ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 285.2 ตอนพิเศษ กลับเมืองหลวง (2)
ผู้ดูแลซ่งเห็นฮูหยินไกล่เกลี่ย ก็เบาใจลงในที่สุด
สีหน้าอี๋ซื่ออ๋องก็ดีขึ้นเช่นกัน เขาโบกมือให้ผู้คุ้มกันเรือนที่กรูกันเข้ามา พวกเขาจึงได้ถอยไป
ผู้ดูแลซ่งอาศัยโอกาสนี้เอ่ยว่า “ไม่ว่าเรื่องใดล้วนเจรจากันได้ทั้งนั้น พักอยู่ก่อนค่อยว่ากันเถิด” แล้วตวาดขึ้นเสียงดังว่า “ยังไม่ส่งท่านแม่ทัพเฉินไปเรือนรับรองแขกเพื่อพักผ่อนอีก”
สีหน้าเฉินจ้าวแม้จะไม่ทะมึนเหมือนเมื่อครู่ แต่ก็ไม่ได้ดีสักเท่าใดนัก “อีกเดี๋ยวข้าจะไปเอง ไม่รบกวนคนในจวนหรอก”
อี๋ซื่ออ๋องกำหมัด ผู้ดูแลซ่งกลัวว่าอุณหภูมิที่กว่าจะลดลงได้จะเพิ่มขึ้นมาอีก จึงขยับไปโน้มน้าวข้างหูว่า “ฮูหยินเอนเอียงมาทางท่านนะขอรับ รอให้ฮูหยินกลับไปเรือนหลักยามค่ำก่อน สองสามีภรรยาค่อยพูดคุยกันก็ไม่สาย ยามนี้แม่ทัพเฉินกำลังมีโทสะ เหตุใดจึงต้องใช้ไม้แข็งเข้าสู้ด้วยเล่า”
อี๋ซื่ออ๋องมองเฉินจื่อหลิงแวบหนึ่ง ฝ่ามือพลันร้อนขึ้น ในที่สุดก็กัดฟัน ค่ำนี้ค่อยจัดการนาง เขาหันหลังเดินนำผู้ดูแลซ่งและคนทั้งกลุ่มไป
ในแววตาแฝงไว้ด้วยการรอคอย ราวกับดอกไม้ไฟปะทุทิ่มแทงบนร่างเฉินจื่อหลิงอย่างแรง
เฉินจ้าวย้ายสายตาไปบนร่างน้องสาว เห็นแววตานางจดจ้องแผ่นหลังสามีนิ่ง คิ้วคมขมวดมุ่น “พี่ไม่อยากบังคับเจ้า จะไปหรือจะอยู่ก็แล้วแต่เจ้า หากเจ้าไม่อยากเป็นนายหญิงแห่งจวนซื่ออ๋องแล้ว ต่อให้พี่ต้องทุ่มสุดชีวิตก็จะต้องพากลับเมืองหลวงให้ได้ ทูลขอหย่าร้างการแต่งงานครานี้ด้วยตัวเอง แต่หากเจ้ายัง…” เมื่อครู่พูดจาตัดไมตรีต่อหน้าอี๋ซื่ออ๋อง แต่ลับหลัง เฉินจ้าวกลับรู้ดีว่าทุกอย่างล้วนต้องดูความต้องการของน้อง อย่างไรเสียนี่ก็เป็นชีวิตคู่ของนาง นางย่อมรู้ดีแก่ใจ
แม้ว่าเขาจะเป็นพี่ชาย แต่ก็ไม่อาจบีบบังคับได้
“ทำไมรึ พี่คิดว่าข้าอาลัยอาวรณ์ต่อจวนซื่ออ๋องหรือ” เฉินจื่อหลิงเอ่ยถาม
เฉินจ้าวจ้องน้องสาวนิ่งอยู่สักพักหนึ่ง สุดท้ายจึงเอ่ยว่า “จื่อหลิง หากเจ้าไม่ได้อาลัยอาวรณ์ต่อจวนซื่ออ๋อง แล้วเหตุใดต้องแกล้งความจำเสื่อมสร้างโอกาสใกล้ชิดกับเขาใหม่ด้วยเล่า”
อย่างไรเสียก็เป็นน้องสาวแท้ๆ ที่เติบโตมาด้วยกัน เมื่อครู่ลองหยั่งเชิงอยู่ที่ห้องบุปผาสองสามประโยค เขาก็แทบจะเดาออกแล้ว
เฉินจื่อหลิงไม่ได้แปลกใจที่พี่ชายเดาถูก
