ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 290.6 ตอนพิเศษ ตอนจบ (6)
“แต่นั้นมา นางเลี่ยวก็มีบุญคุณต่อโหยวซื่อ และกลายเป็นสาวใช้ข้างกายโหยวซื่อ ยืมมือโหยวซื่อ สะดวกในการสืบสถานการณ์ทางทหารของข้ามากกว่าเดิม ไม่กี่เดือนก่อนเหมิงหนูทำลายพรมแดนเข้ามา รุกรานตลาดการค้าข้ามแดนต้าเซวียน ก็เป็นนางเลี่ยวที่ให้โหยวซื่อแอบขโมยรายงานสถานการณ์ทางทหารมาจากห้องหนังสือข้า จึงสามารถทำให้ชาวเหมิงหนูรู้ข่าวล่วงหน้าได้ แต่เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ โหยวซื่อย่อมกลัวว่าไม่ช้าก็เร็วจะถูกจับได้อยู่ดี ทั้งไม่อยากโดนนางเลี่ยวใช้เป็นหมาก จึงแอบเก็บรวบรวมหลักฐานความผิดที่นางเลี่ยวเป็นสายให้เมืองศัตรู สมคบคิดกับชาวเป่ยเหริน พกติดตัวเอาไว้ตลอด เพื่อป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกเปิดโปง”
“ที่โหยวซื่อมาเมืองหลวงในครานี้ก็เป็นความคิดของนางเลี่ยวเช่นกัน ข้าไปรับชายารักกลับมาจึงพักอยู่ที่เมืองหลวงระยะหนึ่ง คทาอาญาสิทธิ์รูปเสือของแม่ทัพที่สำคัญ รวมถึงแผนที่สถานการณ์การรบก็พกติดตัวมาด้วย ชาวเหมิงหนูแอบส่งจดหมายลับให้นางเลี่ยว คิดจะใช้โอกาสที่ข้าไม่อยู่เจียงเป่ยก่อการร้าย จึงสั่งให้นางเลี่ยวมาเมืองหลวงเพื่อขโมยคทาอาญาสิทธิ์รูปเสือของด่านหวากู่ในเจียงเป่ย พอได้คทาอาญาสิทธิ์รูปเสือมาไว้ในมือ ข้าไม่อยู่เจียงเป่ย ชาวเป่ยเหรินก็จะบุกทะลวงเข้ามาได้! นางเลี่ยวโน้มน้าวโหยวซื่อให้ใช้เรื่องฝันถึงครรภ์มาอ้างเพื่อมาหาข้าที่เมืองหลวง นางก็สามารถติดตามโหยวซื่อไปด้วยได้ ถือโอกาสขโมยคทาอาญาสิทธิ์รูปเสือมา โหยวซื่อก็มีแผนการของตัวเอง คิดอยากจะใกล้ชิดข้า เกรงว่าข้าจะคืนดีกับชายารัก จึงได้ตอบตกลงนางเลี่ยว มายังเมืองหลวง”
กล่าวจบก็หยุดลง มองไปยังแม่บ้านเลี่ยวที่หน้าซีดเป็นกระดาษไปตั้งนานแล้วด้วยความเย็นชา “ข้ากระหายน้ำแล้ว ที่เหลือเจ้าก็พูดแล้วกัน”
ทุกคน “…”
ข้าหลวงสำนักพระราชวังเคาะไม้ปลุกสติไปทางแม่บ้านเลี่ยว ตวาดว่า “ยังไม่ทำตามแต่โดยดีอีก!”
