ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 290.1 ตอนพิเศษ ตอนจบ (1)
น้ำฝนกระหน่ำซัดเมืองหลวง โปรยปรายลงมาหลายวันไม่ขาดสาย
บรรยากาศที่ห้องฮูหยินก็อึมครึมมาหลายวันเช่นกัน
ตั้งแต่วันนั้นที่ได้รู้ว่าโหยวซื่อมาจวนซื่ออ๋องในเมืองหลวง เฉินจื่อหลิงก็หันหลังกลับเข้าห้อง ไม่ออกไปไหนอีกเลย ตงเอ๋อร์ขวางก็ขวางไม่อยู่
ครานี้โหยวซื่อมาอย่างกะทันหัน ว่ากันว่ารักษาบำรุงครรภ์ที่เจียงเป่ย ฝันเห็นงูเหลือมพันเถาอ่อน ในฝันเหงื่อไหลชุ่ม พลิกไปมายากจะตื่น ทุกครั้งต้องมีคนใช้มีดคมมาฟันให้ขาดจึงจะสามารถตื่นจากฝันร้ายได้ ให้พระเกจิที่วัดดังในตัวเมืองทำนายฝันจากครรภ์นี้ พระตอบว่าเถาอ่อนเป็นสัญลักษณ์ของทารกเกิดใหม่ งูเหลือมเป็นสัญลักษณ์ของสัตว์ร้าย งูเหลือมพันเถาอ่อนเป็นลางไม่ดี กลัวว่าเจ้าของบ้านไม่อยู่ พลังหยางในบ้านอ่อนแรง คนในฝันใช้มีดคมมาฟันตัด เห็นได้ชัดว่าผู้ที่มีหยางรุ่งโรจน์สามารถช่วยได้ อี๋ซื่ออ๋องเป็นนักรบ ซ้ำยังเป็นบิดาของครรภ์นี้ หากได้อยู่ด้วยกัน ก็จะแก้ฝันนี้ได้
โหยวซื่อไม่พูดพร่ำทำเพลง พาป้าเหลียวที่เป็นสาวใช้และคนรับใช้จำนวนหนึ่งนั่งรถม้าลงจากเหนือไปเมืองหลวงแล้วค่อยรายงาน ดูจากสถานการณ์ยามนี้ คือเตรียมตัวคลอดที่เมืองหลวงแล้ว ตงเอ๋อร์ได้ยินแล้วก็เดือดดาลยกใหญ่ ไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือว่าแกล้งทำเป็นฝันร้าย กลัวว่าซื่ออ๋องจะคืนดีกับคุณหนูจึงจงใจมาตอแยซื่ออ๋อง เรียกความสนใจจากซื่ออ๋อง อ้างว่ามีครรภ์ ซื่ออ๋องจะได้ไม่ด่าว่านาง ดูท่าแล้วนางจะมั่นใจในจุดนี้นัก!
