ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 285.1 ตอนพิเศษ กลับเมืองหลวง (1)
เมื่อเฉินจ้าวเข้าเจียงเป่ยมาก็เป็นเวลาที่ดวงตะวันจะลาลับขอบฟ้าแล้ว
แดนเหนือสีทองอร่ามมีดวงตะวันกำลังลับเส้นขอบฟ้า อาบย้อมผืนดินอันกว้างใหญ่ให้เข้าสู่ความเงียบสงบก่อนพลบค่ำ
ทว่าความเงียบนี้กลับมีฟ้าฝนคอยตั้งเคล้าอย่างชัดเจน ทำให้รู้สึกตระหนกอย่างยากจะอธิบาย
แม่ทัพหนุ่มบนอานเงินประดับพู่แดงสีหน้าเย็นชา เงียบงันไม่พูดไม่จา ดวงตาราวกับข่มความไม่พอใจสุดแสนเอาไว้ นำองครักษ์ผู้ติดตามที่เดินอย่างเป็นระเบียบราวกับงูทั้งสองฝั่งของม้าตรงไปทางจวนซื่ออ๋องที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ระหว่างทางเรียกชาวบ้านเจียงเป่ยไม่น้อยให้หยุดมอง
นั่นมันแม่ทัพเฉินที่เฝ้ารักษาการณ์ประจำเมืองอวี้หลงที่อยู่ใกล้ๆ และเป็นพี่ชายชายาของอี๋ซื่ออ๋องไม่ใช่หรือ
ผู้บัญชาการเฝ้ารักษาการณ์ไม่อาจออกห่างจากที่ประจำการโดยไม่มีเหตุจำเป็นได้ วันนี้พาองครักษ์เร่งรุดมาเจียงเป่ยทำอะไรกัน
บรรดาชาวบ้านต่างวิพากษ์วิจารณ์ แอบคาดเดากันไปต่างๆ นานา
เมื่อถึงหน้าจวนซื่ออ๋อง เฉินจ้าวก็พลิกตัวลงจากอานม้า มองไปเบื้องหน้า
ล่างบันไดหน้าจวน มีคนรับใช้ของจวนซื่ออ๋องคอยต้อนรับอยู่นานแล้ว
เงาร่างอันคุ้นเคยตรงกลางนั้น ไม่ใช่น้องสาวแล้วจะเป็นใครได้อีก
เฉินจื่อหลิงได้ยินว่าพี่ใหญ่จะมาหากะทันหัน ก็ตื่นเต้นอยู่นานแล้ว ยามนี้พอได้พบหน้าตัวเป็นๆ จึงระงับไว้ไม่อยู่อีกต่อไป นางสะบัดมือตงเอ๋อร์และแม่บ้านอีกคนออก โผไปหาราวกับธนู ร้องห่มร้องไห้ออกมาเสียงดัง “ท่านพี่…”
“จับฮูหยินไว้!” แม่บ้านคนนั้นกลัวว่าพระชายาซื่ออ๋องจะเสียกิริยาน่าเกลียดต่อหน้าผู้คนมากมาย จึงส่งสายตาให้แม่บ้านที่อยู่ด้านข้าง
แม่บ้านสองคนเดินเข้าไปหาพร้อมกัน คนหนึ่งกอดเอวเฉินจื่อหลิงไว้ อีกคนจับแขนนางไว้
เฉินจ้าวดวงตาหรี่ลง ความสงสัยและเดือดดาลที่ข่มมาตลอดทางพลันระเบิดออก โกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที เขายกมือชี้ไปยังบุรุษบนบันได “ซย่าโหวเจิ่น ข้าก็นึกว่าเป็นแค่ข่าวลือ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะทำเช่นนี้กับน้องสาวข้าจริงๆ!”
เขาหันไปด้านข้าง องครักษ์สองนายเห็นสีหน้าแม่ทัพก็เข้าไปหาทันที คนหนึ่งหิ้วตัวแม่บ้านไว้ แล้วโยนทั้งสองคนออกไปตามๆ กัน!
