ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 287.2 ซื่ออ๋องกลับเมืองหลวง จื่อหลิงคุ้มกัน (2)
จู่ๆ นางก็ไม่รู้ว่าควรเข้าไปดีหรือไม่ รู้เพียงว่าแผ่นหลังมีเหงื่อผุดซึม มือกำเป็นหมัดแน่น
นางกลัวว่าตัวเองจะคุมตัวเองไม่อยู่ ทะเลาะกับบุรุษผู้นี้ในตำหนักเข้า
แต่นางก็ไม่ใส่ใจ อย่างไรเสียตนก็แอบออกจากบ้านสามีกลับมาบ้านเดิม โวยวายจะหย่าร้างอยู่แล้ว ลือกันไปทั่วทั้งเชื้อพระวงศ์แล้วด้วย
ทว่าชื่อเสียงของสกุลเฉินกับหน้าของท่านปู่ คงได้อับอายขายหน้าหนักจริงๆ แน่แล้ว
“จื่อหลิง เจ้ากลับมาแล้ว” เสียงอวิ๋นหว่านชิ่นลอยมา
ฉีไหวเอินรีบเข้าไปต้อนรับ “พระชายาซื่ออ๋องกลับมาแล้ว”
เฉินจื่อหลิงอยากจะหนีก็หนีไม่ได้แล้ว แบกหน้าหนาๆ เดินเข้าไป เพิ่งจะเดินได้ไม่กี่ก้าวก็รู้สึกถึงดวงตาอันเร่าร้อนคู่หนึ่งมองมา คล้ายว่าสามารถทิ่มแทงร่างนางให้เป็นรูได้
อี๋ซื่ออ๋องมองนางอย่างเย็นชา ไม่พบหน้าหลายเดือน นางกลับอวบอิ่มสมบูรณ์ขึ้น ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าออกจากเจียงเป่ยมา นางมีความสุขมากเพียงใด
มือทั้งห้ากำเป็นหมัดอย่างยากจะห้าม เกิดเสียงลั่นกร๊อบแกร๊บของกระดูก
ภายในตำหนัก สายตาของเชื้อพระวงศ์ทุกท่านต่างตกลงบนร่างของคนทั้งคู่ พวกเขาย่อมรู้เรื่องที่สองคนนี้โวยวายจะหย่าร้างแน่นอนอยู่แล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยขึ้นว่า “จื่อหลิง ข้ากับฝ่าบาทเชิญอี๋ซื่ออ๋องมาร่วมงานเลี้ยงวันเกิดสู่อ๋องด้วย มัวแต่ยุ่งจึงลืมบอกเจ้า”
ลืมอย่างนั้นรึ จะลืมได้อย่างไร เห็นอยู่ชัดๆ ว่าจงใจ
เฉินจื่อหลิงแอบยิ้มขื่นในใจ มองอวิ๋นหว่านชิ่นแวบหนึ่ง เหตุใดจึงไม่บอกกันสักคำนะ
อวิ๋นหว่านชิ่นเล่นกับนางมาตั้งแต่เด็กจนโต ไหนเลยจะไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ คงจะโทษว่าตนไม่บอกสักคำแน่
บอกสักคำอย่างนั้นรึ หากบอกนางไปแต่แรก เกรงว่านางคงคิดหาวิธีอ้างป่วยแกล้งไม่สบายหลบอยู่ในตำหนักข้างไม่ยอมออกมาแน่
นางกะพริบตาปริบๆ “ยังไม่เพิ่มเก้าอี้ข้างพระชายาซื่ออ๋องให้อี๋ซื่ออ๋องได้นั่งอีก”
ขันทียกเก้าอี้เข้ามา อี๋ซื่ออ๋องประสานมือขอบพระทัย เดินไปหา กำลังจะถลกชุดคลุมขึ้น เฉินจื่อหลิงกลับเดินไปหาอวิ๋นหว่านชิ่น “เหนียงเหนียงร่างกายไม่ค่อยจะสะดวก ข้าช่วยรินสุราให้เหนียงเหนียงดีกว่า”
ร่างอี๋ซื่ออ๋องชะงักค้างกลางคัน สีหน้าทะมึนขึ้น
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ดีว่าเฉินจื่อหลิงกำลังจงใจหลบหน้าอี๋ซื่ออ๋องอยู่ จึงทำอะไรไม่ได้ “ได้”