ในโถงพิจารณาคดีอันใหญ่โต แม่บ้านเลี่ยวไหนเลยจะยังมีความกล้าเป็นไส้ศึกต่อ นางตกใจจนขี้เยี่ยวแทบราด “…พอมาถึงเมืองหลวง โหยวซื่อก็กลับคำ ไม่ยอมช่วยข้า ซ้ำยังบอกว่าจะเปิดโปงข้า…งานเลี้ยงวันนั้น ข้าคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะแอบเรียกนางกลับเรือนตะวันตก หมายจะให้นางอาศัยจังหวะนี้ขโมยคทาอาญาสิทธิ์รูปเสือ แต่นังแพศยา…โหยวซื่อนั่นก็ยังไม่ตกลง ทั้งยังเกรี้ยวโกรธจะเปิดโปงข้า ข้าพลั้งมือผลักนาง ร่างกายนางหนัก นึกไม่ถึงว่าจะล้มสลบไป! ข้ารู้ว่าหากนางฟื้นขึ้นมาจะต้องไม่ปล่อยข้าไว้แน่ ดูท่าแล้วหมากตัวนี้คงต้องทิ้งไป! รอให้นางมาเปิดโปง ไม่สู้ลงมือก่อนได้เปรียบจะดีกว่า จึงใช้กรรไกรในห้องนาง…ผ่าแหวกท้องนาง ควักลูกนางออกมา! หนึ่งคือ เพื่อระบายโทสะที่มีต่อนังแพศยานี่ สอง…ในจวนนี้ คนที่เป็นปรปักษ์กับนางที่สุดก็มีเพียงพระชายาซื่ออ๋อง หากทำเช่นนี้ ทุกคนก็จะคิดว่าพระชายาซื่ออ๋องโกรธแค้นริษยานางที่ตั้งครรภ์ จึงได้ฆ่าคนควักลูกระบายความแค้นในใจ แต่คิดไม่ถึงว่าพระชายาซื่ออ๋องจะมาเร็วเพียงนี้ ข้าจึงฟาดนางสลบไป ให้นางรับโทษแทนข้า…”
เฉินจื่อหลิงหน้าซีดเผือด
ทุกคนในศาลต่างหวาดหวั่นพรั่นพรึง
อี๋ซื่ออ๋องโบกมือส่งสัญญาณ
องครักษ์ก็ถือหลักฐานเข้ามา
ล้วนเป็นจดหมายและเอกสารลับที่นางเลี่ยวส่งข่าวคราวออกไปให้แก่ชาวเหมิงหนูในหลายปีที่ผ่านมา และถูกจับได้เมื่อเช้าตรู่วันนี้
ไม่รอให้ข้าหลวงสำนักพระราชวังออกคำสั่ง เขาก็อดรนทนไม่ไหวอุ้มคนในเก้าอี้ขึ้น สาวเท้าเดินออกไปนอกศาล
“เตรียมม้า เลิกม่านขึ้น!”
เรื่องราวของนางจบสิ้นแล้ว เรื่องราวที่เหลือล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเขาและนางอีกแล้ว เรื่องราวใหญ่โตคับฟ้าก็ไม่อาจขวางเขาที่รีบเร่งพานางกลับไปได้
ชักช้าไม่ได้แม้แต่ชั่วขณะเดียว!
เฉินจื่อหลิงวิงเวียน กอดคอเขาไว้แน่น “จะไปไหน ช้าลงหน่อย!”
“กลับบ้าน!” เขาพลันรู้สึกว่าการกระทำของตัวเองรุนแรงบุ่มบ่ามเกินไป จึงชะลอฝีเท้าลง เริ่มเดินช้าลง เดินด้วยความระมัดระวัง ซ้ำยังยื่นมือข้างหนึ่งไปแนบบนท้องนาง ดวงหน้าหล่อเหลาเผยความเหลือเชื่อออกมา
ก่อนจะทำลายล้างชาวเหมิงหนูให้สิ้นซาก เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้เป็นพ่อคน ถึงขนาดรู้สึกขัดแย้งกับตัวเองด้วยซ้ำ
ทว่าวันนี้ก็มาถึง นึกไม่ถึงว่าเขาจะปรีดาล้นปรี่
“ซย่าโหวเจิ่น เอามือออกไปเลยนะ!” นางเดือดดาลหน้าแดงก่ำ
“ข้าไม่ได้ใช้มือเท่านั้นนะ ยังจะใช้…” ขาข้างหนึ่งของเขาเหยียบบนรถม้า เลิกม่านขึ้น โน้มศีรษะลงรังแกดวงหน้างามของนางอย่างมืดฟ้ามัวดิน
หนวดเคราของเขาทิ่มนางจนเจ็บ!
หนวดเครานี้ เกรงว่าหลายวันมานี้ไม่มีเวลาโกนให้ดีกระมัง!
“ซย่าโหวเจิ่น คนเลว! อยู่ห่างๆ ข้าเลยนะ! ท่านสกปรกหรือไม่น่ะหา!”
แม้ว่าจะอยู่ในรถม้าแต่อย่างไรเสียนอกรถก็เป็นคนรับใช้ของเขาทั้งหมด แถมยังกลางวันแสกๆ อีก!