จวนซื่ออ๋องในยามราตรี น้ำฝนหยดลงจากหลังคา โปรยปรายเสียจนใจคนเปียกปอน
ตงเอ๋อร์ส่งผ้าร้อนๆ ไปให้เฉินจื่อหลิง “คืนนี้ให้ซื่ออ๋องมาหาดีหรือไม่เจ้าคะ”
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กว่าจะโอนอ่อนให้กันได้ เนื่องจากการมาถึงของโหยวซื่อ จึงกลายเป็นคู่อาฆาต ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่คุ้ม
พอโหยวซื่อมา คุณหนูก็ไม่ได้สนใจอะไรซื่ออ๋องอีกเลย
กว่าซื่ออ๋องจะมานอนที่เรือนหลักสักคืนก็ยากยิ่ง ซ้ำยังวิ่งเผ่นแนบย้ายไปห้องหนังสือภายใต้สายตาเย็นชาของคุณหนูอีก
“อย่าเลย เขายุ่งอยู่ นอนห้องหนังสือสะดวกกว่า” เฉินจื่อหลิงใช้น้ำร้อนแช่มือ รับผ้ามาเช็ดแล้วถอดเสื้อผ้าอาบน้ำ
ยิ่งคลื่นสงบมากเท่าใด ตงเอ๋อร์ก็ยิ่งไม่สบายใจเท่านั้น เข้าใจในความรู้สึกของคุณหนูดี
ใครจะทนมองอนุที่อุ้มท้องเลือดเนื้อเชื้อไขของสามีเดินทางรอนแรมมาเมืองหลวงเพื่อปรนนิบัติรับใช้สามีได้
ยิ่งไปกว่านั้นในท้องคุณหนูเองก็ยังมีอยู่อีกคน…
……
ณ เรือนตะวันตก
โหยวซื่อลูบท้องนูนโตพลางจิบรังนกอย่างมีความสุข
แม่บ้านเลี่ยวมองท่าทางสบายอกสบายใจของนางด้วยสีหน้าที่ค่อยๆ อึมครึมขึ้น โบกแขนเสื้ออย่างไร้เสียง บ่งบอกให้บรรดาสาวใช้ภายในห้องออกไป ปิดประตูลากม่านปิดลง แล้วเดินไปหา เอ่ยกดเสียงเบาว่า “โหยวซื่อมาเมืองหลวงได้หลายวันแล้ว พักผ่อนก็พักจนเพียงพอแล้ว จะเตรียมจัดการได้เมื่อใด”
ประโยคนี้ราวกับเปลวไฟ แผดเผาช้อนในมือโหยวซื่อให้ร้อนรุ่มเลื่อนลงจากมือ นางนั่งตัวตั้งตรง มองซ้ายมองขวาแล้วพึมพำอย่างหวาดผวาว่า “เรื่องใดรึ…”
แม่บ้านเลี่ยวเห็นนางแกล้งไม่รู้ไม่ชี้ สีหน้าก็ทะมึนขึ้นกว่าเดิม “จนถึงตอนนี้แล้วโหยวซื่อคงไม่ได้กำลังทำไขสือใส่ข้าหรอกกระมัง อย่าลืมเป้าหมายที่เจ้ามาเมืองหลวงครานี้สิ!”
โหยวซื่อเห็นแม่บ้านเลี่ยวพูดจาไม่เกรงอกเกรงใจต่อตนเลย จึงโกรธเคืองขึ้นมาเล็กน้อย อย่างไรเสียตนก็เป็นเหมือนฮูหยินของจวนซื่ออ๋อง ซ้ำยามนี้ยังตั้งท้องเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของจวนซื่ออ๋อง ทุกคนในจวนมีใครกล้าไม่เคารพนางด้วยหรือ ต่อให้เป็นภรรยาหลวงตำแหน่งนายหญิงผู้นั้น เห็นตนแล้วขัดหูขัดตายิ่ง ครานี้มาเจอตนเข้า ก็ทำได้เพียงขังตัวเองอยู่ในห้องคับอกคับใจ มาหาเรื่องหาราวอะไรกับตนไม่ได้ แม่บ้านเลี่ยวผู้นี้ ช่วยตนครั้งเดียวกลับคิดว่าตนเป็นสาวใช้ของนางจริงๆ อย่างนั้นรึ
นางแค่นเสียงออกมา น้ำเสียงเพิ่มความไม่พอใจ ลูบท้องอันล้ำค่าดั่งทองไปมา “เป้าหมายที่มาเมืองหลวงอย่างนั้นรึ ครานี้ข้ามาเมืองหลวงเพื่อพาลูกชายข้ามาพบซื่ออ๋อง”