เฉินจื่อหลิงมองบุรุษด้านหลังอย่างเกียจคร้านแวบหนึ่ง แล้วเดินตรงไปข้างบัลลังก์หงส์
“เจ้าดูเขาสิ หน้าแทบจะกลายเป็นก้อนหินในห้องส้วมอยู่แล้ว เดินทางมาไกลพันลี้ กระทั่งคำพูดสักคำเจ้าก็ไม่อยากพูดกับเขาจริงๆ หรือ” อวิ๋นหว่านชิ่นใช้ศอกกระทุ้งเฉินจื่อหลิงเบาๆ
ไม่พูดยังพอทำเนา พอพูดแล้วเฉินจื่อหลิงก็ทนไม่ไหวขึ้นมา “เจ้าก็ไม่บอกข้าก่อนสักคำเลย”
“เอาล่ะ รอข้าบอกกับเจ้า แล้วก็รอเจ้าตอบตกลงกับข้า เด็กในท้องเจ้าคงโตเท่าสู่อ๋องกันพอดี”
เฉินจื่อหลิงนิ่งอึ้ง เป็นดังที่คาด ชิ่นเอ๋อร์รู้แล้ว นางกังวลใจขึ้น “เจ้าไม่ได้บอกเขากระมัง”
“ไม่ได้บอก เรื่องนี้เจ้าต้องบอกกับเขาเอง ข้ามันคนนอกบอกไปจะมีอะไร”
เฉินจื่อหลิงพรูลมออกมา เช่นนั้นก็ดี
หากรู้ว่าตัวเองมีลูก บุรุษผู้นี้คงยิ่งคิดว่าตนไปไหนไม่รอด คงจะลำพองจนตายเลยกระมัง
ที่นั่งด้านล่างบันไดหน้าพระที่นั่ง อี๋ซื่ออ๋องนั่งอยู่ผู้เดียวอย่างเดียวดาย ดื่มสุราจอกแล้วจอกเล่าลงไปด้วยความหงุดหงิด
ไปนั่งกับฮองเฮาอย่างนั้นรึ
ดีนี่ มีปัญญาก็กอดขาฮองเฮาเอาไว้ชั่วชีวิตอย่าได้ปล่อยไปเลยสิ
ขอแค่ปล่อยมือออก เขาก็มีปัญญาลากนางกลับมาเหมือนกัน
นางเพิ่งจะหนีไปกับเฉินจ้าว เขาเดือดดาลจนคับอก เดิมทีไม่ได้คิดจะมาหานาง อยากจะหนีก็หนีไปเถิด
การศึกชายแดนก็ติดพัน จึงเสียเวลาเขาไปหลายเดือน ยิ่งไม่มีเวลาว่างไปสนใจเรื่องอื่นใดเลย
การศึกเพิ่งจะหยุดพัก ไม่รู้ว่ามันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อใด เขากลับจิตใจไม่สงบ
ไม่ว่าอย่างไรก็กินไม่ได้ นอนไม่หลับ กระวนกระวายใจอยู่ไม่สุข
ร่างกายเขาแข็งแรงดีมาตลอด อย่าว่าแต่ป่วยเลย ต่อให้จามก็ยังไม่มีให้ได้ยินออกมา
ผู้ดูแลซ่งเชิญหมอที่มีชื่อเสียงของเจียงเป่ยมาดูอาการให้เขา ก็วินิจฉัยอะไรออกมาไม่ได้
สุดท้าย หมอคนหนึ่งอับจนหนทาง ทั้งยังกลัวซื่ออ๋องจะลงโทษ เอ่ยบอกอย่างหวาดกลัวว่าเป็นไข้ใจ
ตอนนั้นหน้าเขาพลันเปลี่ยน กระโดดลงจากเจียงตีหมอคนนั้นจนร้องโอดร้องโอยวิ่งหนีไป
ไข้ใจอย่างนั้นรึ แม่ทัพพิชิตสงครามผู้หนึ่งเป็นไข้ใจอย่างนั้นรึ พูดออกไปคนได้ขำกันฟันร่วง
……
เวลาล่วงเลยมามากแล้ว งานเลี้ยงใกล้จะเลิกราเต็มที
เห็นสีพระพักตร์เจี่ยไทเฮาอ่อนล้า ซย่าโหวซื่อถิงจึงให้ขันทีกลับตำหนักไปเป็นเพื่อนไทฮองไทเฮาด้วย
ทุกคนพากันลุกขึ้น น้อมส่งเจี่ยไทเฮาเสด็จกลับ
ฉีไหวเอินสั่งการออกไปอีกว่า ให้แต่ละตำหนักยกของขวัญที่ถวายเมื่อครู่ออกจากตำหนักไปไว้ยังตำหนักที่สู่อ๋องพำนัก
คนแต่ละตำหนักเข้ามาขนของขวัญออกไป
ภายในตำหนักยามนี้จึงหละหลวมที่สุด
