ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 283.3 ตอนพิเศษ ความจำเสื่อม (3)
นางกลับมีคุณธรรมนัก เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องเล็กเรื่องหนึ่งในสายตานาง จนถึงตอนนี้นึกไม่ถึงว่านางจะคิดเพียงแค่ว่าหลังจากหย่าแล้ว บ้านเดิมกับบ้านอดีตสามีจะแตกหักกันเพราะเรื่องนี้
เฮอะ ก็ไม่แปลกหรอก เดิมทีนางก็ไม่เห็นหัวตนอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้ยังความจำเสื่อมจำอะไรไม่ได้อีก สำหรับนางแล้ว ย่อมไม่มีทางเสียใจจริงๆ อยู่แล้ว
อี๋ซื่ออ๋องกำหมัดแน่น เงียบงันไม่เอ่ยคำ
เฉินจื่อหลิงเห็นเขาไม่พูดอะไรอีก รอยยิ้มมุมปากพลันหายไป ในแววตามีความผิดหวังและยอมแพ้วาบผ่านไปโดยไม่อาจสังเกตเห็นได้ นางรีบปรับสีหน้าให้ดี ราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้นทั้งนั้น ค่อยๆ เดินไปยังโต๊ะเตี้ยที่ตั้งอยู่ด้านข้าง
อี๋ซื่ออ๋องจึงได้สังเกตเห็นว่าบนโต๊ะเตี้ยตัวนั้นได้มีสุรากาหนึ่งกับชุดจอกเตรียมไว้ก่อนที่เขาจะมาแล้ว
เฉินจื่อหลิงยกกาสุราขึ้น เทใส่จอกในผ้าห่ม ภายในห้องพลันมีกลิ่นเหมยเปรี้ยวนิดหวานหน่อยลอยอวลขึ้น
อี๋ซื่ออ๋องจำกลิ่นนี้ได้ เป็นสุราเหมยที่นางหมักบ่มเอง เมื่อไม่กี่วันก่อนผู้ดูแลซ่งหิ้วมาจากสวนประทุมสองไห เขาเคยชิมอยู่สองคำ
ห้องนอนหลักที่สวนประทุมพังถล่มลง ของใช้ส่วนตัวเหล่านั้นของนางล้วนขนย้ายกลับมาที่เรือนหลักด้วย รวมถึงสุราเหมยเหล่านี้ที่โชคดีไม่โดนถล่มแตกไป
“ดื่มหรือไม่” เฉินจื่อหลิงชี้ไปที่จอกเปล่า ทำท่ายกแก้วขึ้นดื่มอย่างทีเล่นทีจริง “คิดเสียว่าเป็นการอำลาก็แล้วกัน”
‘อำลา’ สองคำนี้ ทำให้สีหน้าอี๋ซื่ออ๋องพลันเปลี่ยนโดยยากที่จะสังเกตเห็น เขาลุกขึ้น ยกกาสุรามาเทสุราลงด้วยความรุนแรงยิ่ง
ดวงจันทร์เคลื่อนคล้อยไปทางตะวันตก ไหสุราแกะสลักสี่ไหใกล้จะเห็นก้นบึ้งรอมร่อแล้ว
คลอเคล้าด้วยเสียงร้องของแมลงราตรีนอกหน้าต่าง ทั้งคู่ค่อยๆ เมามายมากขึ้น เริ่มพึมพำวาจาเมาสุราออกมา
อี๋ซื่ออ๋องคอค่อนข้างแข็ง ยังสามารถฝืนยันร่างกายไว้ได้อยู่ แต่เฉินจื่อหลิงฟุบลงบนโต๊ะไปแล้ว
“ข้าเก่งไม่เบานะนี่…สามารถทำสุรารสเยี่ยมเพียงนี้ออกมาได้” เฉินจื่อหลิงลิ้นเปลี้ย ใบหน้าแดงจนเลือดแทบจะหยดออกมา นางโบกสุราไปมาพลางพูดกับตัวเอง