แม่บ้านเลี่ยวเห็นว่านางมาถึงเมืองหลวงก็กลับคำจากหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่สนใจเรื่องที่ตนได้ตกลงไว้ก่อนที่จะมาเมืองหลวงเลยสักนิด สีหน้าแม่บ้านเลี่ยวจึงเห่อแดงด้วยโทสะ เสียงในลำคอแหบต่ำผิดแผกไปเนื่องจากกดเสียงต่ำลงมา “ใครกันเป็นคนช่วยเจ้าออกมาจากร้านซักผ้า ใครเป็นคนคิดวางแผนให้เจ้าตั้งครรภ์นี้ขึ้น ใครเป็นคนส่งเจ้าเข้าจวนซื่ออ๋องได้อีกครั้ง หากมิใช่ข้า เจ้าคงตายอยู่ที่ร้านซักผ้านานแล้ว ยังจะสามารถลูบครรภ์สูงส่งอยู่ดีมีสุขได้อยู่หรือ โหยวซื่อคงจะลืมบุญคุณไปแล้วกระมัง”
โหยวซื่อโกรธขึ้น เอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้าช่วยเจ้าไปครั้งหนึ่งแล้ว คราก่อนเหมิงหนูสามารถทำลายตลาดการค้าข้ามแดนของเจียงเป่ยได้ มิใช่ข้ารึที่เสี่ยงอันตรายแอบไปสืบวันเดินทางของซื่ออ๋อง มิฉะนั้นแล้วจากความน่าเกรงขามในการสงครามของซื่ออ๋อง เหมิงหนูจะสามารถรุกรานเข้ามาได้ง่ายๆ รึ เรื่องเช่นนี้ทำแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว หากทำอีกรอบถูกซื่ออ๋องพบเข้า ต่อให้ข้าตั้งครรภ์ราชวงศ์ซย่าโหวอีกสิบครรภ์ก็ต้องหัวหลุดจากบ่าอยู่ดี! หากรู้แต่แรกว่าเจ้าจะเป็น…ข้าคงไม่ให้เจ้าช่วยข้าหรอก เกิดถูกพบเข้า จะคิดว่าข้าอยู่ฝักฝ่ายเดียวกันกับเจ้า!”
“โหยวซื่อหมายความว่าจะใจแข็งไม่ช่วยข้าอย่างนั้นรึ หากเจ้าไม่ช่วยข้า ก็อย่ามาโทษว่าปากของคนใช้ชราอย่างข้ามันรั่ว เอ่ยคำพูดที่ไม่ควรเอ่ยก็แล้วกัน…” ดวงตาชั่วร้ายของแม่บ้านเลี่ยวตกลงบนท้องโตๆ ของโหยวซื่อเป็นประกายเย็นยะเยือก
โหยวซื่อแค่นหัวเราะ “นี่ข่มขู่ข้ารึ หากเจ้าพูดอะไรที่ไม่ควรจะพูดล่ะก็ ตัวตนของเจ้าก็จะถูกเปิดโปงเช่นกัน ถึงเวลานั้นพวกเราโดนจับได้จนแตกพ่าย เจอจุดจบไม่ดีแน่!”
“เจ้า…”
“ข้าจะพักแล้ว ไสหัวออกไป! อย่าได้เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอีก! หากเจ้าสงบเสงี่ยมเจียมตัวสักหน่อย ข้ายังสามารถเลี้ยงเจ้าไว้ข้างกายได้ ให้เจ้าเลี้ยงดูตัวเองยามชรา พอข้าคลอดลูกชายคนโตให้ซื่ออ๋อง ได้เลื่อนขั้นแล้ว ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อเจ้าไม่น้อย แต่ว่า หากเจ้ามาหาเรื่องน่ารำคาญให้ข้าต่อ ก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่เกรงใจ!”
แม่บ้านเลี่ยวกัดฟันแน่ แต่ก็จำต้องออกไปด้วยสีหน้าเหยเก
โหยวซื่อมองแผ่นหลังแม่บ้านเลี่ยว ทว่าคิ้วงามกลับขมวดมุ่น กังวลอยู่ในใจไม่น้อย สีหน้ายังไม่กลับคืนมา
สาวใช้เฒ่านางนี้ เลี้ยงไว้ข้างกายจะต้องนำหายนะมาให้สักวันแน่
ไม่ช้าก็เร็วหากเรื่องแดงขึ้น นางคงได้โดนลากไปด้วย!
