ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 283.2 ตอนพิเศษ ความจำเสื่อม (2)
เฉินจื่อหลิงกลืนน้ำลาย “ข้าจำตัวเองได้ แล้วก็จำท่านปู่ พี่ชาย…คนส่วนใหญ่ที่บ้านเดิมล้วนจำได้หมด แต่เรื่องที่แต่งงาน เหมือนเลอะเลือนไป…”
ตงเอ๋อร์สะอึกสะอื้น แล้วปาดน้ำตา
“เพิ่งจะหาหมอแค่คนเดียว คงวินิจฉัยอะไรไม่ได้มาก ข้าจะไปหาหมอมากฝีมือจากด้านนอกมา หากยังไม่หายล่ะก็ ค่อยเขียนจดหมายไปเมืองหลวงขอหมอหลวงให้มาช่วยดูฮูหยิน” อี๋ซื่ออ๋องหยัดกายขึ้น เอ่ยสั่งการกับผู้ดูแลซ่ง
ตงเอ๋อร์พยักหน้าทั้งน้ำตา “นั่นน่ะสิ คุณหนูอย่าร้อนใจไปเลยนะเจ้าคะ” แล้วหันหน้าไปเอ่ยว่า “จริงสิ เมื่อครู่ท่านหมอหลี่บอกว่าจะฝังเข็มอีกหนึ่งชั่วยามให้หลัง นี่ก็ได้เวลาแล้ว ยามนี้คุณหนูก็ได้สติแจ่มใสดี เฉินมามาเจ้าไปตามหมอหลี่มา…”
ยังเอ่ยไม่ทันจบ สตรีที่นั่งอยู่บนเตียงก็เหมือนจะได้รับความตกใจสีหน้าพลันซีดเผือด กางแขนกอดเสาต้นใหญ่เอาไว้ กรีดร้องขึ้นว่า “ข้าไม่ฝังเข็ม! ข้าไม่ฝังเข็ม!”
ตงเอ๋อร์สงสารจับใจ ตั้งแต่เด็กๆ คุณหนูกลัวการกินยาเป็นที่สุด เห็นหมอเป็นต้องหันหลังเดินหนีไปตามสัญชาตญาณ โชคดีที่ฝึกทหารกับพวกท่านปู่มาตั้งแต่เล็ก ร่างกายจึงแข็งแรง น้อยนักที่จะล้มป่วย ไม่นึกเลยว่าครานี้จะได้รับบาดเจ็บหนัก ได้รับความทุกข์ทรมานหนักจริงๆ แล้ว นางกำลังจะไปกอดคุณหนูเอาไว้ แต่ก็ต้องตกตะลึง
คุณหนูกอดเอวซื่ออ๋องเอาไว้ไม่ปล่อยเหมือนเถาวัลย์แก่พันต้นไม้ ไม่แตกต่างจากตอนเด็กๆ ยามต้องกินยาก็จะกอดคอนายท่านแล้วออดอ้อน
อี๋ซื่ออ๋องเอวถูกกอดแน่น เขาไม่มีเวลามาใส่ใจในตอนนี้ ลองหยั่งเชิงดันเฉินจื่อหลิงไปอีกด้าน เอ่ยปลอบราวกับปลอบเด็กน้อยว่า “ฝังเข็มจึงจะหานะ”
เอวยิ่งถูกรัดแน่นขึ้นไม่ยอมปล่อย เฉินจื่อหลิงซุกหน้ากับเอวเขา แล้วถูไถไปมาพลางเอ่ยว่า “ไม่ฝังเข็มจะได้หรือไม่”
อี๋ซื่ออ๋องแววตาเข้มขึ้น แย่แล้ว นางไม่ได้จงใจทำให้ตนตกใจ แต่ความจำเสื่อมไปจริงๆ มิฉะนั้นแล้วต่อให้ฆ่านางตายก็ไม่มีทางทำเช่นนี้กับตนแน่
ตงเอ๋อร์กว่าจะโน้มน้าวเฉินจื่อหลิงให้ยอมพาหมอหลี่เข้ามาได้ อี๋ซื่ออ๋องกับพวกคนใช้ก็ออกไปกันแล้ว
ครู่ต่อมา หมอหลี่ก็ออกมา แล้วค้อมกายคำนับให้อี๋ซื่ออ๋อง
ผู้ดูแลซ่งรีบเอ่ยว่า “การบาดเจ็บศีรษะของฮูหยินจะหายหรือไม่”
“ข้าจะมาฝังเข็มให้ฮูหยินทุกๆ วันตรงตามเวลา ควบคู่ไปกับยาบำรุงสมองชั้นดีที่ส่งเสริมการไหลเวียนโลหิตจากภาวะเลือดคั่ง นานวันไป เลือดที่คั่งในกะโหลกก็จะค่อยๆ สลายไป จดจำเรื่องราวขึ้นมาได้ ปัญหาตอนนี้น่าจะเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น” หมอหลี่ตอบ
