ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 290.4 ตอนพิเศษ ตอนจบ (4)
ระหว่างยื้อยุดกันไปมา ในที่สุดภายในห้องก็มีเสียงทุ้มต่ำไม่พอใจลอยมาว่า “มีธุระอะไร พูดมา!”
ตงเอ๋อร์รีบคุกเข่าลงตรงบันไดทันที “ซื่ออ๋อง คุณหนูอยากเชิญท่านให้ไปเยี่ยมนางที่สำนักพระราชวังเจ้าค่ะ!”
“หลักฐานทนโท่อยู่ตรงหน้า ข้าไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร ให้คนทั้งเมืองหลวงวิจารณ์ว่าข้าปกป้องคนผิดอย่างภรรยาหลวง ตั้งใจทำผิดกฎหมายบ้านเมืองเพราะเห็นแก่ภรรยาอย่างนั้นรึ” เสียงที่ตอบกลับมามีเพียงความเย็นชาดุจน้ำแข็ง
ตงเอ๋อร์กัดฟัน “แม้จะยังไม่มีหลักฐานในตอนนี้ ซื่ออ๋องก็สามารถไปเยี่ยมคุณหนูได้เช่นกันนะเจ้าคะ ให้คุณหนูได้รับการปลอบประโลมใจ!”
“ฆ่าคนควักลูกยังกล้าทำ ใจนางแข็งแกร่งยิ่ง จะต้องการการปลอบใจจากข้าไปไย”
ตงเอ๋อร์หน้าแดงเห่อ โมโหจนกำหมัด บุรุษภายในห้องเอ่ยขึ้นด้วยความรำคาญเต็มทน “พูดจบหรือยัง พูดจบแล้วก็ไสหัวไป”
หน้าประตูเรือนตะวันตก แม่บ้านเลี่ยวที่เฝ้าประตูพรูลมออกมา
องครักษ์สองนายกำลังจะหิ้วตงเอ๋อร์ออกไป ตงเอ๋อร์หมดหนทาง โพล่งขึ้นว่า “คุณหนูท้องเจ้าค่ะ!”
บรรยากาศราวกับหยุดชะงักไป
องครักษ์สองนายก็ตกตะลึงเช่นกัน มือที่ค้างอยู่กลางอากาศหมายจะจับตัวคนเหมือนจะจับก็ไม่ใช่ ไม่จับก็ไม่เชิง
เรื่องนี้ คุณหนูไม่ทันได้บอกมาตลอด แต่คิดไม่ถึงว่าจะเปิดโปงออกมาในเวลาเช่นนี้
ตงเอ๋อร์น้ำตาหลั่งไหลราวกับประตูกักน้ำที่ปิดไม่อยู่ “ตอนพักอยู่ที่วังก็รู้เข้าแล้ว เรื่องนี้เหนียงเหนียงก็ทรงทราบ กว่าซื่ออ๋องจะมาเมืองหลวง คุณหนูก็กลับจวนซื่ออ๋องแล้ว กำลังจะบอกไป โหยวซื่อก็มา แล้วก็เกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้น ซื่ออ๋องก็จะไม่ช่วยเหลือเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
เงียบงันไปพักใหญ่
บรรยากาศเคร่งเครียดราวกับธนูบนคันชัก
ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ จึงได้ยินเสียงเย็นเยียบราวกับธนูคมลอยมาจากในห้อง “นางมีลูก ก็ยังจะฆ่าลูกคนอื่นอีกหรือ สตรีอำมหิต”
แต่ละถ้อยแต่ละคำข่มความสั่นเอาไว้ ราวกับกำลังพยายามระงับโทสะอย่างสุดความสามารถ
คำสั่งบัญชาออกไป องครักษ์สองนายก็หิ้วตัวตงเอ๋อร์ที่ร้องไห้โวยวายไม่หยุดออกไปจากเรือนตะวันตก
