ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 286.2 ตอนพิเศษ ชาติกำเนิดขององค์ชายสาม มีรดูยามตั้งครรภ์ (2)
- Home
- ยอดหญิงอันดับหนึ่ง
- ตอนที่ 286.2 ตอนพิเศษ ชาติกำเนิดขององค์ชายสาม มีรดูยามตั้งครรภ์ (2)
วสันตฤดูมาเยือน ดวงตะวันอบอุ่นขึ้นทุกวัน
อีกไม่นานก็จะถึงเทศหยวนเซียว[1]แล้ว และเป็นวันคล้ายวันประสูติของสู่อ๋อง ภายในวังจึงวุ่นอยู่กับการเตรียมงาน
อวิ๋นหว่านชิ่นอยากจะจัดการทุกอย่างเอง แต่จนใจที่ร่างกายค่อยๆ หนักอึ้งขึ้น อีกทั้งอายุครรภ์กับอาการง่วงเพลียในฤดูใบไม้ผลิก็เกิดขึ้นพร้อมกัน เกียจคร้านอยากจะนอนอย่างเดียว เรื่องส่วนใหญ่จึงยกให้ชูซย่า ฉิงเสวี่ย และเจินจูพานางกำนัลไปจัดการ ส่วนตัวเองทำเพียงสั่งการเท่านั้น
ทว่าแค่ออกปากสั่งการอย่างเดียว ก็ยังคงเหนื่อยอ่อน ตกค่ำก็มามีรดูอยู่ที่ตำหนักฝูชิงอีก
ช่าวลือไปทั่วทั้งวังหลวง ว่ากันว่าตอนนั้นฝ่าบาทตกใจจนพระพักตร์ซีดเผือด สั่งการให้หมอหลวงกลับเข้าวังมาในคืนนั้น กระวนกระวายใจจนเดินกลับไปกลับมาอยู่หลังฉากกั้นทั้งคืน ฉลองพระบาทแทบจะทะลุอยู่รอมร่อ โชคดีที่ไม่ได้เป็นอะไรมาก หมอหลวงออกยาบำรุงครรภ์ให้ สั่งการให้หมอหญิงดูแลเหนียงเหนียงนอนพักรักษาตัว
ตั้งแต่นั้นมา ทุกคนในตำหนักฝูชิงต่างเห็นกันอย่างชัดเจนว่าเหนียงเหนียงแทบจะถูกท่านอ๋องกักบริเวณไว้ ต่อมาอาการมั่นคงแล้ว เหนียงเหนียงอยากจะออกไปเดินเล่น ก็ยังโดนท่านอ๋องห้ามไว้ สุดท้ายอึดอัดด้วยความจนใจ ท่านอ๋องจึงได้ฝืนเรียกตัวฮูหยินซื่ออ๋องเข้าวังมาพักอยู่ที่ตำหนักด้านข้างของตำหนักฝูชิงสองสามวัน เพื่ออยู่เป็นเพื่อนเหนียงเหนียง
อวิ๋นหว่านชิ่นมีเฉินจื่อหลิงอยู่เป็นเพื่อน จึงเรียกได้ว่าอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย ยามปกติอยู่ว่างๆ ไม่ล้อมเตาต้มชาพูดคุยกับเฉินจื่อหลิง ก็ให้แม่นมไปอุ้มเจินเอ๋อร์มาหยอกเล่น
แม้บัวลอยน้อยจะสี่ห้าขวบแล้ว แต่ก็ยังคงติดมารดาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เวลาหลังจากการเรียนก็จะวิ่งมาตำหนักฝูชิง พอทราบว่าเฉินจื่อหลิงกลับมาจากแดนเหนือ บางครั้งก็จะตอแยเฉินจื่อหลิงถามเรื่องดินฟ้าอากาศและประเพณีนิยมของชายแดน พอเกิดความสนใจขึ้นก็ให้เฉินจื่อหลิงสอนเตะสอนต่อย
เฉินจื่อหลิงเห็นสู่อ๋องเป็นหลานชายแท้ๆ ไม่เคยมองว่าเป็นองค์ชายเลยสักครั้ง นางจึงใจดี ทำให้เขามีชีวิตชีวากระฉับกระเฉง สอนศิลปะการป้องกันตัวง่ายๆ ให้กับเขาอย่างสนุกสนาน
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นลูกชายชอบก็ไม่ได้ไปห้ามอะไรมากมาย ปล่อยให้ทั้งคู่ได้เล่นไป