ดูท่าแล้ว คงต้องหาโอกาสให้สาวใช้เฒ่านางนี้ปิดปากให้แน่นสนิทที่สุดเสียแล้ว
……
หลายวันต่อมา ในที่สุดฝนก็หยุดลงแล้ว ฟากฟ้าเห็นแสงรำไร
เฉินจื่อหลิงขลุกตัวอยู่แต่ในห้องทั้งวัน เมื่อใกล้จะเย็น ตงเอ๋อร์ก็เลิกม่านขึ้นเดินเข้ามาหา
เฉินจื่อหลิงคิดว่านางจะเกลี้กล่อมให้ตนออกไปเดินเล่นหรือไม่ก็ให้ซื่ออ๋องมาหา ในขณะที่กำลังจะโบกมือ กลับเห็นตงเอ๋อร์กระหืดกระหอบ สีหน้าแดงก่ำ ตื่นเต้นเหลือแสน “ฮองเฮาเหนียงเหนียงคลอดแล้วเจ้าค่ะ!”
เฉินจื่อหลิงตกตะลึง จากนั้นรอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมาหลายวันก็แย้มบานขึ้น
หลังจากมีโอรสถึงสองพระองค์แล้ว ในที่สุดอวิ๋นหว่านชิ่นก็ให้กำเนิดองค์หญิงน้อยออกมา
เพิ่งจะออกมาลืมตาดูโลกก็ถูกองค์ชายสามแต่งตั้งให้เป็นองค์หญิงทันที เนื่องเพราะเกิดยามสายัณแสงอาบย้อมเต็มฟากฟ้าหลังจากฝนตก จึงมีชื่อเล่นว่าหร่านเอ๋อร์
องค์หญิงประสูติ ไพร่ฟ้าร่วมยินดี นิรโทษกรรมแก่ใต้หล้า งดเก็บภาษีสามปี บรรดาขุนนางจัดงานเลี้ยงใหญ่เฉลิมฉลองสามวันสามคืน แล้วพระราชทานอาหารและสุราเลิศรสแก่ขุนนางทั้งหลาย
ยามนี้ ทุกครัวเรือนในเมืองหลวงต่างจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองร่วมยินดีไปกับฮ่องเต้ คึกคักเป็นพิเศษไม่แพ้ตอนปีใหม่
อาหารสุราพระราชทานสำหรับจวนซื่ออ๋องเป็นชูซย่าที่นำนางกำนัลมาส่งมอบให้ด้วยตัวเอง ถือโอกาสทำตามประสงค์ของเหนียงเหนียง มาเยี่ยมเฉินจื่อหลิงด้วยเลย
อวิ๋นหว่านชิ่นก็ได้ยินเรื่องที่โหยวซื่อมาเมืองหลวงแล้วเช่นกัน จึงเป็นห่วงเฉินจื่อหลิง กลัวว่านางจะอารมณ์บูดบึ้งอึดอัด จึงได้ให้ชูซย่าอ้างเรื่องส่งของพระราชทานมาหาที่จวนซื่ออ๋อง ถือโอกาสมาเยี่ยมนาง พูดคุยกับนางด้วย
ก่อนชูซย่าจะกลับได้ตั้งใจกำชับกับผู้ดูแลที่จวนซื่ออ๋องเป็นพิเศษ อากาศแจ่มใสอย่างหาได้ยากนัก พระชายาซื่ออ๋องร่างกายก็มั่นคงดีแล้ว และเกิดเรื่องน่ายินดีของราชวงศ์ขึ้นพอดี ก็จัดงานเลี้ยงเล็กๆ ที่เรือนท้ายเหมือนกับครัวเรือนอื่นๆ ด้วยดีกว่า ให้พระชายาซื่ออ๋องได้ผ่อนคลายอารมณ์เสียหน่อย