หน้าประตู สาวใช้นางหนึ่งเห็นเหตุการณ์นี้กับตา สูดหายใจเข้าเบาๆ พึมพำว่า “ดูท่าแล้วครานี้ซื่ออ๋องจะหมดเยื่อใยต่อพระชายาซื่ออ๋องจริงๆ ปักใจคิดว่านางเป็นฆาตกรไปแล้ว”
แม่บ้านเลี่ยวมองตงเอ๋อร์ที่ถูกหิ้วตัวไป แล้วเหลือบมองประตูห้องที่เงียบสนิทไร้เสียงแวบหนึ่ง ใบหน้าที่ตึงเครียดมาหลายวันผ่อนคลายลงไม่น้อย
วันรุ่งขึ้น อี๋ซื่ออ๋องพักอยู่ที่เรือนตะวันตกของโหยวซื่อไม่ได้กลับห้องตัวเอง
สองวันผ่านไปไม่เหยียบออกจากจวนไปไหน กระทั่งข้าวก็ยังไม่ให้คนเอาเข้ามาให้
ภายในเรือนต่างลือกันว่า เกรงว่าที่ตงเอ๋อร์ร้องขอความเมตตาแทนพระชายซื่ออ๋องจะไปยั่วโทสะอี๋ซื่ออ๋องเข้า ยิ่งดึงอารมณ์เขาให้พลุ่งพล่าน จึงได้พักอยู่ที่เรือนตะวันตกไว้อาลัยให้โหยวซื่อ
……
สองวันต่อมา
เช้าตรู่นี้ เฉินจื่อหลิงกำลังสะลึมสะลือก็ถูกเสียงฝีเท้านอกคุกหลวงทำให้ตกใจตื่น
ท่ามกลางสติรางเลือน ร่างสูงใหญ่ของบุรุษปรากฏอยู่นอกซี่กรง
ด้านหลังมีคนรับใช้สองคนมาด้วย เป็นตงเอ๋อร์กับร่างชราอย่างแม่บ้านเลี่ยวอีกหนึ่งคน
“คุณหนู ซื่ออ๋องมาแล้วเจ้าค่ะ!” ตงเอ๋อร์เอยเรียกเบาๆ
แม่บ้านเลี่ยวแอบเงยหน้าขึ้น ท่ามกลางห้องขังอันมืดมิด ดวงตาฝ้าฟางทั้งสองข้างราวกับอินทรีย์ แอบมองพระชายซื่ออ๋องในคุกแวบหนึ่ง ในแววตามีประกายสายหนึ่งวาบผ่าน แล้วก้มหน้าลง
เฉินจื่อหลิงนอนคว่ำอยู่บนพื้น มองเขาอย่างเหม่อลอย
วันก่อนตงเอ๋อร์นำคำมาบอกว่าวันนั้นโน้มน้าวเขาให้มาสำนักพระราชวัง แต่ถูกหิ้วตัวออกไป เดิมทีนางคิดว่าเขาจะไม่มาแล้ว
ทว่า ต่อให้มาแล้ว สีหน้าของเขาก็ไร้ซึ่งความอบอุ่นอยู่แม้แต่น้อย เย็นเยียบดุจรูปปั้น และผ่ายผอมลงไปมาก
คงโมโหนางจนผ่ายผอมลงกระมัง
“ท่านมาแล้ว” กว่านางจะฝืนลุกยืนขึ้นมาได้นั้นยากยิ่ง พอลุกขึ้นยืนก็โงนเงนไปมา
อี๋ซื่ออ๋องมองเฉินจื่อหลิงตรงหน้า สวมชุดนักโทษสีขาว ผมยาวยุ่งเหยิง เดิมทีใบหน้ารูปไข่เท่าฝ่ามือซูบลงจนแทบจะใหญ่ไม่เท่าฝ่ามือแล้ว ดวงหน้างดงามแดงเรื่อเปล่งปลั่งตามธรรมชาติคล้ายใกล้ถูกความทุกข์ในคุกหลวงเมื่อหลายวันมานี้ทำลายหายไปสิ้น ซีดขาวราวหิมะ ซีดเซียวไร้เรี่ยวแรง ทำเอาเกิดความพลุ่งพล่านอยากจะกุมนางไว้ในฝ่ามือ
สายตาเลื่อนลงมาเบื้องล่าง ตกลงบนท้องของนาง
ไม่รู้ว่าท้องยังเห็นไม่ชัดหรือว่าชุดนักโทษตัวใหญ่เกินไป จึงดูไม่ออกว่าท้องนางอายุกี่เดือนแล้ว
เปลือกตาเขากระตุก ขนตาหนาหลุบลง ใต้ตามีเงาแผ่คลุม มองอารมณ์ใดไม่ออกทั้งสิ้น
