ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 286.1 ตอนพิเศษ ชาติกำเนิดขององค์ชายสาม มีรดูยามตั้งครรภ์ (1)
- Home
- ยอดหญิงอันดับหนึ่ง
- ตอนที่ 286.1 ตอนพิเศษ ชาติกำเนิดขององค์ชายสาม มีรดูยามตั้งครรภ์ (1)
ฤดูหนาวของเยี่ยจิงได้ผ่านพ้นไป
กิ่งหลิ่วยาวเรียว หญ้าเขียวขจีเกิดใหม่ เพียงคืนเดียวทั่วทั้งแผ่นดินก็อบอุ่นขึ้น
ณ สวนไป่ฮุ่ยที่อยู่ไม่ไกลจากตำหนักท้ายของตำหนักฝูชิง พฤกษานานาพันธุ์ออกดอกตูมแตกกิ่งก้านกันแล้ว
ทอดมองไปท่ามกลางหมอกจางๆ ในยามเช้าตรู่ ให้ความรู้สึกนุ่มนวลอ่อนโยน ชมพูอ่อนนุ่ม
เมื่อสามเดือนก่อน ฝ่าบาทให้กรมโยธาและนายช่างจัดสวนของวังหลวงร่วมแรงกันจัดสวนไป่ฮุ่ยใกล้ๆ ตำหนักฮองเฮาขึ้น
หนึ่งเพื่อให้ฮองเฮาคลอดครรภ์นี้แล้วสามารถชื่นชมสวนดอกไม้ให้เปรมปรีดิ์ เพลิดเพลินกับพฤกษาพืชพันธุ์ สองก็เพื่อให้ฮองเฮาสามารถเรียนรู้ทักษะเล็กๆ น้อยๆ ได้
วันหนึ่ง วาโยงดงามตะวันสดใส ลมวสันต์มอมเมาให้คนหลงใหล ค่อนคืนหลังฝนพรำลมโชย พัดเอาดอกตูมที่เพิ่งจะแตกหน่อบนกิ่งก้านให้ร่วงโรยลงมาไม่น้อย ทางเดินเล็กๆ ในสวนประดับด้วยดอกไม้รายล้อม
สตรีออกเรือนสองนางในชุดวังหลวงกำลังเดินอยู่บนทางเดินเล็กๆ ปูด้วยหินท่ามกลางนางกำนัลห้อมล้อม นางหนึ่งอายุราวๆ ยี่สิบในอาภรณ์สีชาดปักลาย ดวงหน้างดงามราวกับหยก ผมเกล้ามวยทรงกลมดุจเมฆา บนศีรษะปักปิ่นเฉียงลายหงส์ร้อยปี อาภรณ์เนื้อดีบริเวณท้องถูกดันนูนสูง ดูแล้วตั้งครรภ์ได้หลายเดือนไม่น้อยแล้ว ดวงหน้าเนื่องจากตั้งครรภ์ได้หกเดือนจึงอวบอิ่มแดงระเรื่อชุ่มชื้น มีกลิ่นอายคนตั้งครรภ์เต็มเปี่ยม ยิ่งเสริมให้งดงามขึ้นไม่น้อย
สตรีข้างกายอีกคนสวมกระโปรงของวังหลวงสีเหลืองอ่อน การแต่งตัวดูร่ำรวยสวยงามเช่นกัน แม้ผมเผ้าและอาภรณ์จะเหมือนฮูหยินน้อยที่ออกเรือนแล้ว ทว่าใบหน้ารูปไข่กลับอ่อนช้อยน่ารักเป็นพิเศษ เทียบกับสตรีชั้นสูงข้างกายแล้วดูอ่อนเยาว์กว่าเล็กน้อย ยามนี้กำลังพยุงสตรีชั้นสูงที่กำลังมีครรภ์อย่างแน่นหนา หากแต่เห็นได้ชัดว่าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ดวงหน้างามไร้สง่าราศี
