ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 290.5 ตอนพิเศษ ตอนจบ (5)
สามวันต่อมา เป็นวันพิจารณาคดีของสำนักพระราชวัง
เฉินจื่อหลิงตื่นแต่เช้า สวมชุดนักโทษสีขาวราวหิมะตลอดร่าง ถูกพัศดีพาไปขึ้นศาล
แววตาไม่ตื่นตระหนกเลื่อนลอยอีกแล้ว เหลือเพียงความเยือกเย็นนิ่งสงบเอาไว้เท่านั้น
ขุนนางสำนักพระราชวัง ณ ที่นั้นตรวจสำนวนและตัดสินคดีเชื้อพระวงศ์มาไม่น้อย และเคยเห็นนักโทษชั้นสูงตกอกตกใจจนเสียกิริยาหลังจากขึ้นศาลมาไม่น้อย ซึ่งแตกต่างจากยามปกติที่มีสง่าราศีโดยสิ้นเชิง
ทว่าน้อยนักที่จะเห็นนักโทษหญิงที่เยือกเย็นสงบนิ่งเช่นนี้
ชั่วขณะนั้น ตนกลับเหมือนนักโทษนั่งอยู่ในศาล แล้วนางเป็นขุนนางไต่สวนนักโทษแทน
กระทั่งมีคนสะทกสะท้อนใจเบาๆ ว่า “อย่างไรเสียก็เป็นพระชายาจากชายแดนทางเหนือ หากถูกประหารเพราะเรื่องนี้ ก็คงมีชื่อเสียงป่นปี้”
“นั่นน่ะสิ เรื่องที่ภรรยาหลวงฆ่าอนุ ครอบครัวใหญ่ๆ ในสามัญชนมีมิใช่น้อยๆ แต่น้อยนักที่จะมีภรรยาหลวงมาชดใช้ชีวิตให้อนุ เสียดายก็แต่พระชายาผู้นี้โชคร้ายนัก ดันถูกบรรดาสตรีตระกูลขุนนางมากมายเห็นเข้า ผลกระทบจึงเลวร้ายยิ่ง อีกทั้งอนุนั่นก็ยังตั้งครรภ์ทายาทของราชวงศ์ ศพเดียวสองชีวิต วิธีการฆ่าก็โหดเหี้ยมอำมหิตเกินไป จำต้องชดใช้ โชคดีที่จากฐานันดรของนางยังไม่ต้องถึงขั้นชดใช้ด้วยชีวิต อย่างมากก็จำคุกสองสามปี…”
“พระชายาซื่ออ๋องผู้สูงส่ง จำคุกสองสามปีเพราะอนุ ก็ไม่ต่างอันใดกับตายหรอก แม้ว่าจะออกจากคุกมา ชื่อเสียงก็ป่นปี้ไปหมดแล้ว”
……
หลังจากบอกเล่าคดีแล้ว ข้าหลวงสำนักพระราชวังก็เอ่ยขึ้นด้วยความเคารพว่า “นักโทษหญิงสกุลเฉิน ทำให้อนุซื่ออ๋องถึงแก่ความตายหนึ่งศพสองชีวิต จะยอมรับผิดหรือไม่”
“ไม่ได้ทำผิด เหตุใดต้องยอมรับผิดด้วย”
“พยานบุคคล พยานวัตถุล้วนครบครัน เหตุจูงใจในการฆ่าก็มี ท่านยังกล้าบอกว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดอีกรึ” ข้าหลวงสำนักพระราชวังตีไม้ปลุกสติ!
“ไม่รับผิด”
“ได้ ใครก็ได้ เอาเครื่องทรมานมา!”
ธรรมเนียมปฏิบัติเดิมในการพิจารณาคดี หากหลักฐานครบครั้นแต่นักโทษยังคงปฏิเสธไม่ยอมรับสารภาพ ก็มีเพียงการลงโทษเท่านั้นที่จะปฏิบัติด้วย
เฉินจื่อหลิงคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้ว จึงไม่ตระหนก ทำเพียงแอบลูบท้องน้อยเงียบๆ เอ่ยในใจว่า แม่อดทนอยู่ เจ้าก็อดทนด้วยนะ
เจ้าหน้าที่ในชั้นศาลสองนายยกเครื่องบีบนิ้วมาสวมที่นิ้วของเฉินจื่อหลิง แล้วยืนขนาบสองข้าง
ข้าหลวงสำนักพระราชวังเห็นนางตัวแข็งทื่อ ก็ขมวดคิ้ว เกิดความสงสารอยู่ในใจ แต่ต่อให้สงสารเพียงใด ก็ไม่อาจผิดต่อธรรมเนียมปฏิบัติและกฎหมายได้อยู่ดี จึงกัดฟันแล้วให้โอกาสนางอีกครั้งหนึ่ง ลงจากที่นั่งมากระซิบว่า “พระชายาซื่ออ๋อง ขอเพียงท่านลงนามยอมรับสารภาพ ก็ไม่ต้องโดนทรมานแล้ว ช่างเถิด เหตุใดต้องทนทรมานร่างกายด้วย”
“ยังคงยืนยันคำเดิม ไม่ได้ทำผิด เหตุใดต้องยอมรับผิดด้วย”
ข้าหลวงสำนักพระราชวังหมดหนทาง จำต้องกลับไปที่นั่ง เอ่ยอย่างโหดเหี้ยมว่า “เริ่มทรมาน!”