พอหนังสือร้องขอหย่าร้างส่งออกไป ทั้งคู่ก็ตกสู่ภาวะที่หยุดชะงักไปไม่มีอะไรพัฒนา เขามีศักดิ์ศรีของบุรุษ นางก็มีนิสัยเย่อหยิ่งไม่ยอมแพ้ของสตรี ต้องมีสักคนที่ยอมอ่อนข้อให้ จึงจะสามารถทำให้บุพเพครานี้ได้เริ่มใหม่อีกครั้ง
ดังนั้นจึงได้อาศัยโอกาสที่ศีรษะบาดเจ็บ แสร้งทำเป็นความจำเสื่อมจดจำอะไรไม่ได้ แก้ไขความสัมพันธ์กับเขาใหม่อีกครั้ง
ทว่า ยามนี้ดูท่าจะล้มเหลวเสียแล้ว บางทีนี่อาจจะทำเกินจำเป็นไป
“ท่านพี่ ท่านคิดว่าบุพเพระหว่างชายหญิงแบบใดจึงจะเรียกว่าสมบูรณ์พูนสุข” เฉินจื่อหลิงโพล่งขึ้น
เฉินจ้าวเกิดความขมขื่นที่ไม่อาจสังเกตเห็นได้กระเพื่อมไหวขึ้น ถามเรื่องบุพเพชายหญิงกับเขาน่ะหรือ
เขามันคนหยาบกระด้าง ทั้งยังอยู่ในขนบมากเกินไป หากละเอียดอ่อนสักหน่อย จะถึงขั้นคนงามอยู่ตรงหน้าแต่ไม่อาจครอบครองได้หรือ แถมยังกราบทูลขอออกจากเมืองหลวงมาด้วยตัวเองอีก
แม่ทัพหนุ่มอนาคตไกลนำทัพตระกูลเฉินด้วยความกระฉับกระเฉงและมีชีวิตชีวา ขึ้นเหนือไปชายแดน โจมตีศัตรู เรียกความสรรเสริญและอิจฉาจากคนนับหมื่น ใครจะไปรู้ว่าความจริงแล้วนี่คือการหลบหนีอย่างอ่อนแอเท่านั้น
แต่นี้ไปจะเฝ้าปกปักษ์แผ่นดินเพื่อนาง ก็เรียกได้ว่าอยู่ร่วมกับนางแล้ว
เฉินจ้าวดับอารมณ์ความรู้สึกลง “อย่างน้อยก็ต้องคบหากันอย่างสบายใจกระมัง”
“ท่านพี่พูดถูก ยามนี้ข้าเจ็บปวดนัก”
เฉินจื่อหลิงน้ำเสียงกลับไม่ได้เสียใจ มีเพียงแววตาที่หดหู่วูบไหวขึ้นชั่วครู่ ในชั่วขณะที่นางหันหลังกลับ พรูลมออกมา คล้ายตอนเด็กๆ ที่ล้มแล้วลุกขึ้นมาเอง แล้วกลับคืนสู่ความสดใสดังเดิม
เฉินจ้าวกระจ่างแจ้งในการตัดสินใจของนางแล้ว จึงไม่ได้เอ่ยอะไรอีก
ในวันนั้น ทั่วทั้งจวนซื่ออ๋องต่างทราบกันดี ท่านแม่ทัพแห่งอวี้หลงได้ข่าวว่าฮูหยินเกือบจะเสียชีวิตในเหตุการณ์เรือนถล่มของจวน และนายท่านทราบเรื่องดีแต่ไม่บอก เพื่อลดความบาดหมาง ท่านแม่ทัพแห่งอวี้หลงมาเจียงเป่ยด้วยความเดือดดาล ยืนกรานจะส่งฮูหยินกลับเมืองหลวง ยามนี้กำลังพักอยู่ที่จวน ส่วนทหารที่ติดตามเดินทางมาด้วยจัดการให้พักที่ค่ายทหารชานเมือง
ต่อให้คนรับใช้ในจวนซื่ออ๋องสูญเสียประสาททั้งห้าก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นดินปืนอันเข้มข้นในบรรยากาศ โชคดีที่แม่ทัพเฉินโดนฮูหยินโน้มน้าวไว้ ไม่ได้ยืนกรานจะพาคนหนีอีก ทว่า แต่ละคนไม่กล้าหายใจกันแรง พอตกค่ำ นอกจากคนที่ต้องเฝ้ายามลาดตะเวนในลานบ้านแล้ว คนอื่นๆ ต่างปิดห้องคนใช้ที่เรือนใต้กันหมด ไม่กล้าออกมา กลัวว่าจะถูกเอามาเป็นกระโถนระบายอารมณ์
