ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 287.1 ซื่ออ๋องกลับเมืองหลวง จื่อหลิงคุ้มกัน (1)
ทุกคนต่างเห็นกันอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ประโยคนี้ทำเอาเจี่ยไทเฮาปรีดามาก ในรอยเหี่ยวย่นนั้นล้วนแฝงไว้ด้วยความรักใคร่เอ็นดูต่อสู่อ๋อง
บัวลอยน้อยเดิมทีก็เป็นหลานที่ไทฮองไทเฮาทรงรักใคร่เอ็นดูที่สุดมาตั้งแต่เล็กจนถึงยามนี้ ต่อให้ต่อมาจะมีองค์ชายรองอย่างเจินเอ๋อร์ ก็ไม่ได้แบ่งความรักความโปรดปรานของไทฮองไทเฮาไปได้เลย
อวิ๋นหว่านชิ่นหลุดขำออกมา กระซิบเสียงเบากับคนบางคนที่อยู่ข้างกายว่า “ข้ายังนึกว่าซวินเอ๋อร์ทำเป็นแต่ใช้ดาบใช้หอกเสียอีก ที่แท้ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ยังรู้จักพูดอยู่ไม่น้อย”
“ใช้ดาบใช้หอกแล้วอย่างไรเล่า ต่ำช้าไร้อารยะมากหรือ จึงได้กล้าดูถูกชาติพันธุ์มังกรของเรา” ดวงตาดำขลับของคนบางคนเหลือบมองมา โอบท้องโตๆ ของสตรีข้างกายเอาไว้เบาๆ โดยไม่มีใครสังเกตเห็น นิ้วมือลูบไล้อยู่ตรงแผ่นหลังบางของนางเบาๆ ราวกับไม่พอใจ
“คนบ้ากาม” นางจับมือของซย่าโหวซื่อถิงเอาไว้ หมายจะปัดออกไป
เขากลับเลิกคิ้วขึ้น ทั้งยังเกิดอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นด้วย กุมมือนางเอาไว้โดยรอบทันที เพื่อเป็นการ ‘ลงโทษ’ ที่นางด่าว่าฮ่องเต้
การกระทำเล็กๆ น้อยๆ นี้ คนเบื้องล่างบันไดไม่เห็น แต่เจี่ยไทเฮาอยู่ใกล้ที่สุด กลับเห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง อดหลุดหัวเราะและส่ายหน้าไม่ได้
สวามีชายาคู่นี้ นานวันเข้าก็ยิ่งเด็กลง ไม่ว่าที่ไหนหรือเมื่อใดล้วนไม่สนใจ แสดงความรักให้คนอื่นดูไปเสียหมด
แต่ละคนมอบของขวัญเรียบร้อย ฉีไหวเอินก็สั่งให้ขันทีรินสุราให้แต่ละโต๊ะ
บรรยากาศในงานเลี้ยงคึกครื้นเป็นธรรมชาติ ราวกับครอบครัวของสามัญชน
พอถึงคราวโต๊ะของเฉินจื่อหลิง ขันทีรินเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางยกจอกสุราขึ้นจิบคำหนึ่ง สีหน้ากลับเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ในจอกสุรานี้เป็นน้ำเปล่า ไม่ใช่สุราหมักชั้นเยี่ยมเหมือนของคนอื่น
นางมองไปทางอวิ๋นหว่านชิ่นอย่างอดไม่ได้ อวิ๋นหว่านชิ่นก็กำลังมองมาพอดีเช่นกัน จึงได้สบตากับนางเข้า
