ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 285.3 ตอนพิเศษ กลับเมืองหลวง (3)
ณ เรือนหลัก ราตรีดึกสงัดลง
นางผู้นั้นไม่กลับมาเสียที
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโหยวซื่อเพิ่งจะกลับมาหรือไม่ อี๋ซื่ออ๋องจึงได้อารมณ์ร้อนรุ่มนัก กระสับกระส่ายนั่งไม่ติด ถึงขนาดเตรียมคำพูดเอาไว้ อีกเดี๋ยวจะพูดอะไรกับเฉินจื่อหลิงบ้าง จะพูดอย่างไรจึงจะทำให้นางยอมฟัง
นี่เป็นเรื่องที่ชั่วชีวิตนี้เขาไม่เคยทำมาก่อน
“ถ้าอย่างนั้นให้บ่าวไปเชิญฮูหยินให้รีบกลับดีหรือไม่ขอรับ” ผู้ดูแลซ่งทนไม่ไหว
“อย่าเร่งเลย เจ้าออกไปก่อนเถิด” คนในม่านโบกมือแล้วหาวออกมา
ภายในห้องเงียบงันลง อี๋ซื่ออ๋องครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ความง่วงเข้าจู่โจม เปลือกตาเริ่มต่อสู้กัน เพียงไม่นานก็ฟุบลงบนโต๊ะ
ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าใด แสงสว่างเบื้องหน้าปรากฏขึ้นสลัว เสียงเรียกอย่างตื่นตระหนกทำลายฝันดีไป
อี๋ซื่ออ๋องลืมตาพลัน เงยหน้าขึ้น นอกหน้าต่างที่แง้มไว้ครึ่งหนึ่ง ดวงตะวันใกล้จะเคลื่อนสู่ฟ้าแล้ว ดวงใจพลันหดเกร็ง มองไปทางเตียงด้วยความรวดเร็วตามจิตสำนึก
ว่างเปล่า เรียบร้อยเป็นระเบียบ เมื่อกับเมื่อคืนทุกอย่าง!
นาง…ไม่กลับมาอย่างนั้นรึ
คนรับใช้เรือนชั้นในบุกเข้ามาหาโดยไม่สนใจกฎธรรมเนียมใดทั้งสิ้น ตื่นตระหนกจนหน้าถอดสี “ฮูหยินออกจากจวนไปกับแม่ทัพเฉินเมื่อคืนขอรับ!”
“ออกจากจวนอย่างนั้นรึ” เขาไม่อยากจะเชื่อ กระโดดขึ้นอย่างแรง ถีบยอดอกคนรับใช้ไป “พวกเขาออกจากจวนไป เหตุใดจึงไม่มีใครมารายงาน! ตามไปสิ ตามไปสิวะ มายืนนิ่งอยู่ตรงนี้มองข้าจะมีประโยชน์อะไร…”
หมัดหนึ่งทุบลงโต๊ะ สะเทือนจนแท่นฝนหมึกกับพู่กันกระดอนขึ้น เฮอะ เหตุใดจึงไม่มีใครมารายงานเลย ยังต้องถามอีกรึ แน่นอนว่าต้องแอบหนีกันออกไปอยู่แล้ว!
ทั้งสองต่างเป็นคนฝึกศิลปะการต่อสู้ อาศัยช่วงพูดคุยกันตามประสาพี่น้องยืดเวลาออกไป ไล่สาวใช้ชราที่อ่อนแอพวกนั้นออกไป ค่อยใช้ตำแหน่งฮูหยินของนางอ้อมพวกคุ้มกันเรือนออกไป มีอะไรยากกัน!
ท่าทีเมื่อกลางวันดีเพียงนั้น ที่แท้ก็เพื่อหลอกตน ทำให้ตนวางใจลงนี่เอง!
แท้ที่จริงแล้วจวนซื่ออ๋องของเขาก็น่ากลัวถึงเพียงนี้ นึกไม่ถึงว่าจะทำให้นางตามพี่ชายหนีไปตลอดคืน อยู่ต่อแม้แต่วันเดียวก็ยังไม่ได้
คนรับใช้ลูบหน้าอกพลางร้องห่มร้องไห้เต็มหน้า “…พอผู้ดูแลซ่งทราบก็รีบพาบ่าวรับใช้ออกตามไป…”
อี๋ซื่ออ๋องหอบหายใจ ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้นวม แต่เห็นผู้ดูแลซ่งเหงื่อออกราวกับฝนตกวิ่งเข้ามา ทันใดนั้นดวงตาก็เป็นประกาย ลุกขึ้นพรวด
“นายท่าน ตามไม่ทัน เกรงว่าแม่ทัพเฉินจะเตรียมการไว้แต่แรกแล้ว ทหารตระกูลเฉินที่ค่อนคืนหลังให้พักอยู่ที่ค่ายทหารนำม้าเร็วสองตัวมารอที่ประตูหลัง ยามนี้ทั้งสอง…เกรงว่าจะออกจากดินแดนเจียงเป่ยไปแล้วขอรับ!” ผู้ดูแลซ่งเช็ดเหงื่อออก แล้วตะโกนขึ้นอีกว่า “ใครก็ได้ เตรียมม้ากับเสื้อผ้าให้นายท่านด้วย!”