“ปลดกลอน”
คำสั่งบัญชาออกไป พัศดีก็เข้ามา
เขามาหาด้วยตัวเอง ไม่แม้แต่จะมองสักนิด
พัศดีไม่พูดพร่ำทำเพลง ปลดกลอนประตูให้ กระซิบว่า “ซื่ออ๋องโปรดไวหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ” กล่าวจบก็ถอยออกไป
เขาก้าวเข้าห้องขังไป “ที่ข้ามาก็แค่ไม่อยากถูกใครเขาคิดว่าไร้หัวจิตหัวใจ เจ้ามีอะไรจะพูดก็ว่ามา”
เสียงเย็นชาไร้สิ่งใดกระเพื่อมไหว ก้องสะท้อนอยู่ในห้องขังอันเย็นยะเยียบ ตงเอ๋อร์กับแม่บ้านเลี่ยวนอกห้องขังต่างได้ยินกันอย่างชัดเจน ทว่าสีหน้ากลับแตกต่างกัน
กลิ่นอายอันคุ้นเคยบนร่างเขาลอยอวลมาหาในระยะใกล้ นั่นเป็นกลิ่นอายตอนที่นางเคยกอดกันกับเขา กระทั่งจุมพิตพัวพันกันแล้วได้กลิ่น
ยามนี้ นึกไม่ถึงว่าจะทำให้ใจอันวุ่นวายมาหลายวันของนางสงบลงได้
“ท่านก็คิดว่าข้าเป็นคนฆ่าโหยวซื่อหรือ” เฉินจื่อหลิงมองเขานิ่ง
เขาเป็นบุรุษที่นางรักใคร่บูชามาค่อนชีวิต และเป็นสามีที่นางฝากครึ่งชีวิตที่เหลือไว้
ขอเพียงเขาเชื่อนาง ต่อให้คนทั้งแผ่นดินจะคิดว่านางเป็นฆาตกร นางก็รู้สึกว่าไม่เป็นไร
เขาจ้องมองนางอย่างลึกซึ้ง “จู่ๆ โหยวซื่อก็มาเมืองหลวง เดิมทีเจ้าก็มีความแค้นสะสมเอาไว้อยู่แล้ว วันนั้นโหยวซื่อไม่เห็นหัวเจ้าต่อหน้าธารกำนัลทั้งหลาย เจ้าไม่พอใจ ตอนไปหานาง ระหว่างกำลังยื้อยุดกันไม่ทันระวังพลาดฆ่านางเข้า ก็ไม่เห็นแปลก เหตุจูงใจชัดเจน อาวุธที่ใช้สังหารก็พบในที่เกิดเหตุ ทั้งยังมีบรรดาสตรีของขุนนางเห็น ณ ที่นั้น เจ้าจะให้ข้าไม่เชื่อได้อย่างไร”
ชั่วขณะนั้น อกด้านซ้ายราวกับมีบางอย่างฉีกขาด ดึงทึ้งอยู่ เจ็บปวดราวกับโดนทิ่มแทงดวงใจ
เจ็บปวดเสียยิ่งกว่าอยู่ในคุกอย่างไร้ความเป็นธรรมเสียอีก
นางข่มน้ำตาที่ใกล้จะพรั่งพรูออกมารอมร่อ “แล้วข้าเล่า ท่านไม่เชื่อสักนิดเลยหรือ”
“ข้าเชื่อเพียงหลักฐานเท่านั้น”
“ดังนั้นหากสำนักพระราชวังตัดสินว่าข้าผิด ท่านก็จะไม่ยื่นมือมายุ่งอย่างนั้นหรือ”
“องค์ชายฝ่าฝืนกฎหมาย ได้รับโทษเดียวกันกับสามัญชน”
ถ้อยคำอันเย็นชาประโยคเดียวทำให้ความหวังของนางหมดสิ้น ราวกับปลาในสระที่แห้งขอดถูกคลื่นซัดเข้าฝั่ง ถูกแดดแผดเผาอยู่กับที่เพื่อรอความตาย นางเอ่ยอย่างเงียบงันว่า “ซย่าโหวเจิ่น ข้าจะบอกท่านให้ชัดเจนแจ่มแจ้งอีกครั้งว่า ข้าไม่ได้ฆ่า ต่อให้ท่านไม่เชื่อข้า ข้าก็ไม่ได้ฆ่าอยู่ดี!”