เห็นเฉินจื่อหลิงมือถือจอกสุรามองตนด้วยความสงสัย อวิ๋นหว่านชิ่นขนตาขยับไหว ตั้งครรภ์อยู่ไหนเลยจะดื่มสุราได้ หากนางไม่รู้เข้าเสียก่อน เกรงว่าเด็กสาวนางนี้ก็คงจะไม่ได้สนใจเป็นแน่
เฉินจื่อหลิงพลันกระจ่างแจ้ง ชิ่นเอ๋อร์ตั้งใจให้ขันทีเปลี่ยนเป็นน้ำเปล่าให้ตน
หรือชิ่นเอ๋อร์…จะรู้เรื่องของตนแล้ว
นางปิดบังเอาไว้มิดชิดแท้ๆ ไม่ได้บอกใครสักคน ชิ่นเอ๋อร์รู้ได้อย่างไร
แต่ยามนี้นางพักอยู่ที่ตำหนักด้านข้างของตำหนักฝูชิง ทุกๆ วันไม่เจอชิ่นเอ๋อร์ตอนเช้า ก็เจอกันตอนค่ำ ซ้ำชิ่นเอ๋อร์ก็เป็นคนที่เคยตั้งครรภ์มาก่อน ถูกนางพบเข้า ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร
เฉินจื่อหลิงสูดหายใจลึก กระอักกระอ่วนใจเพราะมีคนรู้เรื่องในใจเข้า แก้มนางแดงก่ำขึ้นโดยพลัน
เฉินจื่อหลิงชั่วชีวิตนี้นางมีเพียงสถานการณ์เดียวที่ทำให้หน้าแดงนั่นคือ…ยามฝึกการต่อสู้แดดแรงเกินไป ตากแดดแรงมากไป
คิดไม่ถึงว่าครานี้ควบคุมไม่ดีจนเกิดปัญหาจนได้
มือนางเลื่อนลงลูบหน้าท้องแบนราบเบาๆ กัดริมฝีปากอย่างไม่อาจหักห้ามใจ
ตอนที่พบว่าร่างกายผิดปกติไป นางก็ไม่มั่นใจ อย่างไรเสียก็เป็นครั้งแรกในชีวิต เมื่อก่อนก็ไม่เคยลองสักครั้ง และไม่มีประสบการณ์มาก่อน
ไม่กล้าไปสำนักแพทย์หลวง และไม่กล้าไปถามคนตำหนักฝูชิง หากถามออกไป คนที่ฉลาดเฉลียวสักหน่อยต้องรู้ได้แน่ จากนั้นก็จะเอาไปบอกชิ่นเอ๋อร์
กลับจากบ้านสามีมายังบ้านเดิม ผลสุดท้ายพบว่าตั้งท้อง นางไม่อาจขายขี้หน้าได้
ที่สำคัญที่สุดก็คือ เกรงว่าท่านปู่จะไล่นางกลับเจียงเป่ยเพราะเด็กคนนี้
กลับเจียงเป่ยอย่างนั้นรึ ถุย
นางจงใจเดินอ้อมตำหนักหลายแห่ง ไปยังตำหนักแห่งหนึ่งที่อยู่ริมสุดในวังชั้นใน จับมอมอชรานางหนึ่งที่ปากหนักไม่ออกจากตำหนักมาตลอดทั้งปีมา บอกเล่าอาการของตัวเองให้ฟัง มอมอชราก็ยืนยันว่านางตั้งครรภ์แน่นอน
ตอนนั้นนางเกิดความรู้สึกราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางหัว ระหว่างทางที่กลับตำหนักฝูชิง ด่าซย่าโหวเจิ่นไปไม่ต่ำกว่าพันครั้ง
เฉินจื่อหลิงคิดพลางมือสั่นเทาไม่หยุด
จอกสุรากำไว้ไม่มั่น ตกลงบนโต๊ะเสียงดัง ‘ตุ้บ’ น้ำเปล่าสาดกระเด็น เปียกกระโปรงครึ่งท่อนของนาง
ความสนใจของแขกเหรื่อต่างหันมาทางนี้