อี๋ซื่ออ๋องใจหล่นวูบ มีบางอย่างว่างเปล่า ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้ว ดุว่า “ทำอะไรน่ะ”
“พาฮูหยินกลับมาอย่างไรเล่าขอรับ” ผู้ดูแลซ่งร้อนรน
ได้ยินเพียงเสียงรอดไรฟันอันเย็นเยียบว่า “ปล่อยนางไป นางไม่เคยใยดีต่อการแต่งงานครานี้อยู่แล้ว”
……
เมื่อเฉินจื่อหลิงติดตามพี่ชายมาถึงเยี่ยจิง ฟากฟ้าก็สว่างแล้ว
หลังจากกลับบ้านเดิมพักอยู่สองเดือน ไม่ทันไรก็เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว เมื่อสองเดือนก่อน ระหว่างทางที่เฉินจ้าวไปจวนซื่ออ๋องในเจียงเป่ย ได้ส่งจดหมายกลับมาที่เมืองหลวง บอกเล่าเรื่องราวของน้องสาว หลังจากกลับมาที่จวนตระกูลเฉินในเมืองหลวงแล้ว ย่อมถูกแม่ทัพอาวุโสเฉินตำหนิด้วยความโมโหยกใหญ่ คนหนึ่งไม่อาจเป็นพี่ชายได้ ก่อเรื่องไม่รู้ความ คนหนึ่งไม่อาจเป็นสตรีออกเรือนได้ บอกสักคำก็ไม่มี หนีกลับมากับคนในครอบครัวเสียแล้ว แต่พอด่าจบก็หมดหนทางทำอะไรไม่ได้ ยามนี้คงต้องปกป้องไว้ก่อน วันหน้าค่อยพาหลานสักคู่เข้าวังไปขออภัยโทษไทฮองไทเฮาและฝ่าบาท
เฉินจ้าวพาน้องสาวคุกเข่าอยู่ ณ ที่นั้น ทูลร้องขอให้หย่าร้างการแต่งงานนี้
ระหว่างทูลร้องนั้นจริงใจซื่อสัตย์ การแต่งงานมีเส้นคาบเกี่ยวระหว่างสุขและทุกข์ หากการแต่งงานไม่หนักแน่นมั่นคง เกิดเรื่องทุกข์ร้อนในบ้านบ่อยๆ ทั้งอี๋ซื่ออ๋องก็เป็นเสาหลักของแผ่นดิน จะยิ่งเกี่ยวพันไปถึงส่วนอื่นมากขึ้น สู้ตัดขาดกันเสียแต่เนิ่นๆ ดีกว่า
จดหมายทูลขอหย่าร้างจากทางเจียงเป่ยมาถึงเมืองหลวงเมื่อสิบกว่าวันก่อนแล้ว แต่ยังไม่ถูกจัดการทูลขึ้นถวายเท่านั้น พอตระกูลเฉินทั้งสามคนเข้าวัง สองพี่น้องสกุลเฉินยื่นหนังสือขอให้พิจารณา แล้วเปิดหนังสือทูลขอหย่าร้างจากอี๋ซื่ออ๋องออกมากาง พลันเรียกความโกลาหลวุ่นวายจากในวังและในราชสำนักขึ้นมาทันที
ทั้งสองฝ่ายชายหญิงต่างตั้งใจจะหย่าร้าง แต่การหย่าร้างสมรสพระราชทานนั้น ต้าเซวียนยังไม่เคยมีตัวอย่างมาก่อน ยามนี้พอเริ่มขึ้น ความน่าเกรงขามของราชวงศ์จะเหลืออยู่ได้อย่างไร และการแต่งงานครานี้ก็เป็นพระประสงค์ของไทฮองไทเฮาที่เสนอขึ้นมาเอง เรียกได้ว่าเป็นพยานในการแต่งงานครานี้ ย่อมยิ่งคัดค้านอย่างเด็ดขาดแน่นอน
เดิมทีคิดจะรอให้อี๋ซื่ออ๋องเข้าเมืองหลวงก่อน โน้มน้าวเกลี้ยกล่อมกันภายในก็พอ ไม่ใช่ว่าในราชวงศ์จะไม่มีสามีภรรยาโวยวายจะหย่าร้างกัน แต่สุดท้ายต่างถูกภายในยับยั้งเอาไว้ได้
คิดไม่ถึงว่าที่เจียงเป่ยไม่มีการเคลื่อนไหวใด