“แล้วต้องใช้เวลาเท่าใด” ผู้ดูแลซ่งร้อนใจ
“เรื่องนี้…” หมอหลี่ตอบไปตามตรงว่า “อาจจะสองสามวัน หรือบางทีก็หลายเดือน หรือไม่ก็เป็นหลายปี…ไม่อาจบอกแน่ชัดได้”
นี่มันเหลวไหลทั้งเพเลยไม่ใช่หรือ ผู้ดูแลซ่งจะเป็นลม เขาโบกมือให้สาวใช้ชราของเรือนหลักไปต้มยากับหมอหลี่ เห็นนายท่านมองในม่านมุ้งอย่างเงียบงัน จึงอดเอ่ยขึ้นไม่ได้ว่า “นายท่าน ท่าทางของฮูหยิน…”
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดอะไร” อี๋ซื่ออ๋องสีหน้าไร้อารมณ์ใด ขนตากะพริบไหวเบาๆ “ระยะนี้ก็ให้นางย้ายกลับไปพักรักษาตัวที่เรือนหลักแล้วกัน ต่อให้ข้าเป็นสัตว์ที่ดุร้ายกว่านี้ก็ไม่ถึงขั้นไล่ฮูหยินที่ล้มจนสติไม่สมประดีไปพักในเรือนที่พังถล่มหรอก”
ผู้ดูแลซ่งผ่อนลมหายใจลง แต่ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอีก เคราะห์ร้ายของฮูหยินครานี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าดีหรือร้ายที่เกิดเรื่องนี้ขึ้นระหว่างที่ทั้งคู่ตกลงตัดสินใจว่าจะหย่าร้างกัน ทั้งสองได้พักอยู่ด้วยกันอีกครั้ง ไม่แน่ว่าสมรสพระราชทานครานี้อาจจะพลิกมาดีขึ้นก็เป็นได้
ผู้ดูแลซ่งมองส่งอี๋ซื่ออ๋องจากไป บ่าวรับใช้ข้างกายก็ขยับมาใกล้ กระซิบข้างหูว่า “ผู้ดูแล เรื่องที่ฮูหยินได้รับบาดเจ็บนี้ ตามหลักการแล้วควรจะบอกตระกูลเฉินที่เมืองหลวงสักคำ แล้วก็น่าจะแจ้งทางด้านแม่ทัพเฉินแห่งอวี้หลงด้วยนะขอรับ”
เกิดเรื่องใหญ่โตเพียงนี้กับลูกสาว หากกระทั่งข่าวคราวยังไม่บอกทางบ้านเดิมสักคำ ก็คงจะไร้เหตุไร้ผลเกินไปแล้ว และจะถูกคนว่าเอาว่าคนของจวนซื่ออ๋องไม่รู้ความ
ผู้ดูแลซ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้า แต่กลับสั่งการไปว่า “บอกว่าฮูหยินปลอดภัยดี มีแค่แผลถลอกภายนอกเล็กน้อยเท่านั้น…ยังไม่ต้องบอกเรื่องที่ฮูหยินความจำเสื่อม”
จดหมายทูลขอหย่าร้างฉบับนั้นเดิมทีก็ยังอยู่ระหว่างทาง เรื่องที่ฮูหยินบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้ถูกบ้านเดิมนางทราบเข้าอีก ตระกูลเฉินต้องยิ่งสงสารนางกว่าเดิมแน่ เช่นนั้นจะไม่ไประบายโทสะใส่ซื่ออ๋องหรือ
ฮูหยินเดิมทีก็เป็นหลานสาวสุดรักสุดหวงของตระกูลเฉินอยู่แล้ว อีกทั้งยามนี้ตระกูลเฉินกำลังได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท และเป็นคนโด่งดังในราชสำนัก อำนาจอันน่าเกรงขามย่อมมีไม่น้อยแน่ เกิดเดือดดาลขึ้นมา เป็นปรปักษ์ขึ้น ทูลขอให้หย่าร้างเช่นกัน เรื่องนี้คงได้หมดหนทางแก้ไขกลับคืนจริงๆ แน่!