เฉินจื่อหลิงคิดเพียงแต่จะรีบกลับตำหนักโดยเร็ว นางลุกขึ้นเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าส่งเหนียงเหนียงกลับตำหนักฝูชิงดีกว่า”
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นนางคร้านจะเผชิญหน้ากับอี๋ซื่ออ๋อง จึงจำต้องตามใจนาง ถูกนางพยุงลงบันไดไป
ซย่าโหวซื่อถิงก็ลงบันไดตามไปเช่นกัน ถือโอกาสโบกมือให้เงียบๆ บ่งบอกว่าขันทีไม่ต้องตามมา
งานเลี้ยงของสู่อ๋องวันนี้ องค์ชายสามหยุดงานอย่างหาได้ยากยิ่ง ไม่ต้องว่าราชกิจ ฉีไหวเอินรู้ดีว่าองค์ชายสามอยากจะกลับตำหนักฝูชิงเป็นเพื่อนเหนียงเหนียง และชินกับการที่พระองค์ไม่ชอบให้ใครติดตามมาด้วยตั้งนานแล้ว จึงสั่งให้บรรดาขันทีถอยห่างไป
ขณะที่ทุกคนยกของขวัญจากในตำหนักอยู่เห็นทั้งสามคนกลับไป ก็พากันหยุดมือ ก้มหน้าลงค้อมกายน้อมส่ง
มีเพียงคนเดียวที่แม้ว่าจะดูแล้วค้อมกายลงอย่างนอบน้อมเหมือนคนอื่นๆ แต่เงยหน้าขึ้นดวงตาทั้งสองข้างพินิจมองทั้งสามคนอยู่
ตกสู่สายตาอวิ๋นหว่านชิ่นเข้าพอดี คิ้วงามขมวดมุ่นยอ่างอดไม่ได้ คนผู้นั้นคือหนึ่งในคนสวนที่เพิ่งจะเข้ามาใหม่ในสวนไป่ฮุ่ย
ฝีเท้านางชะงัก มีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง เฉินจื่อหลิงที่กำลังพยุงนางอยู่สังเกตเห็นความผิดปกติของนางจึงหยุดฝีเท้าตามด้วย
ไม่รอให้อวิ๋นหว่านชิ่นมีปฏิกิริยาขึ้น คนสวนนายนั้นก็สาวเท้ายาวๆ เดินมาทางตนอย่างคาดไม่ถึง
ท่าทางรวดเร็วยิ่ง ชั่วพริบตาเดียว องครักษ์ที่อยู่ไกลออกไปโต้ตอบไม่ทัน
เพราะเดินด้วยความรวดเร็ว แขนเสื้อกว้างของคนสวนโดนลมพัดปลิวพลิ้ว บริเวณฝ่ามือมีแสงสีเงินประกายวาบ เผยมุมอาวุธมีคมออกมา
เป้าหมายก็คือซย่าโหวซื่อถิง
อวิ๋นหว่านชิ่นเหงื่อเย็นผุดซึม ยกแขนชี้ไปทางคนสวน “มีมือสังหาร! จับเอาไว้!”
ภายในตำหนักโกลาหลวุ่นวายไปหมด องครักษ์พุ่งเข้ามาราวกับสัตว์ร้ายออกจากกรง
เยี่ยนอ๋องและทัวป๋าจวิ้นอยู่ใกล้ซย่าโหวซื่อถิงมากหน่อย จึงรีบล้อมคุ้มกันข้างกายเขาไว้
คนสวนที่ถือมีดรู้ตัวว่าล้มเหลว แววตาประกายเหี้ยมโหด ราวกับกระจ่างแจ้งว่าไม่อาจเข้าใกล้ซย่าโหวซื่อถิงได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตายอยู่ดี ทันใดนั้นจึงเกิดคลุ้มคลั่งขึ้น ยกมีดที่ซ่อนในแขนเสื้อขึ้น โบกสะบัดอย่างเหิมเกริม ฟาดฟันท่ามกลางความโกลาหลในตำหนัก
เฉินจื่อหลิงกลัวว่าอวิ๋นหว่านชิ่นจะได้รับบาดเจ็บ จึงพลิกตัวมากอดนางไว้โดยไม่คิดสักนิด คุ้มกันเอาไว้อย่างแน่นหนา ทว่ารู้สึกถึงลมเย็นยะเยือกวาบผ่านแผ่นหลัง!
พร้อมกันกับความรู้สึกเจ็บปวดรุนแรง อาวุธคมกริบและเย็นเยียบแทงทะลุเนื้อเข้ามา ปักอยู่ในร่างของนางอย่างแรง