หลายผ่านไปจึงมีจดหมายมารายงาน อี๋ซื่ออ๋องบอกว่า ตอนนั้นยามที่ตนพาขบวนออกจากเมืองหลวง ฝ่าบาททรงตรัสว่าแต่นี้ไป หากไม่ได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระองค์ เขาก็ไม่อาจกลับเมืองหลวงได้ ยามนี้จึงไม่กล้ามา ไม่เช่นนั้นแล้วจะเป็นการฝ่าฝืนพระราชโองการ
หลังจากจดหมายส่งเข้าวังไป บรรดาคนในวังลือกันให้ทั่ว ฝ่าบาทที่กำลังตรวจฎีกาอยู่กริ้วจนโยนพู่กันทิ้ง ยิ้มเยาะว่า “บรรพบุรุษมันเถิด ยามนี้รู้จักฟังคำเราแล้วรึ”
ข้าหลวงในวัง ณ ที่นั้นไม่กล้าหายใจแรง มิน่าฝ่าบาทจึงกริ้ว อี๋ซื่ออ๋องไม่ใช่กำลังจงใจทำหรอกหรือ
ฮองเฮาที่คอยฝนหมึกให้ได้ยินก็หัวเราะออกมาเช่นกัน “ท่านอ๋องนี่ด่าคนไม่เป็นเสียจริง ด่าคนทั้งทีก็ด่าตัวเองรวมไปด้วย”
บรรพบุรุษของอี๋ซื่ออ๋องไม่ใช่บรรพบุรุษของฝ่าบาทด้วยหรือไร
ประโยคนี้มาขัดตาทัพไว้ ฝ่าบาทได้ยินพระพักตร์ก็เปรมปรีดิ์ขึ้น ลูบท้องนูนโตของสตรีข้างกาย สั่งให้ขันทีหยิบพู่กันมาให้
ที่แท้ฮองเฮาก็เป็นเครื่องดับโทสะของฝ่าบาทมาตลอดนี่เอง ตั้งแต่ตั้งครรภ์ที่สาม ก็ถูกเหยาย่วนพั่นวินิจฉัยว่าครรภ์นี้เป็นองค์หญิง อารมณ์ฝ่าบาทดีขึ้นทุกวัน นี่จึงทำให้บรรดาคนรับใช้ในวังเบาใจลง
ในขณะที่รอให้ฝ่าบาทออกราชโองการเรียกตัวอี๋ซื่ออ๋องกลับเมืองหลวง ชายแดนเหนือก็เกิดความวุ่นวายขึ้น เกิดข้อพิพาทแตกแยกของเหมิงหนูที่ชายแดนขึ้นอีกแล้ว กระทั่งเฉินจ้าวยังไม่อยู่ที่เมืองหลวงต่อ รีบกลับไปด้วยความรวดเร็ว เพื่อไม่ให้ลุกลามมาอวี้หลง ผู้บัญชาการแห่งเจียงเป่ยจึงยิ่งไม่อาจห่างจากตำแหน่งเฝ้ารักษาการณ์ตามอำเภอใจได้ จำต้องรอให้สงบมั่นคงลงแล้ว ค่อยกลับเมืองหลวง
เหตุวุ่นวายเช่นนี้ในแดนเหนือมีมากมาย จัดการไม่ได้ในวันสองวันอยู่แล้ว เรื่องในบ้านไหนเลยจะสำคัญเท่าเรื่องของแผ่นดิน ที่จะยืดเยื้อออกไปได้
เจี่ยไทเฮาส่งจูซุ่นไปตำหนักไท่เฟยเชิญเฉินกุ้ยเหรินให้มาหา เฉินไท่เฟยโน้มน้าวปลอบใจคนที่บ้านเดิมอย่างเฉินจื่อหลิงไม่ให้ใจร้อนวู่วาม เฉินจื่อหลิงไม่ได้เอ่ยคำใด เฉินไท่เฟยจึงร้องห่มร้องไห้จนน้ำท่วมวัดจินซาน เฉินจื่อหลิงได้แต่ถอนหายใจ ทุกอย่างจึงต้องรออี๋ซื่ออ๋องมาเมืองหลวงก่อนค่อยว่ากัน อย่างไรเสียนางคนเดียวก็หย่าร้างไม่ได้อยู่แล้ว
แต่นั้นมา เฉินจื่อหลิงก็อ้างว่าเยี่ยมญาติ พักอยู่ที่บ้านเดิมในเมืองหลวง บางครั้งก็ถูกเรียกเข้าวัง อยู่เป็นฮองเฮาในนามของสตรีชั้นสูงในราชวงศ์อย่างพระชายาซื่ออ๋อง พักระยะสั้นอยู่สองสามวัน ไปๆ มาๆ เวลาสองเดือนก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับสายน้ำแล้ว