เฉินจ้าวตวาดเรียกซื่ออ๋องด้วยนามของอีกฝ่ายโดยตรง ทำเอาบรรดาคนรับใช้ที่มารอต้อนรับทั้งสองฟากฝั่งตกอกตกใจจนหน้าซีดเผือด พากันมองไปยังเจ้านายตน
นายท่านก็ไม่ใช่คนที่จะรับมือด้วยง่ายอะไร ไหนเลยจะเคยถูกคนชี้หน้าด่าเช่นนี้มาก่อน ทั้งยังด่าในที่ของตนอีก ยามนี้ไฟโทสะลุกโชนขึ้นมาแล้ว แย่แล้ว
ณ ที่นั้น สีหน้าอี๋ซื่ออ๋องจากแดงเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำต่อหน้าธารกำนัลมากมาย แล้วก็จากเขียวคล้ำกลายเป็นซีดขาว สุดท้ายคลายมาเป็นสีธรรมชาติในที่สุด ทว่ากลับสูดหายใจลึก ดวงตาเดือดดาลมองไปยังแม่บ้านสองคนที่จับเฉินจื่อหลิงเอาไว้
“ถูกต้อง ที่เขาด่าน่ะหมายถึงพวกเจ้า! นึกไม่ถึงว่าจะปฏิบัติต่อฮูหยินเช่นนี้! เกือบทำพี่ชายฮูหยินเข้าใจข้าผิดแล้ว! เอาตัวออกไป!”
นี่ซื่ออ๋องกำลัง…หาทางลงให้ตัวเองอยู่อย่างนั้นรึ
บรรดาคนรับใช้ต่างปากอ้าตาค้าง
แม่บ้านสองนางผู้น่าสงสารเกิดเรื่องอะไรขึ้นยังไม่ทันได้รู้ก็โดนบ่าวรับใช้ลากตัวออกไปเสียแล้ว
ทว่าการขัดจังหวะเช่นนี้ เฉินจ้าวก็เรียกได้ว่าโทสะสงบลงไปไม่น้อย ไม่ได้พูดอะไรมากความอีก
ก่อนจะพลบค่ำ เฉินจ้าวเข้าจวนซื่ออ๋องในเจียงเป่ยไป สองพี่น้องกำลังพบหน้ากันที่ห้องบุปผา
อี๋ซื่ออ๋องที่อยู่ในห้องโถงหลานเซียงที่อยู่ติดกัน กำลังรอบ่าวรับใช้เข้าๆ ออกๆ รายงานสถานการณ์ในห้องบุปผาคราแล้วคราเล่า
“นายท่าน ฮูหยินกำลังร้องไห้ต่อหน้าท่านแม่ทัพอีกแล้วขอรับ”
“นายท่าน ท่านแม่ทัพโยนแก้วใบหนึ่งทิ้งขอรับ”
“นายท่าน…ท่านแม่ทัพด่าทอท่านหยาบคายแล้ว เนื้อหารายละเอียดต้องรายงานหรือไม่ขอรับ”
ผู้ดูแลซ่งส่งเสียงถุยออกมา ไล่บ่าวที่มีตาหามีแววไม่คนนี้ออกไป
ในที่สุด บ่าวรับใช้ก็วิ่งเหยาะๆ เข้ามาเป็นครั้งสุดท้าย กระหืดกระหอบเอ่ยว่า “ฮูหยินพูดคุยกับท่านแม่ทัพเสร็จแล้ว ทั้งสองกำลังออกมาจากห้องบุปผาขอรับ”
อี๋ซื่ออ๋องถกชุดคลุมลุกขึ้นจากเก้าอี้นวมอย่างรวดเร็ว สาวเท้าก้าวยาวๆ เดินไปด้านนอกโถงหลานเซียง ผู้ดูแลซ่งรีบตามไปทันที
เดินมาได้ครึ่งทางก็เจอเข้ากับสองพี่น้องตรงหน้าพอดี
ดวงหน้าชมพูของเฉินจื่อหลิงแดงเล็กน้อย เปลือกตาก็บวม ไม่รู้ว่าเพราะหลังจากร้องไห้แล้ว ได้เจอกับคนในครอบครัว อารมณ์จึงได้ดีขึ้นมากหรือไม่
อี๋ซื่ออ๋องจ้องเฉินจื่อหลิงอยู่เนิ่นนานจึงได้ดึงสายตากลับมา เอ่ยกับเฉินจ้าวอย่างเกรงใจว่า “พูดคุยเสร็จแล้วหรือ ข้าเตรียมห้องไว้เรียบร้อยแล้ว ท่านแม่ทัพสามารถเข้าไปพักผ่อนได้เลย หากอยากกลับเลยข้าก็จะไม่รั้งไว้ แต่ข้าว่าเจ้ากลับดีกว่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เกรงใจ แต่เจ้าเฝ้ารักษาการณ์เมืองชายแดน ออกมานานเกินไป ถูกราชสำนักรู้เข้า นินทาว่าร้ายนั่นยังเบา ลงโทษสิเรื่องใหญ่ ข้าเป็นห่วง…”