ทอดมองไกลออกไป ดอกไม้ร่วงโรยเคียงเคล้าคนงาม ราวกับอยู่ในภาพวาด ทำให้คนมองเจริญตาเจริญใจ คนสวนทั้งกลุ่มมองกันเสียจนหยุดงานตัดแต่งกิ่งในมือทอดมองกันออกไปไกล
จนกระทั่งทั้งสองเดินมาใกล้ บรรดาคนสวนจึงได้พากันก้มหน้าไม่มองเพราะไม่เหมาะสม แล้วคุกเข่าลง “ถวายคำนับฮองเฮาเหนียงเหนียง”
ฉิงเสวี่ยตาไว ขมวดคิ้วตำหนิว่า “รู้ทั้งรู้ว่าเหนียงเหนียงทรงมีครรภ์ ยังไม่เก็บกรรไกรกันไปอีก”
ความเชื่อในหมู่ชาวบ้านที่ไม่ได้เป็นลายลักษณ์อักษรเชื่อกันว่าสตรีมีครรภ์ไม่อาจใกล้กรรไกรได้ นานวันเข้า แพร่หลายเข้ามาในวัง ทารกในครรภ์ทุกครรภ์ในวังหลวงมีค่าสูงยิ่ง แน่นอนว่าทำเอายิ่งเคร่งเครียดกันกว่าในหมู่ชาวบ้านเสียอีก
บรรดาคนสวนเป็นนายช่างมีฝีมือที่เพิ่งจะเรียกเข้าวังมาจากแต่ละที่ในปีนี้เอง แม้จะถวายชีวิตรับใช้ราชวงศ์ แต่ยามปกติทุกวันทุกคืนล้วนทำงานอยู่ในสวนแต่ละแห่ง มีดอกไม้เป็นมิตร มีต้นไม้เป็นสหาย นอกจากองครักษ์ราชตระเวนไปมาแล้ว ก็ไม่เห็นบุคคลสำคัญเท่าใดนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเชื้อพระวงศ์เลย
ถูกนางกำนัลข้างกายฮองเฮาตำหนิ แต่ละคนไม่รู้ว่าจะตอบกลับกันอย่างไรดี ตัวสั่นงันงกราวกับกระด้งฝัดข้าว
ฉิงเสวี่ยเพียงตำหนิออกไปโดยไม่ทันคิด แต่กลับทำเอาบรรดาคนสวนตกใจจนขวัญกระเจิง อวิ๋นหว่านชิ่นจึงยิ้มเอ่ยว่า “ฉิงเสวี่ยก็แค่เสียงดังไปหน่อย ไม่ได้ด่าว่าหรอก พวกเจ้าอย่าได้คิดว่านางปากจัดป่าเถื่อน ยามปกติยังคงอ่อนโยนยิ่งนัก”
คำพูดนี้ทำให้บรรยากาศพลันผ่อนคลายลงมา
ทุกคนต่างแย้มยิ้มกันออกมา
รู้ดีว่าเหนียงเหนียงเข้าอกเข้าใจผู้อื่นจึงไม่ได้รู้สึกอะไรมาก บรรดาคนสวนเข้าวังมาได้ไม่นาน ทั้งยังไม่เคยสัมผัสกับเชื้อพระวงศ์มาก่อน แต่ไม่เคยนึกเลยว่าเหนียงเหนียงจะไม่ถือตัวเข้าถึงได้เช่นนี้
สตรีท่าทางงดงามเพริศแพร้วราวกับเทพธิดาเบื้องหน้านี้เป็นใครน่ะหรือ
เป็นสตรีของโอรสสวรรค์น่ะสิ
แม้ว่าภรรยาของพวกเขาที่บ้านเกิดเมืองนอน อาศัยผลผลิตอันน้อยนิดของสามีทำตัวหยิ่งผยองลำพองตน ทว่าสตรีเบื้องหน้านี้มีความสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อกับผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินที่สุด ท่าทางร่าเริงสดชื่นยิ่งให้ความรู้สึกราวกับสายลมวสันต์พัดโชยมา