“เมื่อหลายวันก่อนโหยวซื่อให้คนมาบอกข้าหลายครั้งว่ามีเรื่องจะพูดด้วย วาจาดูตึงเครียด แต่ตอนนั้นข้าโกรธที่นางมาเมืองหลวงโดยไม่ได้รับอนุญาต ราชกิจรัดตัว ทั้งยังห่วงจิตใจของเจ้า จึงไม่ได้สนใจนาง กระทั่งพบหน้าก็ไม่ได้พบ ยามนี้มานึกดูแล้ว เกรงว่าเจ้าจะเกิดความคิดฆ่าแกงต่อนางขึ้นแต่แรกแล้ว ไม่อยากให้นางสองแม่ลูกมีชีวิตอยู่ นางอกสั่นขวัญแขวน อยากจะให้ข้าปกป้อง…หากข้าฟังนางรายงานตั้งแต่แรก ค่อยตักเตือนเจ้า บางทีอาจจะไม่ถึงขั้นที่เจ้ากำเริบเสิบสาน วางอำนาจบาตรใหญ่ในจวน เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา”
ประโยคนี้เอ่ยออกไป ตงเอ๋อร์ก็กำหมัดแน่น นึกไม่ถึงว่าซื่ออ๋องจะเชื่อโหยวซื่อ และไม่เชื่อคุณหนูแม้แต่คำเดียว
การกระทำเดียวตอนที่โหยวซื่อยังมีชีวิตอยู่ เดิมทีก็ตรวจสอบไม่ได้ว่านางอยากจะบอกอะไรซื่ออ๋อง ก็กลายมาเป็นคุณหนูกำเริบเสิบสานวางแผนทำร้ายโหยวซื่อได้แล้วรึ
ซื่ออ๋องกลายเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจไปตั้งแต่เมื่อใด!
แม่บ้านเลี่ยวกลับหนังตากระตุก ฝ่ามือมีเหงื่อเย็นผุดซึม
โหยวซื่อรำคาญที่จะช่วยตนจัดการธุระอย่างเหลือทน พูดไม่รู้ตั้งกี่ครั้งกี่หนว่าจะฟ้องเรื่องของตนให้ซื่ออ๋องฟัง ทั้งยังบอกอีกว่ากุมหลักฐานของตนอยู่ไม่น้อย…
หรือว่าวันนั้นที่ไปหาซื่ออ๋องก็เพื่อเปิดโปงตนอย่างนั้นรึ
นังแพศยาสมควรตาย!
โชคดีที่มันตายไปแล้ว มิฉะนั้นล่ะก็…เกือบจะได้โดนนางฆ่าเอาแล้ว!
แผ่นหลังแม่บ้านเลี่ยวมีเหงื่อเย็นไหลซึมออกมาไม่หยุด เพิ่งจะผ่อนคลายลง กลับตระหนกขึ้นมาอีกครั้ง
ไม่…ยังไม่อาจดีใจไปเร็วนักได้
แม้คนจะตายไปแล้ว แต่หลักฐานในมือนางกลับไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน!