“เก่งกาจบ้าอะไรล่ะ สุราอะไรก็ไม่รู้ อย่างกับน้ำเปล่า! เจ้าดูข้านี่ จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่เมาเลย…” อี๋ซื่ออ๋องถ่มน้ำลาย ลุกพรวดขึ้น ทว่าร่างกลับโงนเงน
เฉินจื่อหลิงดึงข้อมือเขาไว้มือหนึ่ง เขาจึงได้ยืนมั่น “ยังจะแสร้งทำอีก…ระวังสะดุดลมล้มเข้าล่ะ ฮ่าๆ…” ยังพูดไม่ทันจบ ตัวเองกลับยืนไม่มั่นเสียเอง ศีรษะหนักเท้าเบาล้มลงไปบนเก้าอี้
อี๋ซื่ออ๋องดึงนางเอาไว้ตามสัญชาตญาณ
เฉินจื่อหลิงสะดุดล้มเข้าไปในอ้อมอกเขา ลืมตาขึ้นอย่างมึนเมา ใบหน้าของซื่ออ๋องแผดเผาด้วยฤทธิ์สุราจนแดงก่ำอยู่ตรงสองข้างแก้ม
“อย่ากอดข้า! อีกเดี๋ยวเราก็จะหย่ากันแล้ว…ไปกอดอนุของท่าน…ไปกอดฮูหยินคนใหม่ของท่านโน่น…” เฉินจื่อหลิงยังคงลิ้นเปลี้ย นางยกมืออันหนักอึ้งขึ้นตบลงบนหน้าเขา
“ออกจากเจียงเป่ยไป เจ้าจะทำอะไร แต่งงานอีกรอบหรือ” อี๋ซื่ออ๋องลิ้นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าใดนัก แต่ไม่ได้ปล่อยลง น้ำเสียงก็มืดมนลงไม่น้อย
“เหตุใดต้องแต่งอีกรอบด้วย เคยเดินถนนยามราตรีแล้วยังไม่รู้จักความมืดอีกหรือ” เฉินจื่อหลิงเห็นเขาไม่ปล่อยมือก็ปล่อยให้เขากอดอยู่อย่างนั้น อย่างไรเสียก็สบายดี นางหลับตาพริ้มเสพสุขกับมัน “ข้าจะกลับบ้านเดิม ขะ…ข้าไม่เชื่อว่าตระกูลเฉินจะขาดข้าได้”
“อืม…เอิ้ก…” อี๋ซื่ออ๋องน้ำเสียงเหมือนพอใจขึ้นมามาก
“ท่านล่ะ!” เฉินจื่อหลิงขนตาขยับไหว ยืดคอน้อยๆ ขึ้น ย้อนถามกลับไป
“อะไรรึ” อี๋ซื่ออ๋องเรอออกมา
“ท่านหย่าแล้วจะทำอะไร! ยังจะอยู่ที่แดนเหนืออันรกร้างห่างไกลนี้ต่อหรือ เยี่ยจิงเจริญรุ่งเรืองมากนะ!”
“ไม่ฆ่าชาวเป่ยเหรินคนสุดท้ายให้สิ้นไป ต่อให้เป็นที่ที่เจริญรุ่งเรืองเพียงใดก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”
จู่ๆ ทั้งสองก็เงียบงันลงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็กอดไหล่โอบหลังกัน พากันพยุงเดินไปในห้องทั้งเมาๆ อย่างกลมเกลียว
“เจ้าหนักเกินไปแล้ว ข้าจะโดนเจ้าทับแบนแล้ว ขยับไปหน่อย อย่ามาแนบชิดบนตัวข้าเหมือนดินโคลน ขาข้าขยับไม่ได้แล้ว…”
“ท่านต่างหากที่หนัก ขาข้างเดียวของท่านหนักกว่าข้าอีก…”
ทั้งสองเดินไปพลางบ่นกันไปพลาง
นอกผ้าม่าน บรรดาสาวใช้พากันยิ้มขื่น นายทั้งสองนี้ นึกไม่ถึงว่าจะพูดคุยแผนการหลังจากหย่าร้างกันขึ้นมาแล้ว พวกนางมองไปยังตงเอ๋อร์ “พี่ตงเอ๋อร์ เข้าไปรับใช้นายท่านทั้งสองดีหรือไม่”