พวกเขาพากันค้อมกายลงคุกเข่าโขกศีรษะคำนับ
“เหนียงเหนียงทรงมีเมตตา ทรงเป็นฮองเฮาผู้มีคุณธรรมแห่งยุค จะต้องได้รับความรักอันยิ่งใหญ่จากสวรรค์ประทานพรให้โชคดี คลอดโอรสมังกรได้อย่างราบรื่นเป็นแน่”
ฮองเฮาผู้มีคุณธรรมแห่งยุคอย่างนั้นหรือ
นางไม่เคยใส่ใจสมัญญานามนี้มาก่อนเลย
สมัญญานามนี้ยิ่งใหญ่เกินไป
หลังจากได้กลับชาติมาเกิดใหม่ตอนอายุสิบสี่ นิสัยสันดานก็หยาบคายแล้ว นางรับไว้ไม่ได้จริงๆ
แต่งตั้งฮองเฮาได้เพียงไม่กี่เดือนเอง อย่ามองว่าเปลี่ยนแค่คำเรียกไปเท่านั้น ยามนี้นางรู้สึกอึดอัดขึ้นมาแล้ว
แต่ชาวเมืองต่างเรียกกันเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็รับฟังไว้ชั่วคราวก่อนแล้วกัน
นางโบกแขนเสื้อ ชูซย่าพลันกระจ่างแจ้ง ให้บรรดาคนสวนที่พากันคุกเข่าอยู่เป็นแถวต่างแยกย้ายกันออกไป
พอหันหน้ามา อวิ๋นหว่านชิ่นก็เห็นสหายข้างกายยังคงมีท่าทางไม่มีความสุข เมื่อครู่เพิ่งจะโดนรบกวนไป มือที่พยุงตนจึงไหลลื่นผละออก ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังกลุ้มอกกลุ้มใจคิดอะไรอยู่ รองเท้าปักลายหงส์ขยับเดินไปด้านนอกสองสามก้าวอย่างอดไม่ได้ เขย่งเท้าเด็ดดอกแพร์ที่เพิ่งจะบานแรกแย้มมาดอกหนึ่ง ทัดข้างหูให้นาง เอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “แพร์ยิ้มคนไม่ยิ้ม ทำเอาแพร์ที่แย้มบานสุดชีวิตก่อนเวลาต้องผิดหวังแล้ว”
สตรีนางนั้นจึงได้หลุดจากภวังค์อันกลัดกลุ้มใจออกมา แย้มยิ้มลูบดอกแพร์บนศีรษะ นางยกมือขึ้น “คนเขายังจะบอกว่าเป็นฮองเฮาผู้มีคุณธรรมแห่งยุคอีก ฮองเฮาผู้ว่างงานแห่งยุคสิไม่ว่า”
การกระทำนี้ ต่อให้เป็นยามอยู่กันแค่ส่วนตัว ต่อให้เป็นสหายคนสนิทยิ่งของฮองเฮาก็เกินขอบเขตไปอยู่ดี
ทว่าสาวใช้คนสนิทข้างกายกลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะต่างรู้จักนิสัยแม่นางสกุลเฉินผู้นี้ดี
อวิ๋นหว่านชิ่นแย้มยิ้ม “โอ้ ที่แท้เมื่อครู่ฮูหยินซื่ออ๋องก็ไม่ได้เหม่อ ได้ยินเข้าแล้วหรือนี่”