หากเป็นเมื่อก่อน เขาจะต้องใช้กำลังมาปราบนาง ตะโบมจูบจนนางอ่อนยวบ เงียบงันไม่หือไม่อือ ไม่โวยวายใส่เขาอีกแน่
ทว่ายามนี้กลับไม่กล้าใช้แรง กลัวว่าจะทำลูกที่อยู่ในท้องนางเจ็บ
เขารู้ดีว่าอีกไม่กี่เดือนต่อจากนี้ จะไม่อาจบุ่มบ่ามกับนางได้อีกแล้ว
หากแต่พอนางคลอดลูกแล้ว เช่นนั้นก็จะมาโทษเขาไม่ได้แล้ว…
หึหึ
เขาหยุดมือลง ดึงนางเข้ามากอด เอ่ยเสียงทุ้มเบาๆ ว่า “ทำไมรึ ยังโกรธอยู่หรือ”
“โกรธ! ท่านตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีก ในคุกหลวงสำนักพระราชวังก็ไม่ยอมบอกข้าให้ชัดเจน!”
เขาพลิกมือกุมมือนางไว้ ใช้นิ้วกางฝ่ามือของนางออก “ไม่บอกให้ชัดเจนที่ไหนกัน”
ใจนางกระตุก
วันนั้นในห้องขัง ชั่วขณะที่เขาคว้ามือของนางที่หมายจะฟาดลงมานั้น ได้ยัดบางอย่างไว้ในฝ่ามือนาง
เป็นหยกชิ้นหนึ่งบนกริชสุดรักสุดหวงเล่มนั้นที่นางพกติดตัวตั้งแต่เด็กจนโต
ตั้งแต่หากริชเล่มนั้นเจอ นางก็พกติดตัวไว้อีกครั้ง แต่เนื่องจากเข้าคุกจึงไม่ได้พกไว้ข้างกาย
ชั่วขณะนั้น นางก็รู้แล้วว่าของส่วนตัวของตนถูกเขาพกไว้กับตัว กลายเป็นของส่วนตัวที่เขาพกติดตัวไป
เขาไม่เคยไม่เชื่อนาง อยู่ข้างนางมาตั้งแต่แรก
ผูกสมัครเป็นสามีภรรยา รักใคร่กลมเกลียวไม่หวาดระแวง
นี่เป็นสิ่งที่เขาอยากจะบอกนาง
ล้อรถม้าค่อยๆ เคลื่อนที่เลียบไปตามถนนใหญ่ รับแสงอรุณมุ่งไปเบื้องหน้าอย่างมั่นคง
“กลับไปเจียงเป่ย ท่านอยากทำอะไรหรือ” นางพิงแนบในอกเขา เสียงใสเคล้าคลอเสียงล้อกุบกับ ลากยาวยิ่ง
“ฝึกทหาร ออกรบ รักใคร่เทิดทูนภรรยา แล้วให้ภรรยามีลูกชายออกมาอีกเป็นโขยง ฝึกให้กลายเป็นวีรบุรุษที่มีจิตใจอันเด็ดเดี่ยวแน่วแน่!”
……
ห้าปีต่อมา
ณ ทุ่งหญ้าใกล้ๆ ค่ายทหารของเจียงเป่ย
ขึ้นไปทางเหนือ เป็นทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลและเหวลึกทางตอนเหนือ สามารถเห็นชายแดนของเหมิงหนูได้รางๆ
ลงไปทางใต้ มีคูเมืองเจียงเป่ยซึ่งเป็นเมืองสำคัญที่ปกป้องพรมแดนของแผ่นดินเอาไว้อย่างมั่นคงตั้งอยู่ ราวกับกุญแจเหล็ก มั่นคงยากแก่การโจมตี คุ้มครองความปลอดภัยของต้าเซวียนเอาไว้อย่างแน่นหนา
ทหารตัวน้อยๆ กลุ่มหนึ่งรวมตัวกันอยู่ในทุ่งหญ้า
ล้วนเป็นลูกหลานในครอบครัวแม่ทัพทหารเจียงเป่ยทั้งสิ้น แต่ละคนแม้จะอายุยังน้อย แต่ก็ท่าทางกล้าหาญ
เด็กจ้ำม่ำตัวขาวอายุราวๆ ห้าขวบในชุดทหารตัวน้อยซึ่งสั่งทำเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าอายุจะน้อยที่สุดในบรรดาทหารตัวน้อยๆ เหล่านี้ แต่กำลังโบกมีดสั่งการให้ทหารตัวน้อยเหล่านั้นฝึกซ้อม