“เร็วเข้า ยังไม่ไปเช็ดให้พระชายาซื่ออ๋องอีก” เจี่ยไทเฮารีบสั่งการ แล้วตรัสถามอย่างห่วงใยว่า “เป็นอะไรไปรึ เหตุใดสีหน้าพระชายาซื่ออ๋องจึงได้ซีดเซียวนัก ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
อี๋ซื่ออ๋องเป็นเสาหลักในชายแดน เฉินจื่อหลิงยามนี้พักอยู่ในวังหลวง เจี่ยไทเฮาย่อมต้องเอาใจใส่เป็นธรรมดา
“ไม่ได้ไม่สบายตรงไหนเพคะ ลำบากไทฮองไทเฮาทรงเป็นห่วงแล้ว ก็แค่ไม่ทันระวังทำจอกตกเท่านั้น ทำไทฮองไทเฮาตกพระทัยเข้าแล้วเพคะ” เฉินจื่อหลิงรีบเอ่ย รับผ้าสะอาดมาเช็ดชายกระโปรงครู่หนึ่ง แต่ก็ยังคงเปียกชื้นอยู่ กลัวว่าจะอุจาดสายตา จึงลุกขึ้นยืน ขอตัวลาไปจัดการรูปลักษณ์สักครู่
ซย่าโหวซื่อถิงมองอวิ๋นหว่านชิ่นแวบหนึ่ง “ดูท่าแล้วสหายสนิทของเจ้าจะจิตใจไม่สงบนัก”
“อีกเดี๋ยวก็สงบแล้วเจ้าค่ะ”
……
เฉินจื่อหลิงเปลี่ยนกระโปรงตัวใหม่ที่ตำหนักด้านข้างแล้วก็ใช้น้ำเย็นลูบหน้า ระงับจิตใจที่พลุ่งพล่านลง จึงค่อยเดินไปตำหนักเจียสี่
ไปๆ มาๆ เสียเวลาไปเกือบจะหนึ่งก้านธูป
ในขณะที่กำลังคิดว่าจะเข้าไปขออภัยโทษกับไทฮองไทเฮาอย่างไรดี เพิ่งเข้าตำหนักหลักมากลับพบว่ามีบางอย่างแปลกไป
ลานพิธีนอกตำหนักเจียสี่มีคนเพิ่มขึ้นมาจำนวนหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าจะไม่ได้พกดาบพกมีดติดตัวมา แต่การแต่งตัวคล้ายนักรบมากทีเดียว
ดูเหมือนจะมาจากนอกวัง…
เพิ่งจะเข้าวังมาหรือ
ดวงใจนางพลันกระตุก มีลางสังหรณ์ประหลาดที่ยากจะอธิบายบางอย่างเกิดขึ้น นางรีบเดินเข้าไปสองสามก้าว มาถึงระเบียง เข้าใกล้ประตูตำหนัก ได้ยินเพียงเสียงอันคุ้นเคยลอยมาจากในตำหนักว่า “กระหม่อมมาสาย ขอไทฮองไทเฮา ฝ่าบาท ฮองเฮาโปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
แต่ละถ้อยละคำทะลุเข้าดวงใจ
เฉินจื่อหลิงชะงักฝีเท้า
พอนางเงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าด้านข้างของอี๋ซื่ออ๋องอยู่ฝั่งตรงข้ามบันไดหน้าพระที่นั่งพอดี ชุดผ้าไหมสีม่วงเข้ม เกล้าผมด้วยปิ่นหยกยาว ไม่รู้ว่าเพราะการศึกที่ด่านชายแดนเมื่อหลายเดือนก่อนหรือไม่ จึงได้ผ่ายผอมลงไปไม่น้อย แต่เห็นได้ชัดว่าหน้าตาดุดันบ้าระห่ำขึ้นเรื่อยๆ แม้คนตรงหน้าจะเป็นกษัตริย์ แต่สุนัขก็ยังแก้นิสัยกินมูลไปไม่ได้อยู่ดี ท่าทางเย่อหยิ่งเหยียดผู้อื่นเหมือนเป็นเจ้าโลก ไร้ซึ่งการเก็บงำไว้ภายในแม้แต่น้อย
เขามาร่วมงานวันคล้ายวันประสูติของสู่อ๋องที่เมืองหลวงได้อย่างไร