สตรีนางนั้นคือฮูหยินของซื่ออ๋องอย่างเฉินจื่อหลิงที่เป็นสหายคนสนิทของฮองเฮาตั้งแต่เยาว์วัย ติดตามพี่ชายกลับเมืองหลวงมาเมื่อไม่กี่เดือนก่อน
บอกคนนอกว่ามาอยู่ระยะสั้นๆ อยู่ไปอยู่มากลายเป็นอยู่ยาวเสียแล้ว
ชูซย่ามองแม่นางเฉินแล้วก็อดจะทอดถอนใจออกมาไม่ได้
สตรีแต่งงานจากบ้านไปไกลกลับมาพักอยู่บ้านเดิมระยะยาวนั้นมีอยู่สองเหตุผล ไม่บิดาตายกลับมาร่วมงานศพก็สามีตายกลับบ้านมาพักฟื้น
ยามนี้ สกุลเฉินไม่มีผู้อาวุโสตายจากไป อี๋ซื่ออ๋องก็ยังอยู่ดีมีสุขอยู่ที่ชายแดนเหนือ ไม่ใช่เหตุผลในสองข้อนั้นเลย เช่นนั้นก็ยากจะเลี่ยงที่จะทำให้คนเกิดความสงสัยขึ้นและนินทาครหากันเพิ่มได้
เฉินจื่อหลิงกลับทำเหมือนคนหูหนวก ทำเป็นไม่ได้ยิน ยังคงเข้าๆ ออกๆ ระหว่างจวนแม่ทัพกับวังหลวงอยู่ทุกวี่วัน
ดูอย่างตระกูลนักรบอย่างสกุลเฉินทั้งตระกูล ล้วนเป็นคนใจกว้างโอนอ่อนผ่อนตาม รักใคร่ตามใจลูกสาวจนเสียคนแล้ว โดยเฉพาะแม่ทัพอาวุโสเฉิน แรกเริ่มเห็นหลานสาวถูกเฉินจ้าวพากลับมา ปากด่าทอเสียยกใหญ่ พอนึกไปถึงว่านางได้รับความไม่เป็นธรรมอยู่ที่เจียงเป่ย กลับไม่ได้มีความคิดที่จะไล่นางกลับไปบ้านสามี เอ่ยด้วยท่าทีเคร่งขรึมว่า ‘อยากอยู่ก็อยู่ สกุลเฉินของข้าไม่เหมือนคนอื่น ลูกสาวก็ไม่ใช่สินค้าที่พอไร้สามีแล้วฟ้าจะถล่มดินจะทลาย’
เฉินจื่อหลิงเพิ่งจะจากไป อี๋ซื่ออ๋องที่อยู่แดนเหนือก็ดันติดพันกับการรบอันดุเดือดถ่วงรั้งให้อยู่ อยากจะมารับก็คงหาเวลาว่างมาไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ แม่นางเฉินไม่พักอยู่ที่เมืองหลวงชั่วคราวจึงยาก
เฉินจื่อหลิงได้ยินคำว่า ‘ฮูหยินซื่ออ๋อง’ แล้วรอยยิ้มก็พลันเหือดหาย “ชิ่นเอ๋อร์ หากเจ้ายังเอ่ยชื่อนั้นขึ้นมาอีก ข้าจะไม่เข้าวังมาอีกแล้ว”
เด็กสาวร่าเริงคนหนึ่งทำท่าทางโกรธงอน
อวิ๋นหว่านชิ่นจริงจังขึ้นมา “ได้ ไม่พูดเรื่องนั้นแล้ว พูดเรื่องพี่ชายเจ้าดีกว่า”
เฉินจื่อหลิงคิ้วกระตุก “ที่อวี้หลงเป็นอย่างไรบ้าง”
เมื่อเดือนก่อน เฉินจ้าวส่งนางกลับเมืองหลวงแล้วก็ได้รับรายงานทางการทหารว่าแดนเหนือถูกข้าศึกโจมตี จึงต้องรีบร้อนกลับไป