แต่นิสัยของซวินเอ๋อร์กับเจินเอ๋อร์นั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว จึงเกิดความกลุ้มใจขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้อายุจะยังน้อย แต่ก็มองออกได้
ซวินเอ๋อร์อยู่ไม่นิ่ง อยู่ไม่สุข กระตือรือร้นชอบเข้าสังคมมากเกินไป ด้วยนิสัยที่ไม่ชอบถูกควบคุม ภายหน้าจึงยากจะเลี่ยงที่จะชอบศิลปะการต่อสู้
เจินเอ๋อร์ดันเป็นคนเงียบๆ เกินไป ไม่ชอบพูดชอบจา เกิดมารูปงามบอบบาง
หากสองพี่น้องสามารถสมดุลกันได้ก็คงดี
บ่ายวันนี้ อวิ๋นหว่านชิ่นตื่นจากงีบกลางวันแล้ว อยากจะเรียกเฉินจื่อหลิงให้มาหา ฉิงเสวี่ยเข้ามาเอ่ยหยอกล้อว่า “เหนียงเหนียงช้าไปแล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินซื่ออ๋องถูกสู่อ๋องแย่งตัวไปแล้ว เมื่อครึ่งเค่อ[2]ที่แล้วทรงมาหา พอมาถึงได้ยินว่าเหนียงเหนียงยังนอนกลางวันอยู่ สู่อ๋องก็ลากฮูหยินซื่ออ๋องไปฝึกการต่อสู้ทางด้านหลังแล้วเจ้าค่ะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นชินเสียแล้ว จึงไม่ได้ใส่ใจ รู้ดีว่าทั้งสองต่างนิสัยเด็กกันอยู่ ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย การฝึกรอบนี้คงจะอีกยาว นางนั่งลงหน้ากระจกจัดผมเผ้าเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อย
เพิ่งจะลุกขึ้นกลับได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านนอก ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ครู่ต่อมา บัวลอยน้อยในชุดคลุมมังกรผ้าไหมเนื้อดีสีม่วงทองก็วิ่งเข้ามาหาด้วยความปรีดาตื่นเต้น หนึ่งปีกว่ามานี้ รูปร่างสูงขึ้นเรื่อยๆ น้ำหนักก็มากกว่าเด็กวัยเดียวกันไม่น้อย
ยามนี้เหงื่อออกอยากจะหาความเย็น จึงพับแขนเสื้อขึ้นหลายนิ้ว ใบหน้ารูปงามขาวสะอาด ดวงตาเป็นประกาย มีกลิ่นอายองอาจห้าวหาญและสูงส่งตั้งแต่อายุยังน้อย
คิ้วกับตายิ่งเหมือนคนผู้หนึ่งถึงเจ็ดแปดส่วน
คนผู้นี้ไม่ใช่เสด็จแม่ และไม่ใช่เสด็จพ่อ
แต่เป็นหนิงซีฮ่องเต้
หลายปีก่อนยังดูไม่ออก ครึ่งปีมานี้รูปหน้าอ่อนนุ่มได้คมชัดขึ้น ยิ่งเหมือนเสด็จปู่มากขึ้นเรื่อยๆ
กระทั่งเจี่ยไทเฮายังสะทกสะท้อนใจอยู่ทุกครา จมูกเอย ตาเอย ลักษณะท่าทางเอย ถอดแบบมาจากหนิงซีฮ่องเต้ตอนยังเยาว์ทุกกระเบียดนิ้ว
หากหนิงซีฮ่องเต้ยังอยู่ ให้ทั้งคู่มายืนด้วยกันท่ามกลางคนมากมาย บอกว่าทั้งคู่ไม่มีสายเลือดเดียวกัน ใครจะเชื่อ
สะท้อนใจเสร็จ เจี่ยไทเฮาก็เช็ดน้ำตา นึกไปถึงว่าปีนั้นด่าทอองค์ชายสามว่าเป็นมารหัวขนของชาวเป่ยเหริน ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของฮ่องเต้พระองค์ก่อน!
ยามนี้ ใบหน้าดวงนี้ของสู่อ๋องเป็นหลักฐานมีชีวิตที่จะตบหน้าขุนนางเหล่านั้นที่มีความเคลือบแคลงใจได้อย่างแรง!