หากไม่หาออกมาทำลาย ถูกคนพบเข้า นางได้จบเห่เหมือนกันแน่
ในขณะที่ครุ่นคิดนั้น ได้ยินตงเอ๋อร์หอบหายใจถี่อย่างโมโห นางคว้าซี่กรงไว้ “คุณหนูตั้งท้องลูกของซื่ออ๋อง ซื่ออ๋องก็จะไร้ปรานีเช่นนี้หรือ”
“หากลูกข้ารู้ว่ามารดาตัวเองเป็นนักโทษฆ่าคน เกรงว่าคงอายที่จะเกิดมาแน่”
ประโยคนี้ทำให้แขนที่อ่อนแรงจนไม่อาจยกขึ้นได้ของเฉินจื่อหลิงยกขึ้น แขนเรียวยกสูงฟาดไปยังบุรุษตรงหน้า…
มืออยู่กลางอากาศ กลับถูกเขาคว้าจับเอาไว้แน่น ออกแรงราวกับคีมเหล็ก ขยับไหวไม่ได้
ชะงักค้างไปครู่หนึ่ง เขาออกแรงที่ข้อมือ กุมมือนางเอาไว้ ถือโอกาสดึงนางมาเข้าหาอก
ลมหายใจร้อนระอุเข้มข้นพรูมาหา กลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาห่มคลุมนางเอาไว้อย่างมิดชิด!
ลมหายใจเช่นนี้ประชิดใกล้ ทำให้นางใจลอย คิดย้อนกลับไปคืนนั้นนางกับเขาคืนดีกันก่อนที่โหยวซื่อจะมา
คืนนั้น เขาก็กอดนางไว้เช่นนี้ นางสูดกลิ่นบุรุษเพศของเขาเข้าสู่นิทรา
เดิมทีคิดว่าในที่สุดก็เข้าใจในหัวใจของกันและกันแล้ว
แต่แล้วเหตุใดเขาจึงยังคงไม่เชื่อนางเล่า
นางจ้องมองนัยน์ตาสีดำขลับตรงๆ ในที่สุดน้ำตาก็พรั่งพรูลงมา “ข้าจะถามท่านเป็นครั้งสุดท้าย ท่านเชื่อข้าหรือไม่”
“ข้าคงต้องโทษที่ยามปกติข้าให้ท้ายเจ้าเกินไป” เขากุมมือน้อยๆ ของนาง กัดฟันแน่ แววตากระเพื่อมไหวเล็กน้อย
ดวงใจนางเย็นเฉียบ รู้สึกว่ามือของเขาค่อยๆ ดึงออกจากมือนาง ในขณะเดียวกันนั้นก็รู้สึกถึงบางอย่างที่เย็นเยียบค่อยๆ ยัดเข้ามาในฝ่ามือ
เล็ก เล็กมาก เย็นเฉียบเสียดกระดูก
อาศัยแสงไฟริบหรี่ด้านนอกคุกหลวงที่สาดส่องมา เหลือบตาไปมองอย่างรวดเร็ว ทั่วทั้งร่างนางก็พลันชะงักค้าง
ในขณะเดียวกัน เขาก็ก้าวถอยหลังไปสองก้าว รักษาระยะห่างกับนางไว้ แล้วหันหลังก้าวออกจากห้องขังไป
……
นอกห้องขัง เสียงร้องไห้ของตงเอ๋อร์ยังคงลอยมา หากไม่ได้แม่บ้านเลี่ยวทั้งลากทั้งดึงฉุดนางให้เดิน ก็คงได้พุ่งเข้าไปนั่งอยู่ในคุกกับคุณหนูด้วยแล้ว
ฝีเท้าของเขากลับหนักแน่นเต็มไปด้วยกำลัง ไม่หันกลับมามองสักนิด
เฉินจื่อหลิงกำของเย็นเยียบชิ้นนั้นเอาไว้ในฝ่ามืออย่างเหม่อลอย จิตใจกลับสงบลงเป็นพิเศษ
นางค่อยๆ ไถลตัวลงตามกำแพง นั่งลงบนก้อนหิน มุมปากหยักยกขึ้นเล็กน้อยอย่างคาดไม่ถึง