เจ้าหน้าที่ในชั้นศาลเริ่มดึงเชือกให้ไม้บีบรัดนิ้วแน่นขึ้นอย่างช้าๆ
แรงที่นิ้วเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
เฉินจื่อหลิงกัดฟันทนไว้ ยืนหยัดต่อ นางจะต้องอดทนไว้…
นางรู้ดีว่าเขาต้องมาแน่…
ต้องมาแน่…
ความเจ็บปวดที่นิ้วมือเริ่มรุนแรงของเรื่อยๆ
เห็นได้ชัดว่า ภายใต้คำสั่งของข้าหลวงสำนักพระราชวัง เจ้าหน้าที่ในชั้นศาลจงใจใส่น้ำลงไป ดึงเชือกให้ช้ามาก ดังนั้นเฉินจื่อหลิงจึงยังอดทนเอาไว้ได้
ทว่าพร้อมกับเวลาที่เคลื่อนคล้อยนี้ ความเจ็บปวดยังคงโจมตีเข้ามาเป็นระลอก
เหงื่อเย็นเม็ดโตผุดซึม
จะทนไม่ไหวแล้ว…
ลมหายใจรวยริน ทว่ายังคงอดทนต่อ…
ในที่สุด เสียงตวาดก็ลอยมาจากประตู “หยุดเดี๋ยวนี้!”
ร่างสูงใหญ่สง่าสาวเท้าเข้ามา ด้านหลังมีองครักษ์สองสามนายติดตามมาด้วย
องครักษ์สองคนในนั้นยังหิ้วร่างหนึ่งที่ตระหนกตกใจทำอะไรไม่ถูก ร่างอ่อนยวบเอาไว้ด้วย
เป็นแม่บ้านเลี่ยว
“ซื่ออ๋อง” ข้าหลวงสำนักพระราชวังรีบลุกขึ้นลงมาจากบันได
เชือกที่เครื่องบีบนิ้วคลายลง เฉินจื่อหลิงถือโอกาสทรุดตัวลง ยังไม่ทันถึงพื้น ก็ถูกแขนสองข้างโอบเข้าอ้อมอก อุ้มขึ้นมา!
ทันใดนั้นนางก็เข้าสู่อ้อมกอดอันอุ่นร้อน ความกระวนกระวายแทบจะถูกอ้อมกอดนี้ทำให้สลายหายไป นางลืมตาขึ้น สบเข้ากับดวงตาดำขลับอันกระสับกระส่ายเหลือแสนของเขาเข้าพอดี ริมฝีปากนางขยับไหว “ท่านมาแล้ว…”
ในที่สุดเขาก็มา
นางรู้ดีว่าเขาจะต้องมา
ดวงตาลูกท้อกลมโตของนางเต็มไปด้วยชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง และความเชื่อใจอันเต็มเปี่ยม ทำให้ใจเขาบีบรัดแน่น!
จิตใจอันร้อนรุ่มดั่งไฟเผาในหลายวันนี้เปิดเผยออกมา
ตั้งแต่นางเข้าคุกหลวงของสำนักพระราชวัง ไอสังหาร ความดุร้ายหุนหันพลันแล่น ความรีบร้อน ความเดือดดาล ความพลุ่งพล่านที่แทบอยากจะชิงตัวนางออกมา ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ในที่สุดก็สามารถระบายมันออกมาได้ในยามนี้แล้ว
ทว่า ก่อนหน้านี้ เขาจำต้องเก็บอารมณ์ไร้ประโยชน์เหล่านี้เอาไว้!
มิฉะนั้นนางคงได้เข้าคุกอย่างไร้ความเป็นธรรมแน่ ต่อให้เขาฝืนปกป้องนางออกมา นางก็จะกลายเป็นสตรีอำมหิตที่ฆ่าอนุควักทารก ชื่อเสียงป่นปี้ เงยหน้ามองใครไม่ได้ไปชั่วชีวิต!