หากองค์ชายสามไม่ใช่โอรสมังกรที่แท้จริงของฮ่องเต้พระองค์ก่อน จะสามารถมีลูกชายที่ใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับฮ่องเต้พระองค์ก่อนได้อย่างไร
ทุกคราที่คิดมาถึงตรงนี้ อวิ๋นหว่านชิ่นก็จะสบายใจขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ
อันที่จริงนางแอบกังวลใจลึกๆ เกี่ยวกับชาติกำเนิดขององค์ชายสาม แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาจะเป็นคนที่ไหน อย่างไรเสียก็เป็นสวามีนางอยู่ดี
เพียงแต่บางคนมีเจตนาแอบแฝง เกิดอยากจะก่อความวุ่นวาย เอาเรื่องนี้มาโจมตีได้ง่าย
หลายปีมานี้ แม้เขาจะครองอยู่ตำแหน่งสูงสุดอย่างมีเกียรติ แต่พวกขุนนางเก่าที่จิตใจเอนเอียงไปทางไท่จื่อในสมัยก่อนก็ยังคงเคลือบแคลงใจกับเรื่องนี้อยู่
ยามนี้ เรียกได้ว่าลบล้างมลทินไปได้แล้ว
แต่นี้ต่อไป จะไม่มีใครเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีก
พระสนมเอกเฮ่อเหลียนกระทั่งถึงห้วงสุดท้ายก่อนตายยังไม่แน่ใจว่าองค์ชายสามเป็นลูกของใครกันแน่ ยามนี้ได้รู้แล้วก็คงจะสบายใจอยู่ในปรโลกแล้วกระมัง
ขณะนี้ ฉินเสวี่ยกำลังรีบเข้าไปเช็ดเหงื่อให้บัวลอยน้อย แล้วกำชับสั่งไปว่า “ไปเอาชามา”
อวิ๋นหว่านชิ่นดึงความคิดกลับมา เดินเข้าไปหา ดึงแขนเสื้อที่ซวินเอ๋อร์ถลกขึ้นลงมาพลางยิ้มบางเอ่ยว่า “ฝึกการต่อสู้กับฮูหยินซื่ออ๋องอยู่มิใช่หรือ เหตุใดวันนี้จึงได้เลิกไวนัก”
บัวลอยน้อยยู่ปาก “ท่านน้าเฉินไม่สบาย ข้าจึงเข้ามาก่อน”
“ไม่สบายรึ” อวิ๋นหว่านชิ่นสบตากับฉิงเสวี่ย
“ขอรับ ฝึกไปได้ครึ่งทาง จู่ๆ ก็เป็นลมแดดไป บอกว่าจะกลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อน!” บัวลอยน้อยทำกระบวนท่าสองกระบวนที่ตนเพิ่งจะเรียนมาในวันนี้ให้ดู
ฉิงเสวี่ยเอ่ยเตือนว่า “สู่อ๋อง ลมหนาวเพิ่งจะผ่านไปเอง เรายังสวมเสื้อกันหนาวกันอยู่เลย ซ้ำนี่ก็มิใช่วันคาบเกี่ยวระหว่างฤดูร้อนกับฤดูใบไม้ร่วง ไหนเลยจะเป็นลมแดดได้”
“นางบอกว่านางเวียนหัว ซ้ำยังวิ่งไปอ้วกมาสองครั้งด้วย ข้าจำได้ว่านางกำนัลข้างกายเวลาอากาศร้อนมากๆ ก็เป็นเช่นนี้ ไม่ได้เป็นลมแดดแล้วจะเป็นอะไรได้อีก!” บัวลอยน้อยรับน้ำชามาดื่มอึกๆ
……
เทศกาลหยวนเซียวมาถึง วันคล้ายวันประสูติของสู่อ๋องก็มาถึงด้วยเช่นกัน
สู่อ๋องอายุยังน้อย ยังไม่ถึงวัยสร้างจวน พักอยู่ในวังชั้นในมาตลอด งานเลี้ยงในวันนั้นจึงจัดขึ้นที่ตำหนักเจียสี่ที่ใช้รับรองแขกและจัดงานเลี้ยงภายในวัง
อรุณเบิกฟ้า เฉินจื่อหลิงตื่นแต่เช้า ล้างหน้าหวีผมให้เรียบร้อย ขันทีน้อยที่ตำหนักข้างของตำหนักฝูชิงก็เดินนำนางเข้าไป