เฉินจื่อหลิงกว่าจะได้พบหน้าเฉินจ้าวนั้นยากยิ่ง จากกันครานี้ ไม่รู้ว่าคราหน้าจะเป็นเมื่อใด บอกว่าตกค่ำจะเล่าเรื่องในชีวิตประจำวันกับพี่ชาย หลังจากมื้อค่ำผ่านไป ก็มีคนอยู่เป็นเพื่อนนั่งรอที่จะพูดคุยกับเฉินจ้าวที่ห้องบุปผา
การรอคอยนี้ รอจนดึกดื่นก็ยังไม่มา
ผู้ดูแลซ่งรู้ดีว่าช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้เป็นช่วงเวลาที่อี๋ซื่ออ๋องวางแผนไว้ ไหนเลยจะสนใจฮูหยิน เป็นจริงดังคาด อี๋ซื่ออ๋องไม่ได้ให้คนรับใช้ไปรบกวน ตรงกันข้ามกลับให้พวกแม่บ้านมาคอยรับใช้แทน
ดวงเดือนเคลื่อนคล้อยไปตะวันตกเรื่อยๆ ห้องนอนอ้างว้างว่างเปล่า อี๋ซื่ออ๋องอ่านฎีกาการทหารอยู่สักพัก เงยหน้าขึ้นมองจันทราอันเย็นเยียบนอกหน้าต่าง รอเพียงนางกลับมา ค่อยพูดคุยเรื่องที่ยังค้างคาในวันนี้กับนางต่อ
สาวใช้เข้ามาเชิญเขาให้เปลี่ยนอาภรณ์นอนพักผ่อนก่อนอยู่หลายครั้ง เขาก็ไล่ออกไปทุกครั้ง
เขาซย่าโหวเจิ่น นึกไม่ถึงว่าจะมีวันที่เหมือนแม่ม่ายเฝ้าห้องว่างเปล่าอย่างเดียวดายเช่นนี้
แม่บ้านดูแลเรือนชั้นในที่ดูแล้วมีตำแหน่งไม่เบานางหนึ่งที่อยู่ด้านนอกเอ่ยเรียกด้วยความระมัดระวัง ขัดความคิดของบุรุษในม่าน “นายท่าน พาตัวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
เขาพลันตื่นตัว พอเดาๆ ได้ว่าคนที่แม่บ้านพูดถึงนั้นเป็นใคร
เป็นดังที่คาด ผู้ดูแลซ่งออกไปมองดูด้านนอก กลับมาบอกว่า “นายท่าน แม่บ้านเลี่ยวที่ดูแลรับผิดชอบจัดซื้อข้าวของภายในห้อง ยามที่นางจับจ่ายซื้อของจากด้านนอกได้ข่าวว่าโหยวซื่อตั้งครรภ์ บ่าวจึงได้รู้ว่าโหยวซื่อถูกนางรับตัวกลับมาแล้ว”
นอกม่านนั้น โหยวซื่อถอดชุดกระโปรงไหมเปลี่ยนไปใส่อาภรณ์ธรรมดา ตกระกำลำบากอยู่ด้านนอกในไม่กี่วันมานี้กลับมาที่จวนซื่ออ๋องอีกครั้ง ระหว่างทางเข้ามา ผ่านระเบียงทางเดิน ดวงใจพลุ่งพล่านไม่สงบ
เนื่องจากฟุ่มเฟือยแล้วต้องมาประหยัด ใช้ชีวิตในจวนซื่ออ๋องจนชิน พอออกไปอีกจึงราวกับตกนรกทั้งเป็น นางทำงานที่ร้านซักผ้าแห่งหนึ่ง ซักเสื้อผ้าไม่เคยเสร็จสักวัน นิ้วมือบวมพองเป็นตุ่ม ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ทุกค่ำคืน เสียงดังจนเจ้าของร้านตื่นขึ้นจึงโดนตี ครานี้ ต่อให้ตายก็ไม่ออกไปอีกแล้ว!