เฉินจ้าวดวงตาทั้งสองข้างแข็งกร้าวราวกับดาบน้ำแข็ง จดจ้องสามีน้องสาวเขม็ง ขัดเขาว่า “ไม่ลำบากหรอก ข้าไม่พัก และยังไม่กลับอวี้หลงไปตอนนี้ด้วย วันนี้ข้าจะพาจื่อหลิงไปจากที่นี่”
“ไป ไปไหนหรือ” ไฟโทสะในใจอี๋ซื่ออ๋องลุกโชน
เฉินจ้าวมุมปากปรากฏเป็นรอยยิ้มหยัน “จะส่งจื่อหลิงกลับเมืองหลวงก่อน ไม่แน่ว่าอาจจะตามจดหมายที่ส่งให้ฝ่าบาททันพอดี”
อี๋ซื่ออ๋องรีบมองเฉินจื่อหลิงทันที เห็นเพียงนางปรายหางตามองทิวทัศน์ทางอื่น ราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตัวเอง ก็กลัวว่าเฉินจ้าวจะโน้วน้าวนางสำเร็จขึ้นมา
ผู้ดูแลซ่งร้อนรนทันใด “ยอมทำลายวัดสิบวัด ดีกว่าทำลายการแต่งงานเพียงครั้งเดียว ท่านแม่ทัพเฉินทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมนะขอรับ ซื่ออ๋องของข้าแค่ทะเลาะกับฮูหยินเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น หนังสือหย่าก็ให้คนไปตามกลับมาแล้ว เรื่องนี้ไม่น่าจะรบกวนถึงฝ่าบาทได้ เหตุใดท่านจึงยังโน้มน้าวให้แยกทางเล่า”
เฉินจ้าวสีหน้าเดือดดาลยิ่งกว่าเดิม มุมปากกลับหยักยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชา “เรื่องหนังสือหย่าจะยังไม่พูดขึ้นตอนนี้ ที่น่าเคียดแค้นที่สุดก็คือ นายของเจ้ารู้เรื่องแก่ใจแต่ไม่รายงาน ตอนเรือนจื่อหลิงพังถล่มเกือบจะเสียชีวิตไป ศีรษะบาดเจ็บรุนแรงยิ่ง จดจำเรื่องใดไม่ได้สักอย่าง นึกไม่ถึงว่าคนเป็นสามีจะส่งคนมาปลอบใจข้าว่าแค่บาดเจ็บภายนอกเท่านั้น หากผู้ส่งสารของอวี้หลงไม่ผ่านเจียงเป่ยแล้วทราบความจริงเข้า ข้าก็ยังไม่รู้ว่าน้องสาวตัวเองถูกท่านไล่ออกจากเรือนหลัก พักอยู่เรือนอื่นผู้เดียว จึงได้ประสบเคราะห์ครานี้เข้า นี่ท่านไม่ได้เอาชีวิตจื่อหลิงมาใส่ใจเลยสักนิด กลัวว่าจะต้องแบกคำครหาว่าปฏิบัติต่อภรรยาหลวงไม่ดี เกิดวันนั้นน้องสาวข้าตายอยู่ใต้เรือนถล่มนั่น เกรงว่ากระทั่งสาเหตุการตายที่แท้จริงท่านก็คงไม่ให้ตระกูลเฉินได้รับรู้กระมัง ในเมื่อท่านเห็นลูกสาวตระกูลเฉินเป็นธุลีดิน แล้วเหตุใดเราจะต้องหาความอัปยศมาใส่ตัว ท่านเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ เป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ แต่ตระกูลเฉินของข้าก็เฝ้าปกป้องแผ่นดินให้แก่ราชวงศ์ซย่าโหวเช่นกัน หย่าร้างบุพเพนี้ไปแล้วอย่างไร ภายหน้า ต่างคนต่างมีปณิธานของตัวเอง จะเดินทางไหนล้วนเป็นเรื่องของคนนั้นก็แค่นั้น”
กล่าวจบก็หันไปตวาดว่า “จื่อหลิง ไปกับพี่”
อี๋ซื่ออ๋องนิ่งอึ้ง
ผู้ดูแลซ่งได้สติขึ้น เสียใจภายหลังยิ่ง เขาตบเข่าฉาดหนึ่ง “แม่ทัพเฉิน นั่นเป็นคำพูดที่บ่าวให้คนรับใช้ไปบอกท่าน ตอนนั้นกลัวว่าเรื่องที่ฮูหยินศีรษะบาดเจ็บหนักจะทำลายความสัมพันธ์ของสองตระกูล จึงไม่กล้ารายงานไปตามตรง อยากจะรอให้ฮูหยินดีขึ้นสักหน่อยก่อนค่อยบอก…บ่าวเป็นคนจัดการเอง โทษแต่บ่าวเถิด นายท่านไม่ได้รู้เรื่องด้วยเลยนะขอรับ!”