“เมื่อวานข้าไปห้องทรงงานดูท่านอ๋องตรวจฎีกามา ทหารของเจียงเป่ยกับอวี้หลงต้านเหมิงหนูทั้งสองด้านรับทหารกลับค่ายมาเป็นส่วนใหญ่แล้ว คาดว่าสถานการณ์ทางแดนเหนือจะสงบลงแล้วล่ะ” อวิ๋นหว่านชิ่นไม่รีบไม่ร้อน เอ่ยบอกอย่างเนิบช้า
เฉินจื่อหลิงพรูลมหายใจ เช่นนั้นก็ดีแล้ว แต่กลับขมวดคิ้วมุ่นโดยไม่มีสาเหตุขึ้นอีก จำต้องยอมรับว่า ไม่ว่าคนผู้นั้นนิสัยส่วนตัวจะแย่เพียงใด แต่เรื่องสู้รบกลับยอดเยี่ยม
อีกทั้งแม่ทัพเฉินแห่งอวี้หลงอย่างพี่ชายนางก็ไม่กังวลกับการรุกรานจากศัตรูทางเหนือ ในขณะนั้นเอง นางได้ยินเสียงชิ่นเอ๋อร์ลอยมาว่า “ในเมื่อสภาพการณ์สงบลงแล้ว ข้าให้ฝ่าบาทส่งจดหมายไปเรียกตัวเขามาเมืองหลวงดีหรือไม่”
เฉินจื่อหลิงกัดฟันแน่น “ไม่ต้องหรอก ชิ่นเอ๋อร์”
“จะไม่ต้องได้อย่างไร” อวิ๋นหว่านชิ่นหรี่ตาลง “เดี๋ยวแยกเดี๋ยวอยู่ อย่างไรเสียก็ต้องเผชิญหน้ากันพูดคุยต่อหน้า ไม่อาจหยุดชะงักต่อไปเช่นนี้ได้ ยามนี้เจ้าทำเช่นนี้นับว่าเป็นอะไรได้ พูดให้ฟังยากหน่อย ดูแล้วอิสระเสรี แต่ก็ยังมีสถานะของฮูหยินซื่ออ๋องอยู่ ถูกเขาพันธนาการไว้ ต่อให้ตอนเกิดจะไม่ใช่คนที่จวนอี๋ซื่ออ๋อง แต่ตอนตายก็ยังต้องกลบฝังที่สุสานบรรพบุรุษบ้านเขาอยู่ดี”
เฉินจื่อหลิงเงียบงันไปพักหนึ่ง จึงเอ่ยว่า “หากเขายินดีจะมาก็คงมาตั้งนานแล้ว อย่าว่าแต่เรื่องสงครามติดพันอะไรนั่นเลย อย่าอ้างเรื่องฝ่าบาทออกราชโองการไม่ให้เขาเข้าเมืองหลวงเลย…ทั้งหมดล้วนเป็นการผายลมทั้งนั้น หากตั้งใจจริง ต่อให้ตัวคนไม่ได้มาเอง ส่งจดหมายมาสักฉบับจะไปยากอะไร ต่อให้ก่อนหน้านี้เขาติดพันเรื่องการทหาร ปลีกตัวมาไม่ได้ ไม่มีกะจิตกะใจมาสนใจเรื่องราวในบ้าน แต่ยามนี้เล่า เจ้าก็บอกเหมือนกันว่าสงครามชายแดนไม่ได้ตึงเครียดแล้ว หากคิดจะมาก็เร่งรุดย่นระยะเวลาจากสองคืนเหลือคืนเดียวควบม้าเร็วเพิ่มบังเหียนมาได้ ยังต้องให้ท่านอ๋องเรียกตัวกลับมาเองด้วยหรือ”
อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังจะเอ่ยต่อ แต่นางพลิกมือเด็ดเกสรดอกท้อที่เดินผ่านมากิ่งหนึ่ง “ที่เจ้าพูดมา ไม่ได้ทำให้ทิวทัศน์ยามวสันต์ต้องผิดหวังหรอก”