องค์ชายสามกับชิ่นเอ๋อร์ต่างไม่ชอบความคึกคักมากพิธี ใช้ข้ออ้างว่าสู่อ๋องยังเด็กเกินไป ฟุ่มเฟือยเกินไปเกรงว่าสวรรค์จะอิจฉาแล้วให้คนผู้นั้นตกอับ จึงไม่ได้จัดใหญ่โตเชิญขุนนางมามากมาย งานเลี้ยงสู่อ๋องจึงเป็นเหมือนงานเลี้ยงเล็กๆ ในครอบครัว
นอกจากไทฮองไทเฮา เยี่ยนอ๋อง ครอบครัวทัวป๋าจวิ้น อวิ๋นจวิ้นอ๋อง นายอำเภอชุยแล้ว มีเพียงพระญาติไม่กี่คนที่รุ่นราวคราวเดียวกับองค์ชายสามพาครอบครัวเข้าวังมาถวายพระพร
เมื่องานเริ่ม ทุกคนต่างพากันมอบของขวัญให้
เจ้านายแต่ละตำหนัก แต่ละเรือน แต่ละสวนของวังก็ส่งของขวัญมาให้ด้วยเช่นกัน
เมื่อหลายวันก่อน บรรดาคนสวนของสวนไป่ฮุ่ยที่ฝ่าบาทเพิ่งจะซ่อมแซมให้เหนียงเหนียงก็นำไม้มงคลมากมายมาปลูกไว้ในกระถาง
กระถางถูกคนสวนสี่นายร่วมแรงกันยกขาสี่มุมเข้ามาในตำแหน่ง หัวหน้าผู้ดูแลที่อายุค่อนข้างมากนายหนึ่งพาคนสวนมาคุกเข่าลง “ขอสู่อ๋องทรงผาสุกตลอดกาล”
อวิ๋นหว่านชิ่นจำได้ว่าพวกคนสวนเหล่านี้ล้วนเป็นคนสวนกลุ่มใหม่ที่วังหลวงเรียกเข้ามาทั้งสิ้น คราก่อนไปเดินเล่นในสวนไป่ฮุ่ยกับเฉินจื่อหลิงได้พบพวกเขาเข้า ครานั้นพวกเขาตกอกตกใจกันเพราะถูกฉิงเสวี่ยตำหนิไปยกหนึ่งด้วยเรื่องกรรไกร
เห็นกระถางตัดแต่งได้ประณีตวิจิตร ก็รู้ว่าใช้กำลังกายกำลังใจและวันเวลากันไม่น้อย อวิ๋นหว่านชิ่นจึงสั่งฉีไหวเอินให้ประทานรางวัลแก่พวกเขา
หลังจากแต่ละตำหนัก แต่ละเรือนต่างมอบของขวัญกันแล้ว นำของขวัญทั้งหมดไปวางไว้ข้างที่นั่งในตำหนักเหมือนดังที่แล้วมาเพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง ทุกคนก็สามารถทานไปด้วยชื่นชมไปด้วยได้
ในตอนท้าย เจี่ยไทเฮาก็สั่งให้หม่าซื่อมอบกุญแจอายุยืนลายกิเลนทองเจือหยกเป็นของขวัญให้แก่สู่อ๋อง ยิ้มตรัสว่า “คนแก่อย่างข้า มอบของขวัญก็ไม่มีอะไรที่แปลกใหม่จะให้ หวังเพียงว่าหลานจะสามารถอายุมั่นขวัญยืนได้ก็พอใจมากแล้ว สู่อ๋องอย่าได้รังเกียจของขวัญเก่าๆ ของข้าเลย”
บัวลอยน้อยประสานมือ สาวเท้าเดินไปยังด้านล่างขั้นบันไดสีแดงหน้าพระที่นั่ง เป็นเด็กดีราวกับซาลาเปานุ่มนิ่ม คุกเข่าเอ่ยว่า “หลานชอบยิ่งนัก จะรังเกียจได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ของขวัญนั้นมีเพียงน้ำใจมากน้อย หาใช่อยู่ที่ราคาแพงถูกหรือเก่าใหม่ใดๆ เสด็จย่าอย่าได้กังวลเลยพ่ะย่ะค่ะ”
———————————–
[1] เทศกาลหยวนเซียว วันที่ 15 เดือนอ้ายในปฏิทินจันทรคติ เป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวงครั้งแรกในรอบปีหลังผ่านพ้นตรุษจีน สำหรับคืนนี้ ชาวจีนจะต้องรับประทานบัวลอย กันในครอบครัวและออกไปชมโคมไฟที่จะนำมาประดับประดากันอย่างสวยงาม ดังนั้น จึงมีการเรียกเทศกาลนี้อีกอย่างว่า เทศกาลโคมไฟ
[2] เค่อ (หน่วยเวลา) 15 นาที