เขารู้นิสัยของนางดี นางไม่ได้เป็นคนทำ จะต้องลบล้างมลทินให้เกลี้ยงต่อหน้าคนทั้งแผ่นดิน ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา บริสุทธิ์ผ่องใส จะไม่ให้โดนป้ายสีได้แม้แต่น้อย!
เช่นนั้นเขาก็จะช่วยนางทำให้สำเร็จ!
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่เชื่อว่านางเป็นคนฆ่าโหยวซื่อ!
คิดโยงดูแล้วสองสามวันก่อนที่โหยวซื่อจะถูกฆ่านางบอกว่ามีเรื่องด่วนจะรายงานเขา เขาก็พอจะเดาออกว่าใครคือคนร้ายแล้ว การตายของโหยวซื่อ เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่นางจะรายงาน อีกทั้งถูกคนฆ่าปิดปากไป ซ้ำยังโยนความผิดให้เฉินจื่อหลิง แต่ไร้ซึ่งหลักฐาน แม้ว่าจะจับตัวคนๆ นั้นมาให้สำนักพระราชวัง เกรงว่าสำนักพระราชวังก็คงจะบอกว่าหาแพะมารับบาป จะยิ่งส่งผลร้ายต่อนาง!
ที่ไม่ไปเยี่ยมที่คุก เพราะต้องรีบหาหลักฐานก่อนที่นางจะขึ้นศาล
ทุกครั้งที่ไปเรือนตะวันตกของโหยวซื่อ พอได้ไปก็จะอยู่ทั้งวัน เพราะเขากำลังรื้อหาหลักฐานที่โหยวซื่อซ่อนไว้!
และเป็นจริงดังคาด ในชั้นกล่องเครื่องประดับของโหยวซื่อนั้น รื้อเจอจดหมายจำนวนหนึ่งที่แม่บ้านเลี่ยวเป็นไส้ศึก!
ทว่าแค่หลักฐานที่แม่บ้านเลี่ยวเป็นไส้ศึกอย่างเดียวจะช่วยอะไรได้ อย่างมากก็แค่ลงโทษแม่บ้านเลี่ยวว่าเป็นไส้ศึกขายชาติ ไม่อาจยืนยันว่าเกี่ยวข้องกับการตายของโหยวซื่อได้อยู่ดี
ที่ใช้คำพูดเย็นชากับนางทั้งที่เรือนตะวันตกและในห้องขังก็เพื่อให้แม่บ้านเลี่ยวได้ยิน จะได้ลดความระแวดระวังลง กลัวว่าหลักฐานจะถูกพบแล้วนางจะเริ่มลงมือปกปิด!
หลายวันมานี้ เขาก็เหมือนกับนางที่อยู่ในคุก กำลังอดทน กำลังรอคอย กำลังฝืนทนให้ผ่านพ้นไป
จนกระทั่งเมื่อวาน เขาจงใจเอ่ยขึ้นว่า ให้แม่บ้านเลี่ยวและคนอื่นๆ นำโลงศพกลับเจียงเป่ย
แม่บ้านเลี่ยวกลัวว่าหลักฐานจะตกหล่นอยู่ที่เมืองหลวง รอต่อไปไม่ได้แล้ว พออรุณรุ่งจึงแอบเข้าไปในห้องโหยวซื่อ รื้อค้นตู้หีบ ถูกองครักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่แต่แรกจับได้!
สิ่งนั้นก็คือ…
“ซื่ออ๋อง…” ข้าหลวงสำนักพระราชวังเอ่ยขึ้นด้วยความลำบากใจยิ่ง
ตั้งแต่พระชายาซื่ออ๋องเข้าคุกหลวงของสำนักพระราชวัง อี๋ซื่ออ๋องก็แสดงออกอย่างดีมาโดยตลอด ไม่ได้ต้องการตัวนางคืน ไม่ได้ทำผิดเพื่อนาง ทั้งยังไม่ได้ละเมิดกฎหมายบ้านเมือง ยามนี้เหตุใดจึงมาโวยวายที่ศาลเล่า…
เขาไม่ได้ตอบในทันที มีเพียงดวงตาดุดันส่งมา ทำให้องครักษ์ขึ้นบันไดไปยกเก้าอี้ใหญ่แกะสลักลายที่รองด้วยเบาะนุ่มของข้าหลวงสำนักพระราชวังลงมา แล้ววางคนในอ้อมอกลงบนนั้น จากนั้นก็ส่งสัญญาณมือ!