“ซื่อจื่อ เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว พักหน่อยเถิด”
“นั่นสิขอรับซื่อจื่อ”
“ไม่ได้ เพิ่งจะฝึกไปได้ไม่ทันไรเอง! พวกเจ้าน่ะ มานะพยายามกันหน่อยสิ เดือนหน้าพวกเจ้ายังต้องเป็นตัวแทนข้าต่อสู้กับทหารของท่านพ่ออีกนะ!” เด็กน้อยจ้ำม่ำตัวขาวตำหนิอย่างเคร่งขรึม
ทหารตัวน้อยๆ ต่างทำหน้าหมดอาลัยตายอยาก
ไม่ไกลกันนั้น ทหารวัยผู้ใหญ่ที่ติดตามซื่อจื่อมาต่างสบตากันยิ้มๆ
ตั้งแต่อี๋ซื่ออ๋องจัดตั้งกองทหารตัวน้อยให้บุตรชายคนเดียว ทุกๆ สองสามเดือนจะต้องแข่งขันทักษะแต่ละอย่างของทหารกับทหารประจำการใต้บังคับบัญชาของอี๋ซื่ออ๋อง ซื่อจื่อเหมือนไปฉีดเลือดไก่มา ทุกวันจะลากพวกเขาให้มาฝึกที่ทุ่งหญ้า ไม่อยากให้บิดาคิดว่าตัวเองฝึกทหารไม่ได้!
ทว่า จำต้องบอกก่อนว่าวิธีนี้ของซื่ออ๋องสามารถปลุกเร้าให้กำลังใจซื่อจื่อน้อยได้ไม่เลว และปลูกฝังซื่อจื่อได้เป็นอย่างดี
ซื่อจื่อน้อยอายุยังน้อยนัก แม้ว่าจะมีเค้าโครงของจอมพลในอนาคตก็ตาม
ตระกูลของอี๋ซื่ออ๋องถูกกำหนดมาให้เป็นเทพคุ้มครองแผ่นดินต้าเซวียน เฝ้าชายแดนเพื่อบ้านเมือง
ในฐานะบุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียวของซื่ออ๋องย่อมไม่อาจละเว้นได้อยู่แล้ว!
จนกระทั่งตะวันเคลื่อนสูงสู่ฟ้า แดดจ้าขึ้นแล้ว ขุนนางทหารนายหนึ่งจึงได้เดินมาหา อมยิ้มเอยว่า “ใกล้จะเที่ยงแล้ว พอสมควรแล้วขอรับ ซื่อจื่อกับทหารน้อยทุกท่านไปพักก่อนเถิด”
เด็กน้อยตัวขาวจ้ำม่ำยังสนุกไม่พอเลย แอบเดินเข้ามากระซิบเสียงเบาว่า “อาศัยโอกาสดีๆ ที่ท่านพ่อยุ่งจนหัวหมุนนี้ ข้าจะรีบฝึกซ้อมให้มากๆ การทดสอบครานี้จะต้องชนะทหารของท่านพ่อให้ได้! หากรอให้ท่านพ่อเสร็จงานในระยะนี้ก่อน ข้าก็คงตามเขาไม่ทันแล้ว!”
“เสร็จงานหรือ ซื่ออ๋อง…กำลังทำงานอะไรอยู่หรือขอรับ” ขุนนางทหารนิ่งอึ้ง ไม่เห็นเคยได้ยินว่าหมู่นี้ซื่ออ๋องยุ่งจนหัวหมุนเลยนี่นา
เด็กน้อยจ้ำม่ำเอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่า “ท่านพ่อบอกว่าหมู่นี้จะช่วยกันกับท่านแม่ทำน้องชายออกมา แต่ก็อาจจะเป็นน้องสาว อย่างไรเสียข้าก็ได้ยินเขาพูดกับท่านแม่ว่าระยะนี้เป็นโอกาสที่ดีอะไรทำนองนั้น…เจ้าว่า สำหรับข้าแล้ว ยังมิใช่โอกาสที่ดีอีกรึ”
ขุนนางทหารสีหน้าเห่อแดง นี่เห็นอยู่ทนโท่จริงๆ ว่า…ยุ่งจนหัวหมุน!
แต่ว่านะ ซื่อจื่อจะใช้เวลาที่ท่านพ่อท่านแม่ทำน้องให้ท่าน รีบไล่แซงหน้าบิดาท่านอย่างหน้าเนื้อใจเสือเช่นนี้ จะไม่เป็นไรจริงๆ หรือขอรับ!