลื่อนลอย ลำคอขยับไหว เปล่งเสียงออกไปว่า “ท่านเป็น…สามีของข้าหรือ”
ผู้ดูแลซ่งกับสาวใช้ชราต่างสูดหายใจลึก หันหน้าไปมองอี๋ซื่ออ๋องอย่างพร้อมเพรียงกัน
เมื่อคืนฝ่าพายุทรายไปขุดหาอยู่ครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็ดึงตัวฮูหยินออกมาจากใต้ซากปรักหักพังของสวนประทุมได้
ดูคร่าวๆ ไม่ได้บาดเจ็บหนัก ตอนไปขุดออกมาแม้ศีรษะจะได้รับบาดเจ็บอยู่เล็กน้อยจึงสลบไป แต่ลมหายใจยังเต็มเปี่ยมอยู่มาก
เมื่อคืนตงเอ๋อร์หลับอยู่ห้องข้างๆ จึงปลอดภัย ร้องห่มร้องไห้ยกหามคุณหนูกลับมาเรือนหลักด้วยกันกับคนอื่นๆ
หมอประจำจวนมาดูแล้วบอกเพียงว่าปลอดภัยดี
ใครจะไปคิดว่าอรุณเบิกฟ้า ฮูหยินฟื้นขึ้นมา นอกจากบรรดาคนรับใช้ที่ติดตามเข้าจวนซื่ออ๋องมาด้วยแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะจำคนรับใช้ในจวนซื่ออ๋องที่เจียงเป่ยรวมถึง…อี๋ซื่ออ๋องไม่ได้
หมอของจวนรีบวุ่นวายกับการตรวจอีกหน วินิจฉัยว่าศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนจึงจดจำเรื่องราวไม่ได้
ตงเอ๋อร์ดูแลอยู่ข้างกายคุณหนูมาตลอดทั้งคืน ยามนี้เห็นคุณหนูกระทั่งสามีก็จำไม่ได้ จมูกร้อนผะผ่าวโผเข้าหาแล้วร้องไห้ออกมายกใหญ่
“เอาล่ะ เอาล่ะ ร้องอย่างกับมีใครตายอย่างนั้นแหละ” อี๋ซื่ออ๋องโบกมืออย่างรำคาญ เดินเข้าไปหา “ข้ามาดูเสียหน่อย ศีรษะกระแทกไปคราเดียวก็ความจำเสื่อมไปแล้วหรือ!”
ตงเอ๋อร์กอดเฉินจื่อหลิงไว้ ถลึงตาใส่เขาอย่างแรง “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นึกไม่ถึงว่าซื่ออ๋องจะยังไม่เชื่อ! มีมโนธรรมบ้างหรือไม่! หรือต้องให้คุณหนูตายก่อน แล้วย้ายศพออกมาวางตรงหน้าท่านจึงจะเชื่อ!” แล้วก็ร้องไห้หนักออกมาอีกครั้ง “คุณหนูผู้น่าสงสารของข้า ถูกนายท่านกับคุณชายประคบประหงมรักใคร่เหลือแสนที่บ้านเดิมในเมืองหลวงอยู่ดีๆ พอมาเจียงเป่ย ยังสู้โคลนตมบนพื้นไม่ได้เลย! คนไม่เคารพนับถือก็แล้วไปเถิด โดนบีบคั้นให้หย่าร้างก็ช่างประไร ยามนี้ยังบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้อีก!”
ใครไม่เคารพนางกัน ไม่ว่าเขาจะมองอย่างไรตั้งแต่นางมาเจียงเป่ย ล้วนเป็นนางที่เหยียบย่ำคนอื่นนะ
แล้วก็ ถูกบีบคั้นให้หย่าอย่างนั้นรึ น่าขัน คนที่เสนอเรื่องหย่าร้างขึ้นมา ดูเหมือนจะเป็นนางมิใช่หรือไร!
นายเป็นอย่างไรสาวใช้ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ คนเลวชอบร้องทุกข์ก่อนเหมือนกันไม่มีผิด!
อี๋ซื่ออ๋องยังคงไม่เชื่อ เขาบิดแขนตงเอ๋อร์ไว้ กระชากนางให้หลีกทางไป แล้วเดินไปข้างเตียงหมายจะลองหยั่งเชิงดูด้วยตัวเองเสียหน่อย
สตรีที่หลายวันก่อนยังแข็งกร้าวราวกับหิน ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตานั้นเงยหน้าขึ้น ในแววตามีประกายตระหนกวาบผ่าน ราวกับกระต่ายขาวที่ถูกนายพรานตามล่าจนจนมุม
แววตาหลอกลวงไม่ได้ อี๋ซื่ออ๋องใจกระตุก หรือจะความจำเสื่อมจริงๆ
เขาลังเลครู่หนึ่ง หรี่ดวงตาสองข้างลง “ที่นี่คือเจียงเป่ย เจ้าจำได้หรือไม่”
————————————–
[1] ยามสอง 21.00-23.00 น.