ตงเอ๋อร์ส่ายหน้า นานๆ ทีทั้งคู่จะสงบศึกกัน ก็ให้ช่วงเวลาเช่นนี้ยืดยาวออกไปอีกหน่อยเถอะ
บรรดาสาวใช้ปล่อยม่านลง เป่าเทียนให้ดับ งับประตูพากันออกไป
ภายในห้องชั้นใน เชิงเทียนสุดท้ายดับลงเพราะขาของทั้งสองโซเซกันไปมา
ความมืดปกคลุมทั่วทั้งบริเวณ มีเพียงแสงจันทราจากนอกหน้าต่างเท่านั้นที่สาดส่องเข้ามา
เสียงโครมครามดังขึ้น ทั้งคู่ล้มลงบนเตียงแกะสลักตามๆ กัน
อี๋ซื่ออ๋องหันหน้าไป ภายในห้องแสงสีเงินส่องสาด สตรีข้างกายที่อยู่ภายใต้แสงจันทราอาบย้อมนั้น แก้มแดงเหมือนลูกท้อที่สุกงอม อาภรณ์ครึ่งหนึ่งเลิกขึ้น แสงประกายจากเหงื่อบนลำคอสีน้ำผึ้งวิบวับ เปลือกตาหรี่ลงกึ่งหนึ่ง ริมฝีปากอิ่มเผยอน้อยๆ กำลังพึมพำด้วยความเมา
ท่ามกลางความมึนเมา เขาหายใจติดขัด ลูกกระเดือกขยับไหว ระหว่างกึ่งเมากึ่งได้สตินั้น มือก็ค่อยๆ ยื่นออกไป
“ทำอะไรน่ะ!” เฉินจื่อหลิงจั๊กจี้จนทนไม่ไหว หลับตาลง ปัดมือนั้นบนร่างตัวเอง
“เมื่อก่อน…เจ้ามักจะกอดมีดนอนหลับ ข้าเห็นแล้วจึงริบจากเจ้ามา จะได้ไม่เผลอบาดถูกเจ้าเข้า…” อี๋ซื่ออ๋องพึมพำขึ้นอย่างรู้สึกผิด
เฉินจื่อหลิงแค่นเสียง “เหลวไหล ข้าไม่ได้กอดมีดนอนเสียหน่อย!” แขนเรียวยื่นออกไปหาเอวเขา นางกางมือออก ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้ว ตัวอะไรน่ะ แข็งทื่อแบบนั้น ทั้งยังนูนสู้มือด้วย “ดียิ่ง ท่านยังมีหน้ามาว่าข้าอีก! ท่านต่างหากที่พกมีดไว้!” กล่าวจบก็คว้าหมับที่มีดนั้นอย่างแรง หมายจะล้วงออกมาโยนไปอีกด้าน
อี๋ซื่ออ๋องลมหายใจพลันสะดุด ครางเสียงยาวด้วยสบายยิ่ง
“แรงหน่อย…อย่า เบาหน่อย!” ซื่ออ๋องผ่อนคลาย เอ่ยแนะเฉินจื่อหลิง กระดูกแข็งราวกับเหล็กทั่วร่างกลายเป็นอ่อนยวบลง
……
ราตรีดึกสงัดขึ้น
นกที่ออกหากินยามราตรีเกาะกิ่งไม้ร้องขันคูเจื้อยแจ้วทำเอารำคาญใจ
เฉินจื่อหลิงดวงหน้าแดงระเรื่อ เห็นได้ชัดว่าไม่นึกมาก่อนว่ากำลังจะเกิดเรื่องใดขึ้น ทำเพียงพึมพำสองคำ แล้วยกมือขึ้น
มือไม่ได้ผลักคนออก ผ้าไหมแดงพลิ้วไหว ไม่ทันระวังไปเกี่ยวม่านมุ้งให้ตกลง
ไม่รู้เพราะเหตุใดคืนนี้ต่อให้ด่าคนก็ไพเราะเพราะยิ่ง
“กรี๊ดดด…”
นางหวีดร้องขึ้น ทำเอานกราตรีแดนเหนือบนหลังคาตกใจบินหนี ตวาดด่าว่า “คนเลว!”
นี่มันใช้ประโยชน์จากอันตรายชัดๆ!