บ่าวรับใช้กระจ่างแจ้งในเจตนาของผู้ดูแลเฒ่า จึงพยักหน้าขานรับแล้วไปจัดการทันที
……
หลายวันผ่านไป แผลบนศีรษะเฉินจื่อหลิงดีขึ้นอย่างรวดเร็ว เริ่มจะตกสะเก็ดแล้ว เพียงแต่สมองยังมึนๆ งงๆ อยู่ จำคนทางบ้านสามีในเจียงเป่ยไม่ค่อยได้
ทั้งสองกลับมามีความสัมพันธ์เหมือนกับตอนที่เฉินจื่อหลิงเพิ่งจะเข้าไปอยู่ในเรือนหลักใหม่ๆ
ทุกค่ำคืนเฉินจื่อหลิงจะยึดเตียงไว้คนเดียว อี๋ซื่ออ๋องทำงานเสร็จก็จะเผ่นออกไปนอนที่ตั่งไม้ตัวยาวด้านข้าง
แต่คืนแรกที่เฉินจื่อหลิงกลับมาพักที่เรือนหลักอีกครั้งนั้น ตอนที่อี๋ซื่ออ๋องแอบขึ้นตั่งไม้ตัวยาว เฉินจื่อหลิงที่นอนอยู่บนเตียงใหญ่ศีรษะถอดผ้าพันแผลออกไปแล้วคล้ายครุ่นคิดอยู่นาน จึงอดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “เราเป็นสามีภรรยากันมิใช่หรือ เหตุใดท่านจึงไปนอนตรงนั้นเล่า”
อี๋ซื่ออ๋องกอดผ้าห่มด้วยความตะลึง คนที่ถูกเย็นชาใส่มานานจู่ๆ ก็ได้รับความอบอุ่น จึงไม่ค่อยจะคุ้นชินนัก เขากระแอมออกมา “อืม ฮูหยินยังบาดเจ็บอยู่ กลัวว่าจะเบียดเจ้าเอา”
จะให้บอกว่าเมื่อก่อนล้วนโดนนางบีบบังคับอย่างไร้เหตุไร้ผลไล่ให้ไปนอนบนตั่งไม้คงไม่ได้หรอกกระมัง ยังคงต้องให้เกียรตินางอยู่
เฉินจื่อหลิงพยักหน้า นึกไม่ถึงว่าจะเอ่ยด้วยความเกรงอกเกรงใจ “จะทำเช่นนี้ได้อย่างไร ตั่งไม้ตัวยาวเล็กเพียงนั้น ท่านสูงชะลูดขนาดนี้ นอนไม่สบายหรอกกระมัง”
จู่ๆ ก็กลายเป็นคนเอาใจใส่ห่วงใยขึ้นมา อี๋ซื่ออ๋องพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน หรือนางจะเชิญเขาให้ขึ้นเตียง
นี่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยดีเท่าใดกระมัง
แต่ในใจกลับยุบยิบราวกับมีมดกำลังไต่อยู่…
ช่างมันแล้ว! ขึ้นก็ขึ้น ไม่ว่าอย่างไรยามนี้ก็ยังเป็นสามีภรรยากันอยู่…
อี๋ซื่ออ๋องถูฝ่ามือไปมา กำลังเตรียมจะเดินไปอย่างอาจหาญ บนที่นอนก็มีเสียงลอยมาว่า “เอาเถิด นอนเถอะเจ้าค่ะ หากท่านอึดอัดก็ให้ตงเอ๋อร์เอาม้านั่งมาเพิ่มให้อีกตัวแล้วกัน”
อี๋ซื่ออ๋อง “…”
……
เนื้อหนังของคนหนุ่มสาวฟื้นตัวได้รวดเร็วยิ่ง หลังจากนั้นไม่กี่วัน เฉินจื่อหลิงก็ถอดผ้าพันศีรษะออกได้แล้ว เหลือเพียงรอยแผลจางๆ เล็กน้อยเท่านั้น
ยามราตรีมาเยือน อี๋ซื่ออ๋องกลับจากห้องหนังสือมาเรือนหลัก เพิ่งจะเข้าห้องหลักมาก็เหลือบมองภายในห้องด้วยความเคยชิน แสงเทียนสว่างสลัวๆ ม่านมุ้งเตียงเลิกขึ้นด้านหนึ่ง ใต้ขาตั่งมีรองเท้าไหมปักลายคู่หนึ่งวางอยู่ นางคงหลับไปแล้ว