“บนบั้นท้ายคนรับใช้มีตุ่มกี่ตุ่มผู้เป็นนายยังรู้หมด นายของเจ้าจะไม่รู้เรื่องที่ผู้ดูแลอย่างเจ้าทำเชียวรึ ไปหลอกผีไป” รองแม่ทัพข้างกายเฉินจ้าวขบขัน
อี๋ซื่ออ๋องไม่ได้แก้ต่างอย่างหาได้ยากยิ่ง เขามองสตรีที่ยืนข้างกายเฉินจ้าว “ฮูหยินเชื่อข้าหรือไม่”
เฉินจื่อหลิงตอบไปตรงๆ ว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเคยเชื่อไปแล้วครั้งหนึ่ง”
แต่พริบตาเดียวเขาก็เปลี่ยนใจ ลืมเลือนคำสัญญาไป
นางไม่สนว่าเขาจะมีเหตุผลอะไร จะว่าว่านางอิจฉาอนุก็ดี ไร้เหตุไร้ผลก็ช่าง อย่างไรเสียนางก็รู้แค่ว่า สามีของนางต้องการรับอนุรักที่ตั้งครรภ์กลับมาที่จวนอีกครั้ง
อี๋ซื่ออ๋องลูกกระเดือกขยับไหว กลิ่นอายดุดันเพิ่มขึ้น “การหย่าร้างสมรสพระราชทาน เจ้าคิดจะหย่าก็หย่าได้หรือ”
แววตาโชติช่วงของเฉินจ้าวเป็นประกาย “ไม่กี่วันนี้หวงกุ้ยเฟยเพิ่งจะถูกแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮา”
“แล้วอย่างไร” อี๋ซื่ออ๋องเดือดดาล หวงกุ้ยเฟยกลายเป็นฮองเฮา จึงมีคนคอยให้ท้ายแล้วใช่หรือไม่ ในชีวิตของเขา มีเพียงเขาที่ใช้อำนาจกดขี่คนอื่น นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกคนรังแกต่อหน้าเช่นนี้ จะแข่งกันว่าเบื้องหลังใครใหญ่กว่ากันอย่างนั้นรึ
“การแต่งตั้งฮองเฮาเป็นเรื่องมหามงคล ได้ยินว่าหวงกุ้ยเฟยมีเรื่องน่ายินดีขึ้นอีกแล้ว ฝ่าบาททรงนิรโทษกรรมให้ทั้งแผ่นดิน เรื่องหย่าระหว่างจื่อหลิงกับท่าน ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นไปได้”
ดวงหน้าหล่อเหลาของอี๋ซื่ออ๋องแดงก่ำขึ้น สะบัดแขนเสื้อไหมดิ้นทองโดยพลัน
“ใครมันกล้าออกไป ที่นี่เป็นจวนซื่ออ๋องในเจียงเป่ย! เห็นเป็นตลาดสด แย่งคนเหมือนผักปลาหรือไร หากข้าไม่อนุญาต ไม่ว่าใครก็ออกไปไม่ได้!”
เสียงอึกทึกดังขึ้น คนคุ้มกันเรือนที่อยู่ด้านนอกไม่ถึงจั้ง[1]ต่างทะยานตัวออกจากประตูวงพระจันทร์ ห้อมล้อมคนทั้งกลุ่มเอาไว้
เฉินจ้าวเห็นชายชาตรีอย่างอี๋ซื่ออ๋อง ดีร้ายอย่างไรก็เคยรบราฆ่าฟันชาวเป่ยเหรินในสนามรบมาก่อน นึกไม่ถึงว่ายามนี้จะเล่นลูกไม้หยาบช้าในที่ตัวเอง เหมือนพวกอันธพาลบนถนน ทั้งน่าขันทั้งโมโห
เฉินจื่อหลิงมองไปรอบๆ แล้วกระตุกแขนเสื้อพี่ชาย “ท่านพี่พักที่นี่ก่อนค่อยว่ากันดีหรือไม่ นี่ก็เย็นมากแล้ว ท่านเร่งรุดมาคงเหนื่อยแล้ว”
น้องสาวที่เติบโตมาด้วยกัน เหตุใดเฉินจ้าวจะมองความคิดนางไม่ออก มังกรที่แข็งแกร่งไม่อาจสู้งูดินได้[2] ที่นี่คือเจียงเป่ย หากอี๋ซื่ออ๋องตั้งใจจะขวางไว้ พวกเขาก็ไปไหนไม่รอดแน่
———————————–
[1] จั้ง (หน่วยวัดความยาวจีน) 3.33 เมตร
[2] มังกรที่แข็งแกร่งไม่อาจสู้งูดินได้ เปรียบเปรยว่าผู้มีอำนาจแข็งแกร่งก็ยากที่จะจัดการกับอิทธิพลท้องถิ่น