ผู้ดูแลเห็นคำสั่งจากฮองเฮาเหนียงเหนียง ก็รีบตอบรับทันที
ในวันนั้น บ่าวไพร่ในจวนซื่ออ๋องจึงเริ่มเข้าๆ ออกๆ ตระเตรียมงานเลี้ยง ทั้งยังส่งเทียบเชิญไปให้ฮูหยินสตรีชนชั้นสูงในเมืองหลวงไม่น้อยให้มาร่วมรื่นรมย์ในวันนั้น
อี๋ซื่ออ๋องเป็นปรมาจารย์ด่านชายแดน ทั้งยังเป็นคนดังในราชวงศ์ แต่ละครัวเรือนต่างประจบประแจงกันแทบจะไม่ทัน พากันรับเทียบแทนสตรีในบ้านของตัวเอง ปรึกษาหารือกันเรื่องวันเวลาเข้าร่วม
ในวันงาน เฉินจื่อหลิงยังคงซึมเซา ไม่มีความสนใจต่องานเลี้ยงเลยสักนิด แต่ก็รู้ดีว่าอวิ๋นหว่านชิ่นหวังดี ซ้ำตนก็เป็นพระชายาซื่ออ๋อง ไม่ไปร่วมงานจะดูไม่ดี จึงทำตัวให้มีชีวิตชีวา พาตงเอ๋อร์เดินไปเรือนท้าย
งานเลี้ยงของบรรดาสตรีจัดขึ้นที่สระบัวเรือนท้ายของจวนซื่ออ๋อง
อากาศดีขึ้นแล้ว ท้องฟ้าแจ่มใสกว้างใหญ่ไพศาล แสงตะวันอบอุ่น บรรดาฮูหยินและคุณหนูที่ถูกเชิญมาต่างมารออยู่ในงานเลี้ยงนานแล้ว พอเห็นเฉินจื่อหลิงมาก็รีบยิ้มพลางลุกขึ้นคำนับถามไถ่สารทุกข์สุขดิบทันที
เฉินจื่อหลิงวางเรื่องในใจเมื่อหลายวันมานี้เอาไว้ชั่วคราว ทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีต้อนรับแขกเหรื่ออย่างเป็นมิตร
ระหว่างหัวเราะพูดคุยกัน อารมณ์ก็ดีขึ้นเล็กน้อย ขณะนั้นเองก็มีเสียงรายงานของสาวใช้ดังขึ้นว่า “โหยวซื่อมาเจ้าค่ะ”
เสียงทุกคนพลันเงียบลง หันไปมองตามเสียง
ตงเอ๋อร์สีหน้าพลันเปลี่ยน
โหยวซื่อเป็นอนุในจวนซื่ออ๋อง และเป็นคนของจวนซื่ออ๋อง มาเข้าร่วมงานเลี้ยงของบรรดาสตรีเรือนท้ายก็นับว่าเป็นน้ำใจและมีเหตุผล
แต่คิดไม่ถึงว่านางจะหน้าด้านมาโดยที่ไม่ได้รับเชิญ
โหยวซื่อแบกท้องโตๆ โดยมีสาวใช้ช่วยพยุง เดินมาคำนับเฉินจื่อหลิงและบรรดาฮูหยินของขุนนาง ยิ้มงามเอ่ยว่า “หม่อมฉันทราบมาว่าวันนี้พระชายาซื่ออ๋องร่วมพบปะกับบรรดาฮูหยิน จึงตั้งใจนำสุราดอกกุ้ยฮวาของเจียงเป่ยมาเพิ่มสีสันด้วย ไม่ทราบว่ารบกวนทุกท่านหรือไม่”
เฉินจื่อหลิงกลับสีหน้าไร้อารมณ์ใดฉาบอยู่ “ในเมื่อมาแล้วก็ไปนั่งเถิด”