โหยวซื่อหมอบกับพื้น สะอื้นว่า “นายท่าน”
“กี่เดือนแล้ว” น้ำเสียงบุรุษเรียบนิ่ง พุ่งเข้าประเด็นทันที
“เดือนกว่าแล้วเจ้าค่ะ” โหยวซื่อเช็ดน้ำตา
เกือบจะเป็นวันเดียวกับที่โหยวซื่อออกจากจวนไป นั่นก็หมายความว่า ครรภ์นี้เกิดขึ้นเมื่อโหยวซื่อถูกไล่ออกจากจวนไป ช่วงเวลานั้น นายท่านกับฮูหยินยังกระทบกระทั่งกันหนักอยู่ ไปพักกับโหยวซื่ออยู่บ่อยครั้งจริงๆ ผู้ดูแลซ่งมองอี๋ซื่ออ๋องแวบหนึ่ง
“ทางเรือนตะวันตก ยาที่หมอของจวนจัดให้ตลอด เจ้าไม่ได้กินรึ” น้ำเสียงซื่ออ๋องพลันเปลี่ยน ไร้ซึ่งความปรีดาของคนเป็นพ่ออย่างคราแรก ตรงกันข้ามกลับไต่สวนแทน
เมื่อก่อนเรื่องสตรีเขาทำตามอำเภอใจ ไม่ควบคุมเรื่องผู้หญิง แต่ชัดเจนใสสะอาดทั้งนอกทั้งใน ทำตามคำสั่งเสียของมารดา ลูกคนโตของอนุจะทำบ้านวุ่นวาย หากไม่ใช่ภรรยาหลวงจะไม่มีบุตรด้วย
อยู่แต่ชายแดน ทำให้เรื่องการแต่งงานล่าช้า และไม่ได้แต่งภรรยาหลวงอย่างถูกต้องเปิดเผยเสียที เขาก็ไม่ได้ให้บรรดาอนุมีบุตรให้มาโดยตลอด
โหยวซื่อร้องไห้ออกมา “ทุกครั้งล้วนเป็นหมอส่งแม่บ้านมาปรนนิบัติให้ดื่ม หม่อมฉันไหนเลยจะกล้าไม่ดื่ม ตอนหม่อมฉันทราบว่าท้องก็ทั้งตกใจและแปลกใจ แต่แม่บ้านเลี่ยวบอกว่า ร่างกายบางคนก็ตั้งครรภ์ได้ง่าย”
“ตรวจสอบจำนวนเดือนชัดเจนแล้วหรือ” อี๋ซื่ออ๋องเงียบงันไปนานจึงได้ขมวดคิ้วถามขึ้น
แม่บ้านเลี่ยวก้มหน้ารีบตอบว่า “ทายาทจวนซื่ออ๋อง จะกล้าตรวจสอบไม่ชัดเจนได้อย่างไรเจ้าคะ”
ผู้ดูแลซ่งพยักหน้า “หลังจากบ่าวทราบก็ส่งหมอของจวนไปตรวจโหยวซื่อที่ร้านซักผ้าด้วยตัวเอง เป็นเช่นนี้จริงขอรับ”
อี๋ซื่ออ๋องเงียบงัน
ครู่ต่อมาได้ยินเสียงลอยมาจากในม่านอย่างเหนื่อยล้าว่า “พาโหยวซื่อกลับที่พักเดิมไปก่อน”
บรรดาอนุสามารถส่งออกไปได้ แต่ทายาทจะทิ้งไว้ข้างนอกได้อย่างไร
โหยวซื่อปรีดา ดีใจจนมือเท้าสั่น แม่บ้านเลี่ยวรองนางไว้ พยุงอุ้มขึ้น โหยวซื่อจึงได้เช็ดน้ำตา ไหว้อยู่นอกม่าน แล้วเดินตามแม่บ้านเลี่ยวไป
เพิ่งจะออกจากเรือนหลักได้ไม่นาน เดินเลียบตามทางไปสวนตะวันตกที่ปูหินเล็กๆ ได้ครึ่งทาง โหยวซื่อมองรอบด้านไร้คนจึงสูดหายใจลึก คว้าแขนเสื้อแม่บ้านเลี่ยวไว้ คุกเข่าลง ร้องห่มร้องไห้ “โชคดีที่ครานี้ได้แม่บ้านเลี่ยวช่วยไว้ มิฉะนั้นข้าได้ตายอยู่ด้านนอกแน่ ภายหน้าข้าร่ำรวยแล้วจะตอบแทนแม่บ้านเลี่ยวเป็นร้อยเท่าพันเท่าแน่นอน…”
ยังพูดไม่ทันจบ แม่บ้านเลี่ยวก็รีบปิดปากนางไว้โดยพลัน “กลัวว่าเจ้ากับข้าจะมีอายุยืนหรือไร”
โหยวซื่อจึงได้เงียบไป เช็ดน้ำตาให้แห้ง เก็บงำแววตา แล้วเผยความปรีดาออกมา เดินตามแม่บ้านเลี่ยวไปยังที่พักเดิม