หน้าประตู ขุนนางแพทย์ของจวนที่ติดตามมาด้วยรีบเดินเข้ามา เริ่มจับชีพจรให้เฉินจื่อหลิง
เขาโน้มกายสูงใหญ่ลงนั่งรออีกด้านอย่างเงียบๆ
ข้าหลวงสำนักพระราชวังเห็นเก้าอี้ถูกยกมาอีกทั้งด้านหลังโต๊ะของศาลก็ว่างเปล่า จึงยิ่งไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ซื่ออ๋อง นี่ท่าน…”
“อย่าเสียงดัง!” ดวงตาคมกริบของอี๋ซื่ออ๋องถลึงมอง หากสายตาสามารถฆ่าคนได้ ข้าหลวงสำนักพระราชวังคงได้ตายอยู่ในศาลแน่แล้ว!
ข้าหลวงสำนักพระราชวังสูดหายใจลึก จำต้องเงียบเสียงลง ให้ขุนนางผู้เฒ่าทำอะไรให้เรียบร้อยค่อยว่ากัน
ขุนนางแพทย์จับชีพจรเสร็จสิ้น “พระชายาซื่ออ๋องกับชีพจรครรภ์ล้วนปกติดีขอรับ มาได้ทันเวลา บาดแผลที่นิ้วจึงไม่รุนแรงเท่าใดนัก เพียงแค่ต้องทายาสักสองวันก็พอ”
ยามนี้เขาจึงได้วางใจลง ลุกขึ้นมองไปยังข้าหลวงสำนักพระราชวัง “ฆาตรกรเป็นคนอื่น”
ว่าอย่างไรนะ ข้าหลวงสำนักพระราชวังสะดุ้งตกใจ!
หลายวันมานี้ซื่ออ๋องไร้การเคลื่อนไหวใด ที่แท้ก็มัวยุ่งอยู่กับการหาหลักฐานนี่เอง!
เฉินจื่อหลิงเรียกสติให้ตื่นตัว ขยับคอหันไปมองตรงกลาง
“นางเลี่ยว อายุห้าสิบสองปี บ้านเกิดเมืองนอนอยู่ที่เจียงเป่ย บิดาที่บ้านเดิมเป็นนักมวย เคยเปิดโรงมวยภายในเมืองเมื่อนานมาแล้ว นางเลี่ยวได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินอยู่เป็นประจำตั้งแต่เด็กจนโต และมีศิลปะป้องกันตัว หลังจากมีครอบครัวได้ไม่นานก็เสียสามีไป ไร้บุตร ไร้ที่พึ่งพิง บ้านเดิมก็สูญสิ้น ยากจนข้นแค้น ถูกเหมิงหนูถูกใจในศิลปะป้องกันตัว ทั้งยังเป็นแม่ม่ายอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีทางถูกคนระแวดระวัง จึงเลือกให้เป็นหูเป็นตาให้ แทรกซึมเข้ามาในจวนซื่ออ๋องที่เจียงเป่ย รายงานข่าวการศึกของข้าตลอดเวลา”
มิน่าเล่า นางสงสัยมาตลอดว่าวันนั้นคนที่มีฝีมือคล่องแคล่วว่องไว ฟาดตนให้สลบได้ จะเป็นแม่บ้านเลี่ยวที่แก่ชราได้อย่างไร ที่แท้ แม่บ้านเลี่ยวเดิมทีก็เป็นลูกสาวของครอบครัวนักมวย ทั้งยังเป็นสายลับของชาวเป่ยเหรินที่ทิ้งไว้ในต้าเซวียน หลบซ่อนศิลปะวิชาของตัวเองนี่เอง
เช่นนั้น ทุกอย่างก็อธิบายได้แล้ว…
อี๋ซื่ออ๋องเอ่ยต่อว่า “แต่น่าเสียดายที่นางเลี่ยวหลบซ่อนอยู่ที่จวนซื่ออ๋องหลายปี เป็นเพียงแม่บ้านรับใช้ธรรมดาๆ คนหนึ่ง ยากจะเข้าเรือนชั้นในได้ สืบข่าวคราวที่เป็นประโยชน์ใดไม่ได้อยู่แล้ว จนกระทั่งโหยวซื่อถูกส่งไปร้านซักผ้า นางเลี่ยวคิดว่าเป็นโอกาสที่ดี จึงนำชายนอกจวนแอบมาลอบมีสัมพันธ์ให้ตั้งท้อง แล้วใช้ยาปกปิดชีพจรตั้งครรภ์ให้ช้าไปครึ่งเดือน หลอกลวงข้าว่าโหยวซื่อตั้งท้องเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า ทำให้นางกลับมาจวนซื่ออ๋อง”
ประโยคนี้เอ่ยออกมา ทุกคน ณ ที่นั้นก็ต่างตกตะลึงงัน
เฉินจื่อหลิงก็เช่นกัน
นึกไม่ถึงว่าเด็กในท้องของโหยวซื่อจะไม่ใช่ลูกเขา