เขาผ่อนฝีเท้าลงให้แผ่วเบาตามสัญชาตญาณทันที หอบผ้าห่มที่ตงเอ๋อร์เตรียมไว้ให้เดินไปยังตั่งไม้ตัวยาว ทว่ากลับได้ยินเสียงลอยมาจากเตียงว่า
“ท่านส่งจดหมายไปทูลขอหย่าร้างที่เมืองหลวงแล้วใช่หรือไม่”
ฝีเท้าเขาพลันชะงักลง คิดไม่ถึงว่านางจะรู้ แต่ก็ไม่แปลกใจ นี่เป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็วนางก็ต้องรู้อยู่ดี
แม้นางจะความจำเสื่อม แต่ไม่ได้เป็นใบ้เสียหน่อย ต้องถามคนรับใช้ข้างกายในเรื่องระหว่างที่ตนอยู่ที่จวนซื่ออ๋องอยู่แล้ว
บุรุษนอกม่านมุ้งเงียบงัน คนในม่านจึงเอ่ยขึ้นอีกว่า “ความสัมพันธ์ของเราไม่ได้ดี ใช่หรือไม่”
ครู่ใหญ่ต่อมา อี๋ซื่อ๋องจึงได้อึกๆ อักๆ ว่า “ก็ไม่ได้ถึงขึ้นเลวร้าย…” ยามนี้นุ่มนวลโอนอ่อนผ่อนตามเพียงนี้ นึกไม่ถึงว่าเขาจะพูดคำพูดแรงๆ อะไรไม่ออกเสียแล้ว
ลมหอบหนึ่งพัดจากม่านเตียง เฉินจื่อหลิงสวมชุดนอนลุกลงมาใส่รองเท้า สูดหายใจลึก “หากมิใช่ว่าท่านรังเกียจข้ามาก เช่นนั้นแล้วกระทั่งสมรสพระราชทานท่านจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร”
ถ้อยคำนี้ไร้ซึ่งการเหน็บแนม ไร้ซึ่งความขุ่นเคือง มีเพียงการเปิดใจและเย้ยหยันตัวเองเท่านั้น
“ความจริงแล้ว เจ้าเป็นคนเสนอเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน กระทั่งหนังสือหย่าเจ้าก็เป็นคนเขียน” อี๋ซื่ออ๋องเสียความรู้สึกอยู่ไม่น้อย
“แต่ท่านก็ไม่มีความคิดจะโน้มน้าวขวางไว้เลย ตรงกับความตั้งใจของท่าน โล่งอกแล้วใช่หรือไม่” เฉินจื่อหลิงน้ำเสียงยังคงนิ่งเรียบ มุมปากยังมีรอยยิ้มเข้าอกเข้าใจประดับอยู่ด้วย
อี๋ซื่ออ๋องกระวนกระวายใจขึ้นมาแล้ว ความรู้สึกนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เหมือนว่าโดนใส่ร้ายอย่างร้ายแรงอย่างไรอย่างนั้น “ผายลมน่ะสิ ข้า…”
ยังพูดไม่ทันจบ เฉินจื่อหลิงก็เม้มปาก พรูลมหายใจยาว “ช่างเถิด ข้าเข้าใจแล้ว ตบมือข้างเดียวไม่ดัง ทั้งสองสานสัมพันธ์กันไม่ได้ ไม่ใช่ความรับผิดชอบของใครคนใดคนหนึ่ง เข้ากันได้ก็อยู่ เข้ากันไม่ได้ก็แยกย้าย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หวังเพียงว่าแต่นี้ไปจะไม่เกิดช่องว่างระหว่างตระกูลเฉินกับจวนซื่ออ๋องเพราะเรื่องของข้ากับท่านก็พอ”
เข้ากันได้ก็อยู่ เข้ากันไม่ได้ก็แยกย้าย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ประโยคนี้ดังก้องกังวานอยู่ภายในห้อง อี๋ซื่ออ๋องไม่มีอารมณ์จะพักผ่อนแล้ว