“เด็กดี” เขาเอ่ยเสียงแหบพร่า
เขาโตกว่านางเกือบเก้าปี ไม่เกินไปหากจะเรียกนางว่าเด็กดีในห้องนอนส่วนตัวเช่นนี้
ทว่านางฟังจนใบหน้ารูปไข่ขาวผ่องราวกับหยกแดงราวกับแสงแดดจ้า ถ่มน้ำลายออกไปคำหนึ่ง
เขากลัดกลุ้มไม่น้อย ก่อนหน้านี้เหตุใดจึงต้องโกรธแค้นเด็กสาวที่อ่อนกว่าตนหลายปีด้วย
ต่อไปนางจะป่าเถื่อน ริษยา ใช้อำนาจบาตรใหญ่ อ่อนข้อให้ก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ
อย่างไรเสียชั่วชีวิตนี้ก็ไม่ได้ยืนยาว
เขาไร้ทายาท และไม่เคยให้อนุในจวนมีบุตรธิดาให้ตน ยิ่งไม่เคยคิดภาพการเลี้ยงบุตรธิดามาก่อนเลย
ทว่ายามนี้ดูนางแล้ว…เลี้ยงธิดาเอาแต่ใจคนหนึ่งก็คงจะไม่ต่างจากนี้เท่าใดกระมัง
นางกึ่งหลับกึ่งตื่น ไร้เรี่ยวแรงจะต้านทานแม้แต่น้อย แพขนตาหลุบลงอย่างเกียจคร้าน
มือกำลำคอเขาเอาไว้แน่น เล็บคมงอลงทิ่มไปในเนื้อไหล่ของเขาลึก นางคล้ายแม่เสือตัวน้อยที่อันธพาล
“หากท่านกล้าทำกับคนอื่นเช่นนี้ ข้าจะให้ท่านอยู่ไม่สู้ตาย!”
น้ำเสียงแม้จะโหดเหี้ยมดุร้าย แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเว้าวอน
เขาโน้มตัวลงข้างหูนาง กระซิบคำสัญญาเบาๆ
……
ฤดูกาลเข้มข้นขึ้น
ระยะเวลาเพียงสั้นๆ แค่ไม่กี่วัน แดนเหนือฤดูหนาวมาเยือนไวเป็นพิเศษ
ลมปนทรายพัดโดนผิวเป็นระลอกราวกับมีดเฉือนเนื้อหนัง แห้งแล้งและหนาวเย็น เหน็บหนาวเสียยิ่งกว่าลมในเมืองหลวงหลายเท่า
ชุดฤดูสารทถูกผลัดเปลี่ยน ในขณะที่เรือนแต่ละหลังมีเตาอุ่นมือและเตาอุ่นเท้ามาเพิ่มขึ้น บรรยากาศในจวนซื่ออ๋องก็ดูเหมือนขจัดความร้อนรุ่มวุ่นวายใจของฤดูร้อนออกไป เงียบงันมากขึ้นไม่น้อย
คนในจวนซื่ออ๋องอยู่ที่เจียงเป่ยมานานหลายปี คุ้นชินกับฤดูหนาวอันโหดร้ายที่ยาวนานนี้กันแล้ว
มีเพียงพระชายาซื่ออ๋องและคนรับใช้ทางเรือนหลักที่เพิ่งจะมาอยู่ได้ไม่นาน
เพียงไม่กี่วัน ภายใต้การแอบเตือนของนายท่าน ผู้ดูแลซ่งก็พาคนรับใช้ไปมอบเสื้อผ้าฤดูหนาวผ้าห่มนวมเพื่อใช้ในฤดูหนาวไม่น้อยที่ห้องนอนของฮูหยินในเรือนหลัก
ในขณะเดียวกันกับที่ส่งผ้าห่มนวมนั้น ในใจผู้ดูแลซ่งก็ปรีดายิ่ง ความสัมพันธ์ของทั้งสองดีขึ้นมาบ้างแล้ว สำหรับคนรับใช้เก่าแก่อย่างเขา จะมีอะไรสำคัญไปกว่านายท่านและฮูหยินรักใคร่กลมเกลียวกัน
วันนี้ ใต้ชายคาระเบียง ผู้ดูแลซ่งฝีเท้าราวกับเหาะ หอบดวงใจที่เต้นแรงด้วยความตื่นเต้น เดินผ่านประตูหลายบาน ก้าวเข้าประตูวงพระจันทร์ของเรือนไปยังห้องฝึกอาวุธ